หลังจากเที่ยวชมสถานที่ต่างๆทั่วทั้งเมืองหลวงจนหนำใจแล้ว จางลู่หลินก็กลับมาที่จวนของตน นางรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตราวกับพลิกผัน นางต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย อย่างไรย่อมต้องอยู่ให้ได้ ถือว่าโชคดีที่บิดาของนางแม้จะชอบก่นด่าแต่ยังคงรักใคร่และเข้าข้างนางอยู่เสมอ
นับตั้งแต่ทุบตีสามแม่ลูกไปพวกนางก็ไม่กล้ามายุ่งกับจางลู่หลินอีก ทุกแผนการที่คิดจะลงมือกับนางนั้นก็เหมือนจะหยุดชะงักไปหลายอย่าง
หลังจากที่ทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ งานอดิเรกที่จางลู่หลินมักชอบทำมากที่สุดก็คือการยิงธนูและใช้มีดสั้น ตอนอยู่ในยุคปัจจุบันเรื่องเหล่านี้สามารถฝึกฝนเป็นความชอบส่วนตัวได้ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องดีที่นางเรียนรู้มาจนชำนาญ
"คุณหนูเจ้าค่ะ มีคนจากในวังหลวงมาเจ้าค่ะ บอกว่าเป็นคนที่ฮ่องเต้และสวีฮองเฮาส่งมาให้ดูแลคุณหนูก่อนแต่งเข้าจวนองค์ชายใหญ่"
ในขณะที่จางลู่หลินกำลังนั่งอ่านหนังสือไม้ไผ่อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของหลิงหลิงเอ่ยบอกว่ามีคนจากในวังหลวงมาที่จวนตระกูลจาง จางลู่หลินวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วจึงรีบเดินออกไปทันที อย่างไรก็เป็นคนที่ฮ่องเต้และสวีฮองเฮาส่งมาจะละเลยล่าช้าไม่ได้ นางรีบให้หลิงหลิงและตงฟางมาช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงที่โถงกลางลานเรือนก็พบว่าทุกคนในจวนกำลังยืนอย่างพร้อมเพรียงกัน ส่วนบิดาของนางก็กำลังสนทนากับใครคนหนึ่งอย่างนอบน้อม
"กงกงเกรงใจเกินไปแล้ว นี่นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทและสวีฮองเฮาโดยแท้"
ราชครูจางเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ จางลู่หลินมองไปที่ชายวัยกลางคนที่บิดาของนางเรียกว่ากงกงคราหนึ่ง นางคาดเดาว่าเขาคงจะเป็นคนสำคัญที่คอยรับใช้ฮ่องเต้ อย่างไรย่อมต้องตามน้ำไปก่อนจึงแสดงท่าทีนอบน้อมต่อเขา กงกงที่เห็นว่าจางลู่หลินรู้ความอีกทั้งยังนอบน้อมถ่อมตนก็ลอบชื่นชมอยู่ในใจ และหันไปเอ่ยกับราชครูจางต่อ
"ฝ่าบาทและสวีฮองเฮาทรงชื่นชอบคุณหนูใหญ่จางมาก ทั้งสองพระองค์เกรงว่าคุณหนูใหญ่จางจะวางตัวไม่ถูกหลังจากแต่งเข้าจวนองค์ชายใหญ่ จึงได้ส่งหมัวหมัวจากในวังหลวงมาสอนเรื่องกิริยามรรยาทและพิธีการต่างๆ อย่างไรคงต้องให้ราชครูจางช่วยจัดหาที่พักให้เหล่าหมัวหมัวด้วย"
"ไม่ใช่ปัญหา นี่นับว่าเป็นเรื่องดี ขอบพระทัยในความกรุณาของฝ่าบาทและสวีฮองเฮายิ่งนัก"
"เช่นนั้นข้าขอตัวลากลับก่อน ต้องรีบกลับไปรายงานฝ่าบาท"
"ท่านกงกงเดินดีดีเล่า"
ราชครูจางให้คนนำถุงเงินมอบให้กงกงอย่างรวดเร็ว กงกงชั่งน้ำหนักดูก็รู้ได้ทันทีว่าในถุงเงินนั้นจะต้องมีเงินอยู่ไม่น้อย ก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก เขายิ้มแย้มเดินทางกลับวังหลวงไปอย่างอารมณ์ดี
เมื่อคนถูกส่งมาสอนเรื่องพิธีการและมรรยาทแน่นอนว่าจางลู่หลินจึงไม่อาจออกไปเที่ยวเล่นที่นอกจวนได้อีก นางต้องร่ำเรียนมรรยาทพิธีการ อีกทั้งการเดิน การนอน การนั่ง และอีกสารพัดอย่าง เดิมทีนี่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หมัวหมัวออกจะเข้มงวดมากเกินไปสักหน่อย ทว่าทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น
หมัวหมัวพักที่จวนตระกูลจางอยู่หลายวัน เมื่อเห็นว่าจางลู่หลินเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็วก็รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก เมื่อคนจากไปแล้วจางลู่หลินก็พรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางอึดอัดจะตายอยู่แล้ว
อีกไม่กี่วันก็จะต้องเข้าพิธีวิวาห์แล้ว จางลู่หลินยังไม่เคยพบเจอหน้าว่าที่สามีเลยสักครา ได้ยินว่าเขามีนามว่าหลี่เหว่ย ชื่อเสียงก็ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก แต่ที่ผู้คนไม่กล้าก่นด่านินทาเขาต่อหน้าเพราะก่อนหน้านี้เขาทำความดีความชอบปราบกบฏจนแคว้นหนานฉีร่มเย็นสงบสุข
ด้านจางเสวี่ยนั้นก็เอาแต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางริษยาจางลู่หลินที่ได้แต่งกับบุรุษสูงศักดิ์ อีกทั้งยามนี้หากจะลอบวางแผนทำให้จางลู่หลินเป็นอะไรไปก่อนวันแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว ทำได้เพียงกลืนความเคียดแค้นครั้งนี้ลงท้องตนไปเสีย
จวนองค์ชายใหญ่
"องค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ชุดแต่งงานตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์จะลองสวมดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เผื่อว่าไม่พอดีตัวจะได้ให้ฝ่ายอาภรณ์จัดการแก้ไขได้ทันเวลา"
"ไม่ เสียเวลาหายใจ ใส่ได้ก็ใส่ ใส่ไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่ง"
เขาเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ องค์รักษ์ข้างกายนามว่าจี้เฟินถึงกับลอบถอนหายใจออกมาอย่างอับจนหนทาง เจ้านายของเขาเป็นคนที่หัวดื้อ หากไม่ชอบต่อให้บังคับก็ไม่เป็นผล ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะสวีฮองเฮาทรงออกคำสั่งบังคับด้วยองค์เอง องค์ชายใหญ่ย่อมไม่มีทางยอมแต่งงานเป็นแน่
หลี่เหว่ยยกจอกสุราขึ้นดื่มและเข้าไปคลอเคลียกับเหล่านางรำอย่างอารมณ์ดี พวกนางงดงามอ่อนหวาน ไม่เหมือนกับจางลู่หลินสตรีนางนั้นหยาบช้ากระโดกกระเดกไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เวรกรรมอันใดที่ทำให้เขาต้องมาแต่งงานกับนาง
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ พลางครุ่นคิดในใจ
ในเมื่อนางอยากแต่งเข้ามา เขาก็จะให้นางอยู่ไม่สู้ตาย ให้นางทนไม่ไหวจนต้องไปจากเขาหรือไม่ก็ตรอมใจตายไปเลยยิ่งดี
เพียงแค่คิดก็สุขใจยิ่งนัก หลี่เหว่ยยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะเต้นรำไปพร้อมกับนางรำเหล่านั้นอย่างสุนทรีย์
วันเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันอภิเษกสมรส จางลู่หลินถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าเพื่อแต่งตัว ครั้งนี้นางพาหลิงหลิงและตงฟางติดตามไปรับใช้ด้วย สินเดิมที่บิดามอบให้นางก็มีไม่น้อย สมฐานะพระชายาเอกขององค์ชายใหญ่แห่งแคว้นหนานฉีทุกอย่าง จางลู่หลินหาวออกมาด้วยความง่วงงุน อีกทั้งยังนั่งสัปปะหงกเป็นพักๆ ราชครูจางรอจนบุตรสาวแต่งตัวเสร็จจึงเข้ามาดู จางลู่หลินไม่มีมารดา สวีฮองเฮาจึงจัดการส่งฮูหยินจากตะกูลสูงศักดิ์ซึ่งเป็นเครือญาติกันมาช่วยเกล้าผมและส่งตัวจางลู่หลินแทนมารดาที่วายชนม์ไป ราชครูจางก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะเขาเองก็ไม่ไว้ใจฮูหยินในจวนของตนว่าจะดูแลจางลู่หลินได้ดีหรือไม่ เรื่องนี้ทำให้จางฮูหยินรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้
เขามองบุตรสาวของตนที่สวมชุดเจ้าสาวก็ นึกทอดถอนใจเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้คือหาสามีที่ดีพร้อมให้กับนาง หากวันหน้าเขาตายจากไป นางจะได้ไม่ไร้ที่พึ่ง ก็หวังเพียงว่าหลี่เหว่ยจะดีกับนางด้วยใจจริง
“ลู่หลิน จำไว้นะว่าเจ้ายังมีพ่อเสมอ หากวันใดเจ้าเดือดเนื้อร้อนใจก็จงคิดถึงพ่อ ให้คนมาแจ้งพ่อที่จวน พ่อจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”
จางลู่หลินหันมายิ้มให้บิดาเล็กน้อย
“ขอบคุณท่านพ่อ เช่นนั้นเงินที่ข้ายืมท่านมาก็ถือว่าเป็นสินเดิมไม่ต้องคืนนะเจ้าคะ ท่านพ่อช่างประเสริฐที่สุด ไว้ลูกลำบากจะส่งคนมาขอเงินท่านที่จวนอีก”
ราชครูจางหนังตากระตุก เขารู้สึกว่าเมื่อครู่ไม่ควรบอกลูกบัดซบผู้นี้เลยว่าเขาจะอยู่ข้างนาง
เหลี่ยมจัดเกินไปแล้ว!
"เจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวแล้ว"
ไม่นานนักเหล่าสาวใช้ก็เข้ามาแจ้งว่าหลี่เหว่ยมาถึงแล้ว ราชครูจางจึงให้คนพาจางลู่หลินเดินออกมาที่นอกห้อง
ผู้คนที่มาร่วมงานต่างซุบซิบกันไปต่างๆนา ส่วนมากต่างริษยาในความโชคดีของจางลู่หลิน
ด้านหลี่เหว่ยตอนนี้เขากำลังกระโดดลงมาจากหลังม้าและเดินเข้ามารับตัวเจ้าสาวในจวนตระกูลจาง ใบหน้าของชายหนุ่มไม่ยิ้มแย้มสักนิด ออกจะเย็นชาไม่ใส่ใจเสียด้วยซ้ำ ผู้คนที่มาร่วมงานต่างเคยชินกับท่าทีหยิ่งยโสขององค์ชายใหญ่เสียแล้วจึงไม่เห็นเป็นอันใด
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนขวางโลกเพียงใด แต่สตรีในเมืองหลวงกลับชื่นชมเขาอย่างบ้าคลั่ง เพราะหลี่เหว่ยรูปงามราวกับภาพวาด ช่างน่าค้นหา พวกนางอยากอยู่ใกล้ชิดอิงแอบเขาทุกคืนวัน ดวงตาที่ติดจะเย็นชานั่นช่างดุดันชวนมองเสียจนไม่อาจละสายตาไปได้ จมูกรึก็โด่งเป็นสัน ทุกอย่างที่รวมอยู่บนใบหน้าของเขาเรียกได้ว่าราวกับสวรรค์ตั้งใจปั้นแต่ง
จางลู่หลินถูกประคองออกมาจากห้อง นางรู้สึกว่าเครื่องหัวบนศีรษะหนักเสียจนคอนางแทบจะหักอยู่รอมร่อ เพราะตอนนี้มีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวทำให้นางมอบใบหน้าเจ้าบ่าวของตนได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ประจวบกับรู้สึกปวดหัวเพราะเครื่องประดับที่หนักอึ้งทำให้นางรีบเดินไปที่เกี้ยวเจ้าสาวหวังจะให้พิธีการจบสิ้นพิธีโดยเร็ว
หลี่เหว่ยส่งเสียงเหอะในลำคอ หากไม่ติดว่าเห็นแก่พระพักตร์ของเสด็จแม่ เขาคงจะให้จางลู่หลินเดินไปที่จวนองค์ชายใหญ่เสียเอง เพียงแค่ได้จับมือนางเขาก็รู้สึกขยะแขยงเต็มทนแล้ว!
เกี้ยวเจ้าสาวมุ่งหน้ามาที่จวนองค์ชายใหญ่ ระหว่างทางมีผู้คนร่วมแสดงความยินดีตลอดทาง อีกทั้งยังมีคนของจวนองค์ชายใหญ่โปรยเงินแจกจ่ายให้กับราษฎร สองข้างทางเรียกได้ว่าคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
กว่าจะทำพิธีเสร็จสิ้นจางลู่หลินก็แทบจะหมดเรี่ยวแรง หลิงหลิงและตงฟางประคองจางลู่หลินให้เข้ามานั่งรอในห้อง เมื่อได้นั่งลงบนเตียงนุ่มๆ จางลู่หลินก็รู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก นางยกกำปั้นมือน้อยๆของตนทุบลงไปบนขาอย่างไม่รีบไม่ร้อนเพื่อช่วยคลายความปวดเมื่อย หลิงหลิงที่เห็นเช่นนั้นก็ยกถ้วยชาร้อนมาให้เจ้านาย ส่วนตงฟางก็นำเกี้ยวนึ่งมาให้จางลู่หลินกินเพื่อบรรเทาความหิว
จางลู่หลินเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะอ้าปากกินเกี้ยวที่ตงฟางป้อนให้ พร้อมกับย่นหัวคิ้ว
"มีเท่านี้เองหรือของกิน ข้าหิวจนแสบไส้ไปหมดแล้ว ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินสิ่งใดเลย ให้ตายเถอะนี่มันไม่ใช่งานมงคลแล้ว งานทรมาณคนชัดๆ"
เอ่ยไปก็ยกถ้วยน้ำชาดื่มไป ชาที่จวนองค์ชายใหญ่ถือว่ารสชาติดีเป็นอย่างมาก นางดื่มไปหลายจอกก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ตงฟางมองเจ้านายตนอย่างนอบน้อมและเอ่ย
"เรียนคุณหนู เอ่อ พระชายา ยามนี้ต้องเข้าหอก่อน จึงไม่อาจกินของอย่างอื่นได้ หากอาเจียนเพราะอืดท้องจะขายหน้าองค์ชายใหญ่เอาได้นะเพคะ"
จางลู่หลินเบ้ปาก พิธีการมากมายเสียจนน่าปวดหัว แต่ก็ช่างเถิด แต่งๆให้เสร็จไปเสีย นางไม่ใช่คนเรื่องมาก อย่างไรสตรีในยุคโบราณไม่ช้าไม่เร็วก็ย่อมต้องแต่งงานอยู่แล้ว จะช้าจะเร็วก็ไม่ต่างกัน
"องค์ชายใหญ่มาถึงแล้ว"
รออยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านเอ่ยขึ้นมาว่าหลี่เหว่ยมาแล้ว หลิงหลิงและตงฟางรีบเก็บทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อยและรีบออกไปทันที จางลู่หลินยังไม่ทันได้เอ่ยถามว่ามีสิ่งใดที่กินได้อีกหรือไม่พวกนางก็หายออกไปจากห้องเสียแล้ว
เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาในห้องหอทำให้จางลู่หลินต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ภายใต้แสงเทียนที่สลัวลางปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดแต่งงานสีแดงกำลังก้าวเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเขาหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งชวนหลงใหลเกินจะบรรยาย เขาใช้ดวงตาคมตวัดจ้องมองนางอย่างเย็นชา ริมฝีปากเยียดยิ้มอย่างไม่เป็นมิตร ดูแล้วช่างไม่น่าคบหาและเสวนาด้วยเป็นอย่างมาก
เมื่อจางลู่หลินได้เห็นใบหน้าสามีของตนอย่างชัดเจน นางก็แทบจะพ่นน้ำชาออกมาจากปาก
นั่นมัน!
คนโรคติตที่ตามนางไปที่โรงพนันไม่ใช่หรือ
เหตุใดจึงกลายเป็นสามีของนางไปได้เล่า!
เมื่อเห็นท่าทีไร้มรรยาทของจางลู่หลิน หลี่เหว่ยก็ลอบดูแคลนในใจ
เหอะ! หลงใหลในความหล่อของข้าเข้าแล้วล่ะสิ ฝันไปเถิด เจ้าไม่มีวันได้ใจข้าหรอก
ด้านจางลู่หลินก็จ้องหลี่เหว่ยเขม็ง พร้อมกับครุ่นคิดแผนการหนึ่งในใจ
บัดซบจริงๆ มีสามีทั้งทีก็ดันได้คนโรคจิตมาแต่งด้วย จะทำเช่นไรดี เอาแจกันฟาดหัวให้สลบแล้วหนีออกไปทางหน้าต่างดีหรือไม่!
หลังจากดื่มกินกันอย่างสำราญใจ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงกลางดึก หลี่เหวยกลับมายังที่พักของตน ก่อนจะพบว่ายามนี้จางลู่หลินยังคงไม่เข้านอน หญิงสาวเอาแต่มองดวงจันทร์ที่ด้านนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่วูบไหว เขาที่เริ่มมึนเมาเล็กน้อย ตรงเข้าไปกอดนางจากทางด้านหลัง ก่อนจะซบใบหน้าลงไปที่ซอกคอขาวเนียนของนาง พลางเอ่ยถาม"พระจันทร์น่ามองตรงที่ใดกัน ข้ายังน่ามองกว่าตั้งเยอะ"จางลู่หลินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ลอบเบ้ปากคราหนึ่ง "หลงตนเองเกินไปแล้ว"หลี่เหว่ยหันตัวนางให้กลับมามองเขา จางลู่หลินมองสบตากับบุรุษตรงหน้าเล็กน้อย"จางลู่หลิน เจ้ามันน่ารังเกียจ น่ารังเกียจยิ่งกว่าผู้ใด"เพียงเขาเอ่ยปากพูดก็เอาแต่พ่นวาจาเหน็บแนมนางจนนางคร้านที่จะถกเถียงกับเขาแล้ว หญิงสาวยื่นสองมือไปประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ และพินิจมองอย่างชื่นชม"หลี่เหว่ย ข้าว่า ข้าคงชอบท่านเข้าแล้วล่ะ ไม่สิ อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ชอบเท่านั้นแต่ข้าหลงรักท่านแล้วต่างหาก"หลี่เหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นแววตาก็ทอประกายวูบไหว เขาไม่ได้เมามายถึงขนาดขาดสติ ย่อมฟังวาจาที่นางกล่าวออกมาได้อยางชัดเจนแจ่มแจ้ง ใจของเขาเต้นถี่ระรัวอย่างบ้าคลั่ง แต่ว่าค
เมื่อสงครามจบลง หลี่เหว่ยได้สั่งให้ฝังศพเหล่าทหารกล้าเอาไว้ที่ริมแม่น้ำซึ่งมีทัศนียภาพที่งดงามที่สุดในชายแดน อีกทั้งยังเทสุราลงบนพื้นเป็นการไว้อาลัยให้กับพวกเขาที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาจนได้รับชัยชนะหลายบ้านที่บุตรชายกลับมาอย่างปลอดภัยล้วนดีใจเป็นอย่างมาก แต่บ้านที่ต้องสูญเสียบุตรชายในสนามรบต่างเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง หลี่เหว่ยเองก็ปลอบประโลมพวกเขาเป็นอย่างดีเมื่อได้เห็นว่าเขาอ่อนโยนกับเหล่าชาวบ้านเช่นนี้ จางลู่หลินก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย เขาเอาใจใส่ราษฎรเป็นอย่างดี เรื่องเล็กๆน้อยๆล้วนคิดอ่านอย่างละเอียดรอบคอบก่อนหน้านี้ที่หลี่หรงลอบนำกองกำลังทหารออกไปได้ และจัดการเผาทำลายหมู่บ้านหลานฮวา โชคดีที่หลีเหว่ยส่งคนเฝ้าจับตาดูมานานจึงช่วยเหล่าชาวบ้านออกมาได้ ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่เมืองหนานหลิงและปลอดภัยดี เฟิ่งเฉวียนก็ให้การดูแลพวกเขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเมื่อได้รับชัยชนะ แน่นอนว่าย่อมต้องมีการเฉลิมฉลอง เหล่าชาวบ้านในชายแดนชำนาญการล่าสัตว์และใช้เหยี่ยว อาหารที่นำมาเลี้ยงฉลองจึงมีแต่อาหารที่ชาวบ้านกินกันเป็นประจำ แต่หลี่เหว่ยกลับไม่ได้รังเกียจ เขาร่วมดื่มกินกับเหล่าทหารอย่
เมื่อแผนการถูกเปิดเผย แน่นอนว่าหรงหวาที่เป็นท่านหญิงผู้มาจากแคว้นฉานซี รวมถึงคนของแคว้นฉานซีทั้งหมดต้องถูกจับตัวมาขังเอาไว้เพื่อรอการไต่สวนเว้นแต่อาซาน ที่หลี่เหวยพาเขาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของตนและบอกความจริงทุกอย่างจนกระจ่างแจ้ง ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนยามนี้ล้มป่วยหนักจึงยกมอบเรื่องราวทุกอย่างให้หลี่เหว่ยเป็นคนจัดการ หลี่เหว่ยจึงเสนอความเห็นว่าจะให้อาซานร่วมรบกับแคว้นฉานซี เขาจะทำได้หรือไม่ที่ต้องสู้รบกับแคว้นบ้านเกิดของตน อาซานกลับรับปากโดยไม่ลังเล เขาบอกเพียงว่าขอเพียงหลี่เหว่ยไม่ทำร้ายราฎรผู้บริสุทธิ์ของแคว้นฉานซีเขาก็ยินดีร่วมรบ ส่วนท่านอ๋องและขุนนางชั่วทั้งหลายก็แล้วแต่เวรแต่กรรมเถิดหลี่เหว่ยนับถือในความเด็ดเดี่ยวของอาซาน นับว่าคนผู้นี้ยังมีสติปัญญารู้คิดว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาว หลี่เหว่ยก็ได้ทราบข่าวที่ส่งมาจากมู่กุ้ยเหมยที่อยู่ชายแดนว่า หลี่หรงนำกองทัพของตนเข้าร่วมกับแคว้นฉานซี บุกโจมตีชายแดนแคว้นหนานฉีอย่างบ้าคลั่ง ยามนี้ทหารล้มตายไปไม่น้อย ยามนี้นางพยายามต้านอย่างสุดกำลัง ขอให้เขาส่งกำลังเสริมมาช่วยนางโดยด่วนฮ่องเต้หลี่เจี้ยนมีราชโองการให้หลี่เหว่ยยนำกองทัพไปปราบ
"ว่าอย่างไรนะ คนหายไปแล้วอย่างนั้นหรือ หายไปได้เช่นไรกัน!"หรงหวาที่ได้ยินองค์รักษ์ลับเข้ามารายงานว่าบิดามารดาของอาซานได้หายออกไปจากจวนของแม่ทัพใหญ่มู่แล้วนางก็กำมือแน่น อีกทั้งยังลอบก่นด่าคนตระกูลมู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้งก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางมาแคว้นหนานฉีชินอ๋องหลี่หรงลูกพี่ลูกน้องของนางที่เกิดจากน้องสาวของท่านพ่อ ได้ฝากฝังนางให้แม่ทัพใหญ่มู่คอยดูแล นางจึงส่งบิดามารดาของอาซานไปคุมขังเอาไว้ที่ห้องใต้ดินของจวนตระกูลมู่ อีกทั้งยังให้แม่ทัพใหญ่มู่ทรมานคนตามที่นางสั่ง แม่ทัพใหญ่มู่เป็นคนของชินอ๋องหลี่หรง และเขาเองก็ร่วมมือกับแคว้นฉานซีต้องการจะโค่นล่มแคว้นหนานฉีเช่นเดียวกัน ความแค้นหนหลังของแม่ทัพใหญ่มู่และฮ่องเต้หลี่เจี้ยนนั้นนางไม่ได้ทราบรายละเอียดมากเท่าใดนัก แต่ก็นับว่าดีไม่น้อยที่มีคนหนุนหลังคอยช่วยเหลือแคว้นฉานซีของนาง ซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่มากฝีมือแห่งแคว้นเสียด้วยแต่ยามนี้คนกลับหายไป ไม่เพียงเท่านั้น เหล่านักโทษที่ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดินของจวนตระกูลมู่ก็หายไปด้วยเช่นกัน หากเรื่องราวนี้รู้ถึงหูของฮ่องเต้หลี่เจี้ยนเกรงว่าแม้แต่นางก็อาจจะไม่รอดที่สำคัญ ยามนี้ไม่มีบิดามารดาขอ
ด้านหลี่เหว่ยนั้นก็ได้บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เสด็จพ่อของตนฟัง รวมถึงบอกว่าคนที่ถูกจับมาจะสามารถเป็นพยานอย่างดีให้พวกเราได้ และแม่ทัพใหญ่มู่ก็ไม่อาจหนีรอดจากการจับกุมในครั้งนี้ไปได้ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนกัดฟันกรอด เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าแม่ทัพใหญ่มู่จะทรยศและหักหลังเขาเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าก็เคยร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบด้วยกันมา ต่อสู่ฝ่าฟันทุกอย่างมาด้วยกัน แต่วันนี้กลับคิดทรยศหักหลังเขาได้อย่างเลือดเย็น"รักษาคนที่ถูกจับให้หายดี แล้วทำการไต่สวนพวกเขา หาหลักฐานให้ได้มากที่สุด อีกไม่นานพวกมันคงจะรู้ตัวแล้ว เราต้องรีบจัดการก่อนที่คนร้ายจะไหวตัวทัน""พ่ะย่ะค่ะ""ที่สำคัญ พ่อเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่มู่คงไม่อาจจะวางแผนการนี้ได้คนเดียว ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเขาเป็นแน่ เจ้าจงระวังเอาไว้ให้ดี""ลูกทราบแล้ว เช่นนั้นลูกขอตัวก่อน"“อืม”เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วหลี่เหว่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เขายังไม่ได้บอกเรื่องของอาซานให้เสด็จพ่อทรงทราบ เพราะเรื่องของแม่ทัพใหญ่มู่ก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว เรื่องอื่นเขายังจัดการด้วยตนเองได้ หากหรงหวายังไม่ยอมรามือจากน้องสาวของเขา เขาจะไม่เก็บนางเอาไว้ คงทำได้เพียงส่งศีรษะของนางกลับ
มู่กุ้ยเหมยขมวดคิ้วมุ่น นางสบตากับหลี่เหว่ยอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย นางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเกรงกลัว แต่ที่นางแปลกใจก็คือ เหตุใดหลี่เหวยจึงมาอยู่ในจวนของนางได้ อีกทั้งยังมีองค์หญิงหลี่ฮวาที่ตามมาด้วยหลี่เหว่ยที่เห็นว่ามู่กุ้ยเหมยไม่เอ่ยตอบ ก็ตรงเข้ามาประชิดตัวนาง ก่อนจะยกมีดสั้นวางทาบลงบนลำคอขาวเนียนของมู่กุ้ยเหมยอย่างรวดเร็ว"ตอบมา ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้า ต่อให้เป็นคนที่ข้าฝึกฝนมาเองกับมือ ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการละเว้น"มู่กุ้ยเหมยที่ถูกหลี่เหว่ยข่มขู่กลับไม่โกธร นางรู้ดีว่ายามอยู่ในสถาณการณ์คับขัน หลี่เหว่ยก็จะเย็นชาเช่นนี้อยู่เสมอ นางรู้จักเขามานานหลายปี นิสัยของเขานางเข้าใจดีมู่กุ้ยเหมยรีบคุกเข่าลง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม"เดิมทีหม่อมฉันก็สงสัยในตัวบิดาตนเองเช่นกัน จึงเข้ามาตรวจดูในห้องตำรานี้ ไม่คาดคิดว่าจะพบห้องลับ และพบว่าเขาจับคนมาขังเอาไว้และทรมานคนเหล่านั้นอย่างทารุณเช่นนี้ องค์ชายใหญ่โปรดวางพระทัย ต่อให้ตัวต้องตาย กุ้ยเหมยก็ไม่มีทางทรยศบ้านเมืองเด็ดขาด หากพระองค์มาเพื่อช่วยคน เช่นนั้นก็รีบมือเถิดเพคะ หม่อมฉั