คนทั้งสองต่างมองหน้ากันไปมาราวกับต้องการจะหยั่งเชิงท่าทีของฝ่ายตรงข้ามว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ จางลู่หลินถึงกับลอบไว้อาลัยให้ตนเอง หากรู้ว่าจะต้องแต่งงานกับคนโรคจิตชอบแอบมองสตรีเช่นนี้นางคงหนีออกจากจวนไปตายเอาดาบหน้านานแล้ว
แต่เมื่อครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก็พบความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง หรือว่าที่เขาแอบตามนางในวันนั้นเพราะอยากรู้ว่าเจ้าสาวของตนเป็นสตรีเช่นไร
แล้วเหตุใดจะต้องปิดหน้าปิดตา ไม่เอ่ยถามกันตามตรงเล่า ทำราวกับมีลับลมคมในอย่างไรอย่างนั้น
ด้านหลี่เหว่ยนั่นเมื่อเห็นว่าจางลู่หลินไม่แม้แต่จะทำความเคารพเขา อีกทั้งยังทำเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาก็พลันไม่ชอบใจขึ้นมาทันที สตรีนางนี้ไร้มรรยาทอีกทั้งยังไม่รู้จักกฎระเบียบ เขาไม่เข้าใจว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ทรงคิดอันใดอยู่จึงให้นางมาแต่งงานกับเขา
"ได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีหมัวหมัวเดินทางไปสอนมรรยาทให้กับเจ้าที่จวนตระกูลจางแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เข้าหัวเจ้าเลยสินะ พบข้าแต่กลับไม่ทำความเคารพ มรรยาทที่เรียนมาเจ้ากลืนลงท้องไปหมดแล้วหรือ น่ารังเกียจสิ้นดี"
อยู่ๆบุรุษตรงหน้าก็เอ่ยวาจาก่นด่านางอย่างไม่ไว้หน้า แววตาที่มองมาหรือก็ออกจะไม่ชอบใจติดจะรังเกียจเสียด้วยซ้ำ จางลู่หลินถึงกับมองหลี่เหว่ยด้วยความตกใจ นอกจากจะโรคจิตแล้วเขายังปากดีใช้ได้เลย
นางลุกขึ้นจากเตียงนอนและเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับเขา หลี่เหว่ยที่เห็นว่าจางลู่หลินนอกจากจะไม่เกรงกลัวเขาแล้ว นางยังมองเขาอย่างไม่เป็นมิตรอีกด้วย ชายหนุ่มย่นหัวคิ้วด้วยความสงสัย
"สูงต่ำแล้วอย่างไร ในเมื่อแต่งงานกันแล้วก็ย่อมเป็นคนๆเดียวกัน จวนอื่นจะกราบไหว้สามีเช้าเย็นเช่นไรข้าไม่รู้ แต่ข้าขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ไม่ใช่ที่จวนนี้อย่างแน่นอน ชายหญิงก็เป็นคนเช่นเดียว อย่ามาวางท่าอวดดีจองหองไปหน่อยเลย เห็นแล้วน่ารำคาญยิ่งนัก!"
"นี่เจ้า ป่าเถื่อน สตรีเช่นเจ้ามันไร้มรรยาท"
"เพคะ องค์ชายผู้แสนหล่อเหลา แต่ยามเอื้อนเอ่ยราวกับมีสุนัขโผล่ออกมาจากปากหลายสิบตัว"
บรรยากาศภายในห้องหอเย็นเยียบแทบจะทันควัน เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร จางลู่หลินราวกับเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนแล้ว หากหลี่เหว่ยทุบตีนาง เขาก็จะต้องเจ็บตัวเช่นเดียวกัน
หลี่เหว่ยส่งเสียงเหอะในลำคอ จางลู่หลินนี่นิสัยของนางเกินจะทนจริงๆ
ชายหนุ่มพยายามระงับโทสะ จะทำให้เสด็จแม่โมโหไม่ได้เป็นอันขาด รอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปสักพักค่อยถีบหัวนางส่งออกจากจวนก็ยังไม่สาย
เมื่อคิดได้เช่นนั้นโทสะภายในใจของหลี่เหว่ยก็พลันมลายหายไปมากกว่าครึ่ง เขาเอ่ยกับจางลู่หลินอย่างใจเย็น
"อย่างไรวันนี้ก็เป็นวันเข้าหอ ข้าไม่อยากจะทะเลาะกับเจ้า พ่อบ้านหม่า เอาสุรามงคลเข้ามา"
หลี่เหว่ยเอ่ยพร้อมกับปรายตามองจางลู่หลินอย่างไม่ชอบใจ พ่อบ้านหม่าที่รออยู่หน้าห้องหอรีบสั่งให้สาวใช้รีบนำสุรามงคลเข้าไปทันที อย่างไรบ่าวสาวย่อมต้องแลกสุรามงคลกันจึงจะถือว่าเสร็จสิ้นพิธีการ แต่เมื่อครู่เขาได้ยินเจ้านายสองคนทะเลาะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร พ่อบ้านหม่าก็ถึงกับเย็นสันหลังวาบ
องค์ชายใหญ่ก็ดุดัน พระชายาเอกก็ไม่ยอมคน เห็นทีจวนองค์ชายใหญ่คงจะร้อนเป็นไฟเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าหลี่เหว่ยยอมลงให้ จางลู่หลินก็ไม่ถือสาหาความและไม่ต้องการทะเลาะกับเขาต่อ นางยื่นมือไปรับจอกสุรามงคลที่พ่อบ้านหม่ามอบให้ ขณะเดียวกันหลี่เหว่ยก็หยิบจอกสุรามงคลมาถือเอาไว้ในมือ เขายกยิ้มมุมปากและมองนางอย่างยียวน จางลู่หลินขมวดคิ้วรู้สึกว่ารอยยิ้มของบุรุษตรงหน้าดูจิตๆชอบกล
"องค์ชายใหญ่ พระชายาเอก ได้เวลาดื่มสุรามงคลแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
พ่อบ้านหม่าเอ่ยอย่างประหม่าพร้อมกับลอบมองเจ้านายทั้งสองของตนคราหนึ่ง หลี่เหว่ยพยักหน้า จางลู่หลินก็ไม่รีรอนางอยากทำให้มันจบๆจะได้นอนพักเสียที
ยังไม่ทันที่นางจะได้คล้องแขนดื่มสุรามงคลกับสามี จอกสุราในมือของหลี่เหว่ยก็ร่วงหล่นลงบนพื้นจนแตกกระจัดกระจาย เขายิ้มตาหยีและเอ่ยกับนางอย่างไม่ใส่ใจ
"โอะ มือไม้ข้าอ่อนแรงเสียแล้ว คงเพราะเหนื่อยล้ามาทั้งวัน พระชายายอดรัก หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาสามีนะ"
จางลู่หลินหรี่ตามองหลี่เหว่ยเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา รอยยิ้มของนางอ่อนหวานราวกับไม่ได้ถือสาหาความเขา หญิงสาวยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง
ฟู่!
จางลู่หลินพ่นสุราใส่เสื้อผ้าของหลี่เหว่ยเข้าอย่างจังชุดของเขาเลอะเทอะไปหมด นางยกมือขึ้นปิดปากตนและเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
"ตายแล้ว ข้าดื่มสุราไม่เก่ง อีกทั้งสุรานี้มีรสชาติขมฝาดเกินไป ข้าจึงพ่นออกมา ไม่คิดว่าจะทำเสื้อผ้าของสามีเลอะเทอะเช่นนี้ หวังว่าท่านจะไม่ถือสาภรรยานะเพคะ"
หลี่เหว่ยยิ้มเย็น เขากำหมัดแน่นพยายามข่มกลั้นโทสะที่อัดแน่นเต็มอก เขาไม่เคยทุบตีสตรี แต่จางลู่หลินเป็นสตรีคนแรกที่เขาอยากจะอัดนางซักหมัด ชายหนุ่มเงยหน้าจ้องนางเขม็ง แต่สตรีน้อยตรงหน้ากลับมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว ราวกับต้องการจะบอกว่า
หากอยากแลกหมัดก็เข้ามาสิ ไอ้โรคจิต!
ท้ายที่สุดเรื่องราวจบลงที่หลี่เหว่ยสบัดแขนเสื้อเดินหนีออกไปจากห้องหออย่างไม่ไยดี พ่อบ้านหม่าร้องเตือนว่าทำเช่นนี้ไม่เป็นมงคลเขาก็ไม่สน จางลู่หลินก็ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ดีเสียอีก นางก็ไม่อยากจะนอนร่วมเตียงกับเขาเหมือนกัน คนนิสัยไม่ดี เดิมทีคิดว่าจะอยู่ร่วมกับเขาอย่างสันติ แต่เขาก็เหมือนจะไม่เป็นมิตรกับนางเลยแม้แต่น้อยให้ตายเถอะ
หญิงสาวถอนหายใจออกมา นางทิ้งกายลงนอนบนเตียงก่อนจะหลับไปทั้งชุดแต่งงาน ต่างจากหลี่เหว่ยที่หนีมาที่ห้องตำรา พร้อมกับเขวี้ยงตำราหลายเล่มลงไปบนพื้น
เขาไม่คิดว่านางจะรับมือยากถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าพ่นสุราใส่เขา!
คอยดูเถอะ อย่าหาว่าเขาใจดำก็แล้วกัน
ค่ำคืนเข้าหอผ่านไปอย่างไม่ราบรื่น เหล่าสาวใช้ในเรือนต่างซุบซิบกันไปต่างๆนาๆว่าพระชายาเอกไม่เป็นที่โปรดปราณขององค์ชายใหญ่เลยแม้แต่น้อย หากยังเป็นเช่นนี้เห็นทีวันหน้าเรือนหลังอาจจะมีนายหญิงคนใหม่เข้ามาแทนที่ก็เป็นได้ หรือไม่องค์ชายใหญ่ก็อาจจะแต่งพระชายารองคนโปรดเข้ามาในจวนเพิ่มอีกคน
เช้าวันต่อมาเป็นวันที่หลี่เหว่ยและจางลู่หลินจะต้องเดินทางเข้าวังไปขอบคุณฮ่องเต้และสวีฮองเฮา จางลู่หลินนั้นตื่นแต่เช้าเพราะนางไม่ค่อยชินกับที่นอนใหม่ อีกทั้งยังหลับๆตื่นๆอยู่ค่อนคืน เมื่อจัดการแต่งกายเร่ียบร้อยพ่อบ้านหม่าก็มาแจ้งว่านางต้องเข้าวังหลวงไปพร้อมกับหลี่เหว่ยหญิงสาวถอนหายใจออกมา อยู่ในจวนเดียวกันย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงการพบหน้าเรื่องนี้นางก็เข้าใจดี
จางลู่หลินรีบเดินออกมาที่หน้าจวนองค์ชายใหญ่ พบว่ามีรถม้าจอดอยู่คันหนึ่ง หลี่เหว่ยกำลังยืนอยู่ข้างรถม้า เขาหันมามองนางอย่างไม่สบอารมณ์ และเอ่ยอย่างเย็นชา
"รีบขึ้นรถม้าสิ หรือจะให้ข้าอุ้มขึ้นไป อย่าหวังให้มากนัก"
จางลู่หลินเบ้ปากทันที
"ไม่รบกวนองค์ชายใหญ่หรอกเพคะ หม่อมฉันมีขา เดินเองได้"
"เหอะ"
"ฮึ"
เมื่อจางลู่หลินเดินขึ้นรถม้าไปแล้ว หลี่เหว่ยก็เดินตามนางขึ้นไป ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งข้างนาง คนทั้งสองไม่มองหน้ากัน อีกทั้งยังไม่สนทนากันเลยด้วยซ้ำ ระหว่างทางที่ใกล้จะถึงวังหลวง หลี่เหว่ยจึงเป็นฝ่ายเอ่ยกับจางลู่หลินก่อน
"ลู่หลิน ข้าขอเตือนเจ้า ยามอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ เจ้าอย่าได้ทำตัวไร้มรรยาท ไม่อย่างนั้นกลับจวนมา ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้หลาบจำ"
จางลู่หลินหันมามองหลี่เหว่ยทันที
"อันใดกัน เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ถึงวันก็จะทุบตีภรรยาเสียแล้ว ท่านเป็นสามีประเภทใดกัน"
"ข้าและเจ้าเป็นสามีภรรยาจอมปลอม ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้ ข้าไม่มีวันชอบเจ้า รอให้เรื่องราวผ่านไปสักระยะข้าจะหย่าขาดกับเจ้า หากเจ้าพบบุรุษที่ชื่นชอบก็ไสหัวออกไปจากจวนข้าเสีย ข้าไม่เคยชอบเจ้า ไม่เคยเลย และหากเจ้าคิดจะปีนป่ายเตียงข้า อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีเจ้า”
จางลู่หลินก่นด่าหลี่เหว่ยในใจหลายคำรบ สารเลวสิ้นดี นี่น่ะหรือคนที่เป็นถึงองค์ชาย กลับเจ้าเล่ห์มากกล แม้แต่สตรีก็ยังไม่ยอมละเว้น
"ท่านคิดว่าข้าอยากแต่งกับท่านมากหรือ คนบัดซบเช่นท่านมีสิ่งใดให้ข้าต้องหลงรักกัน"
"ขอเตือนว่าอย่าคิดหวังในตัวข้า"
"มีอันใดน่าหวังกัน ทุเรศทุรังออกปานนี้ องค์ชายอันใดกัน อันธพาลข้างถนนเสียมากกว่า"
"ลู่หลินอย่าให้มันมากนัก"
เขายื่นมือเข้ามาบีบแขนนางอย่างแรง จางลู่หลินเจ็บจนเบ้หน้า คนผู้นี้มันจะเกินไปแล้วนะ นางพยายามไม่ทุบตีเขาแล้วแต่เขากลับทำนางเจ็บตัวเช่นนี้ เขาทำร้ายนางก่อน!
โทสะในใจของจางลู่หลินพลันพวยพุ่ง แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่ใช่คนยอมคน เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงยื่นมือไปดึงผมของหลี่เหว่ยอย่างแรงจนคนถูกดึงร้องไม่เป็นภาษา
"โอ๊ย ลู่หลิน เจ้าช่างบังอาจนัก กลับจวนข้าจะโบยเจ้า"
"เอาสิ! ข้าจะดึงจนหนังหัวท่านหลุดเลย ท่านทำข้าก่อนนะ มาดึงแขนข้าอย่างแรง ข้าก็จะดึงผมท่าน ต่างคนต่างดึง!"
“โอ๊ย เจ็บ!”
"องค์ชาย พระชายาเอก ถึงวังหลวงแล้ว ตายแล้ว! พระชายาเอก เหตุใดพระองค์จึงดึงศีรษะองค์ชายใหญ่เช่นนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ!"
พ่อบ้านหม่าแทบจะหงายหลังตึงเมื่อเปิดผ่าม่านรถม้ามาเจอว่าสองสามีภรรยากำลังจะฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง จางลู่หลินดึงผมหลี่เหว่ยไม่ยอมปล่อย จนเขาทนไม่ไหว
"ได้ ข้ายอมแล้ว ปล่อย!"
"ดี อย่ามากระชากแขนข้าอีก ไม่อยากนั้นอย่าหาว่าไม่เตือน"
หลี่เหว่ยมองจางลู่หลินตาขวาง เมื่อนางคล้อยหลังไปเขาจึงเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
"ฝากไว้ก่อนเถอะ!"
จางลู่หลินหันขวับกลับมามอง และเอ่ยถามทันที
"ท่านว่าอย่างไรนะ"
"ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า ข้าบอกว่าพ่อบ้านหม่าทำงานไม่ได้เรื่อง บัดซบอยากเตะคนแก่จริงๆ!"
พ่อบ้านหม่าถึงกับทำหน้าเลิ่กลั่ก มองเจ้านายทั้งสองด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก ทะเลาะกันเองแท้ๆเหตุใดตอนจบจึงเป็นเขาที่รับกรรมแทนเล่า
หลังจากดื่มกินกันอย่างสำราญใจ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงกลางดึก หลี่เหวยกลับมายังที่พักของตน ก่อนจะพบว่ายามนี้จางลู่หลินยังคงไม่เข้านอน หญิงสาวเอาแต่มองดวงจันทร์ที่ด้านนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่วูบไหว เขาที่เริ่มมึนเมาเล็กน้อย ตรงเข้าไปกอดนางจากทางด้านหลัง ก่อนจะซบใบหน้าลงไปที่ซอกคอขาวเนียนของนาง พลางเอ่ยถาม"พระจันทร์น่ามองตรงที่ใดกัน ข้ายังน่ามองกว่าตั้งเยอะ"จางลู่หลินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ลอบเบ้ปากคราหนึ่ง "หลงตนเองเกินไปแล้ว"หลี่เหว่ยหันตัวนางให้กลับมามองเขา จางลู่หลินมองสบตากับบุรุษตรงหน้าเล็กน้อย"จางลู่หลิน เจ้ามันน่ารังเกียจ น่ารังเกียจยิ่งกว่าผู้ใด"เพียงเขาเอ่ยปากพูดก็เอาแต่พ่นวาจาเหน็บแนมนางจนนางคร้านที่จะถกเถียงกับเขาแล้ว หญิงสาวยื่นสองมือไปประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ และพินิจมองอย่างชื่นชม"หลี่เหว่ย ข้าว่า ข้าคงชอบท่านเข้าแล้วล่ะ ไม่สิ อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ชอบเท่านั้นแต่ข้าหลงรักท่านแล้วต่างหาก"หลี่เหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นแววตาก็ทอประกายวูบไหว เขาไม่ได้เมามายถึงขนาดขาดสติ ย่อมฟังวาจาที่นางกล่าวออกมาได้อยางชัดเจนแจ่มแจ้ง ใจของเขาเต้นถี่ระรัวอย่างบ้าคลั่ง แต่ว่าค
เมื่อสงครามจบลง หลี่เหว่ยได้สั่งให้ฝังศพเหล่าทหารกล้าเอาไว้ที่ริมแม่น้ำซึ่งมีทัศนียภาพที่งดงามที่สุดในชายแดน อีกทั้งยังเทสุราลงบนพื้นเป็นการไว้อาลัยให้กับพวกเขาที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาจนได้รับชัยชนะหลายบ้านที่บุตรชายกลับมาอย่างปลอดภัยล้วนดีใจเป็นอย่างมาก แต่บ้านที่ต้องสูญเสียบุตรชายในสนามรบต่างเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง หลี่เหว่ยเองก็ปลอบประโลมพวกเขาเป็นอย่างดีเมื่อได้เห็นว่าเขาอ่อนโยนกับเหล่าชาวบ้านเช่นนี้ จางลู่หลินก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย เขาเอาใจใส่ราษฎรเป็นอย่างดี เรื่องเล็กๆน้อยๆล้วนคิดอ่านอย่างละเอียดรอบคอบก่อนหน้านี้ที่หลี่หรงลอบนำกองกำลังทหารออกไปได้ และจัดการเผาทำลายหมู่บ้านหลานฮวา โชคดีที่หลีเหว่ยส่งคนเฝ้าจับตาดูมานานจึงช่วยเหล่าชาวบ้านออกมาได้ ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่เมืองหนานหลิงและปลอดภัยดี เฟิ่งเฉวียนก็ให้การดูแลพวกเขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเมื่อได้รับชัยชนะ แน่นอนว่าย่อมต้องมีการเฉลิมฉลอง เหล่าชาวบ้านในชายแดนชำนาญการล่าสัตว์และใช้เหยี่ยว อาหารที่นำมาเลี้ยงฉลองจึงมีแต่อาหารที่ชาวบ้านกินกันเป็นประจำ แต่หลี่เหว่ยกลับไม่ได้รังเกียจ เขาร่วมดื่มกินกับเหล่าทหารอย่
เมื่อแผนการถูกเปิดเผย แน่นอนว่าหรงหวาที่เป็นท่านหญิงผู้มาจากแคว้นฉานซี รวมถึงคนของแคว้นฉานซีทั้งหมดต้องถูกจับตัวมาขังเอาไว้เพื่อรอการไต่สวนเว้นแต่อาซาน ที่หลี่เหวยพาเขาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของตนและบอกความจริงทุกอย่างจนกระจ่างแจ้ง ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนยามนี้ล้มป่วยหนักจึงยกมอบเรื่องราวทุกอย่างให้หลี่เหว่ยเป็นคนจัดการ หลี่เหว่ยจึงเสนอความเห็นว่าจะให้อาซานร่วมรบกับแคว้นฉานซี เขาจะทำได้หรือไม่ที่ต้องสู้รบกับแคว้นบ้านเกิดของตน อาซานกลับรับปากโดยไม่ลังเล เขาบอกเพียงว่าขอเพียงหลี่เหว่ยไม่ทำร้ายราฎรผู้บริสุทธิ์ของแคว้นฉานซีเขาก็ยินดีร่วมรบ ส่วนท่านอ๋องและขุนนางชั่วทั้งหลายก็แล้วแต่เวรแต่กรรมเถิดหลี่เหว่ยนับถือในความเด็ดเดี่ยวของอาซาน นับว่าคนผู้นี้ยังมีสติปัญญารู้คิดว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาว หลี่เหว่ยก็ได้ทราบข่าวที่ส่งมาจากมู่กุ้ยเหมยที่อยู่ชายแดนว่า หลี่หรงนำกองทัพของตนเข้าร่วมกับแคว้นฉานซี บุกโจมตีชายแดนแคว้นหนานฉีอย่างบ้าคลั่ง ยามนี้ทหารล้มตายไปไม่น้อย ยามนี้นางพยายามต้านอย่างสุดกำลัง ขอให้เขาส่งกำลังเสริมมาช่วยนางโดยด่วนฮ่องเต้หลี่เจี้ยนมีราชโองการให้หลี่เหว่ยยนำกองทัพไปปราบ
"ว่าอย่างไรนะ คนหายไปแล้วอย่างนั้นหรือ หายไปได้เช่นไรกัน!"หรงหวาที่ได้ยินองค์รักษ์ลับเข้ามารายงานว่าบิดามารดาของอาซานได้หายออกไปจากจวนของแม่ทัพใหญ่มู่แล้วนางก็กำมือแน่น อีกทั้งยังลอบก่นด่าคนตระกูลมู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้งก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางมาแคว้นหนานฉีชินอ๋องหลี่หรงลูกพี่ลูกน้องของนางที่เกิดจากน้องสาวของท่านพ่อ ได้ฝากฝังนางให้แม่ทัพใหญ่มู่คอยดูแล นางจึงส่งบิดามารดาของอาซานไปคุมขังเอาไว้ที่ห้องใต้ดินของจวนตระกูลมู่ อีกทั้งยังให้แม่ทัพใหญ่มู่ทรมานคนตามที่นางสั่ง แม่ทัพใหญ่มู่เป็นคนของชินอ๋องหลี่หรง และเขาเองก็ร่วมมือกับแคว้นฉานซีต้องการจะโค่นล่มแคว้นหนานฉีเช่นเดียวกัน ความแค้นหนหลังของแม่ทัพใหญ่มู่และฮ่องเต้หลี่เจี้ยนนั้นนางไม่ได้ทราบรายละเอียดมากเท่าใดนัก แต่ก็นับว่าดีไม่น้อยที่มีคนหนุนหลังคอยช่วยเหลือแคว้นฉานซีของนาง ซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่มากฝีมือแห่งแคว้นเสียด้วยแต่ยามนี้คนกลับหายไป ไม่เพียงเท่านั้น เหล่านักโทษที่ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดินของจวนตระกูลมู่ก็หายไปด้วยเช่นกัน หากเรื่องราวนี้รู้ถึงหูของฮ่องเต้หลี่เจี้ยนเกรงว่าแม้แต่นางก็อาจจะไม่รอดที่สำคัญ ยามนี้ไม่มีบิดามารดาขอ
ด้านหลี่เหว่ยนั้นก็ได้บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เสด็จพ่อของตนฟัง รวมถึงบอกว่าคนที่ถูกจับมาจะสามารถเป็นพยานอย่างดีให้พวกเราได้ และแม่ทัพใหญ่มู่ก็ไม่อาจหนีรอดจากการจับกุมในครั้งนี้ไปได้ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนกัดฟันกรอด เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าแม่ทัพใหญ่มู่จะทรยศและหักหลังเขาเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าก็เคยร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบด้วยกันมา ต่อสู่ฝ่าฟันทุกอย่างมาด้วยกัน แต่วันนี้กลับคิดทรยศหักหลังเขาได้อย่างเลือดเย็น"รักษาคนที่ถูกจับให้หายดี แล้วทำการไต่สวนพวกเขา หาหลักฐานให้ได้มากที่สุด อีกไม่นานพวกมันคงจะรู้ตัวแล้ว เราต้องรีบจัดการก่อนที่คนร้ายจะไหวตัวทัน""พ่ะย่ะค่ะ""ที่สำคัญ พ่อเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่มู่คงไม่อาจจะวางแผนการนี้ได้คนเดียว ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเขาเป็นแน่ เจ้าจงระวังเอาไว้ให้ดี""ลูกทราบแล้ว เช่นนั้นลูกขอตัวก่อน"“อืม”เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วหลี่เหว่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เขายังไม่ได้บอกเรื่องของอาซานให้เสด็จพ่อทรงทราบ เพราะเรื่องของแม่ทัพใหญ่มู่ก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว เรื่องอื่นเขายังจัดการด้วยตนเองได้ หากหรงหวายังไม่ยอมรามือจากน้องสาวของเขา เขาจะไม่เก็บนางเอาไว้ คงทำได้เพียงส่งศีรษะของนางกลับ
มู่กุ้ยเหมยขมวดคิ้วมุ่น นางสบตากับหลี่เหว่ยอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย นางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเกรงกลัว แต่ที่นางแปลกใจก็คือ เหตุใดหลี่เหวยจึงมาอยู่ในจวนของนางได้ อีกทั้งยังมีองค์หญิงหลี่ฮวาที่ตามมาด้วยหลี่เหว่ยที่เห็นว่ามู่กุ้ยเหมยไม่เอ่ยตอบ ก็ตรงเข้ามาประชิดตัวนาง ก่อนจะยกมีดสั้นวางทาบลงบนลำคอขาวเนียนของมู่กุ้ยเหมยอย่างรวดเร็ว"ตอบมา ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้า ต่อให้เป็นคนที่ข้าฝึกฝนมาเองกับมือ ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการละเว้น"มู่กุ้ยเหมยที่ถูกหลี่เหว่ยข่มขู่กลับไม่โกธร นางรู้ดีว่ายามอยู่ในสถาณการณ์คับขัน หลี่เหว่ยก็จะเย็นชาเช่นนี้อยู่เสมอ นางรู้จักเขามานานหลายปี นิสัยของเขานางเข้าใจดีมู่กุ้ยเหมยรีบคุกเข่าลง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม"เดิมทีหม่อมฉันก็สงสัยในตัวบิดาตนเองเช่นกัน จึงเข้ามาตรวจดูในห้องตำรานี้ ไม่คาดคิดว่าจะพบห้องลับ และพบว่าเขาจับคนมาขังเอาไว้และทรมานคนเหล่านั้นอย่างทารุณเช่นนี้ องค์ชายใหญ่โปรดวางพระทัย ต่อให้ตัวต้องตาย กุ้ยเหมยก็ไม่มีทางทรยศบ้านเมืองเด็ดขาด หากพระองค์มาเพื่อช่วยคน เช่นนั้นก็รีบมือเถิดเพคะ หม่อมฉั