องค์ชายเก้า!ในความเงียบสงัดภายในหอคัมภีร์เหวินยวนบรรดาขุนนางต่างตกตะลึง และมีสีหน้าประหลาดใจวันนี้องค์ชายเก้าอยู่ในห้องทรงพระอักษรแต่ขุนนางส่วนใหญ่เห็นว่าองค์ชายเก้าเป็นเหมือนอากาศ แทบไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาพอคิดอย่างรอบคอบแล้วแท้จริงแล้วเป็นองค์ชายเก้าที่คอยชี้แนะการพัฒนาของเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นบทกวีสามบท หรือหนิงชิงโหวและการสอบขุนนางพระราชทาน ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์ชาย!ตั้งแต่เริ่มแรกก็มีความขัดแย้งระหว่างขุนนางกับองค์ชายเก้า!แต่หลังจากที่หรงกั๋วกงมาถึง ความขัดแย้งก็เปลี่ยนไปเป็นการต่อสู้ระหว่างสองกลุ่มหลัก ชนชั้นสูงและขุนนาง และองค์ชายเก้าถูกเพิกเฉยไป!จริงๆ แล้วองค์ชายเก้าคือผู้บงการเบื้องหลังเรื่องนี้ไม่เพียงแต่กลุ่มขุนนางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชั้นสูง ขันที และแม้แต่ฮ่องเต้ ล้วนกลายเป็นเบี้ยในมือของเขาและกำลังถูกบงการอยู่ในมือของเขา!ซี๊ด...เสียงสูดหายใจด้วยความตกใจก็ดังขึ้นใบหน้าของขุนนางทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยองค์ชายเก้าที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง จะฉลาดขนาดนี้ตอนนี้ปัญหามาแล้วองค์ชายเก้าต้องการทำอะไร?พวกขุนนางไม่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ขุนนางทุกคนก็ตกตะลึงหนิงชิงโหวได้เป็นจอหงวนไม่ว่าคนโง่อย่างจางอี้ก็สามารถกลายเป็นบัณฑิตชั้นสูงได้หรือ?องค์ชายเก้าดูแคลนระบบการสอบขุนนางที่มีมาอย่างยาวนานนับพันปีนี้ต่ำไปหรือไม่?นอกเสียงจากว่าจะโกง!ส่วนคำถามนั้น ฮ่องเต้จะเป็นคนออกหัวข้อเอง ขัดขวางเส้นทางของการเล่นพรรคเล่นพวกและการทุจริตของขุนนางพวกขุนนางล้วนเป็นคนฉลาด แต่ก็ยังไร้มาตรการรับมือองค์ชายเก้ามีวิธีการอะไร ถึงสามารถรับประกันได้ว่าหนิงชิงโหวและจางอี้ได้?ตู้เหวินยวนส่ายหัว แล้วถอนหายใจ “นี่คือสิ่งที่ข้าคิดไม่ออก! ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตจอหงวน หรือบัณฑิตชั้นสูง ในเงื่อนไขที่ยุติธรรม นอกจากการแข่งขันเพื่อความสามารถและการเรียนรู้ที่แท้จริงแล้ว ก็ยังต้องอาศัยโชคด้วย...”“สรุปแล้ว ข้าคิดว่า ต่อให้ความคิดขององค์ชายเก้าจะพิถีพิถันแค่ไหน จะฉลาดล้ำลึกแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำได้!”ขุนนางคนหนึ่งพูดเสียงต่ำว่า “ถ้าเกิดว่า... ถ้าเกิดว่าองค์ชายเก้ามีวิธีการจริงๆ ล่ะ ให้หนิงชิงโหวและจางอี้สอบผ่าน จะทำอย่างไร?”ดวงตาของตู้เหวินยวนก็เย็นชาขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็คงต้องใช้วิธีการทุกอย่าง สู้กันให้ตายไปทั้งสองฝ่าย
โรงเรียนทหารซีซาน?สีหน้าของหนิงชิงโหวดูประหลาดใจไม่ใช่เพราะคำว่าซีซานสองคำนี้ แต่คือโรงเรียนทหาร!อย่างไรเสียในสมัยโบราณไม่มีโรงเรียนทหารหนิงชิงโหวถามด้วยความประหลาดใจ “โรงเรียนทหารหมายความว่าอย่างไร?”ลั่วอวี้จู๋จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชายเก้าต้องการใช้ชื่อนี้ ข้าคิดว่ามันคงเหมือนกับสำนักศึกษาอะไรแบบนั้นกระมัง? เจ้าไปถามเจ้าตัวเองเลยเถอะ!”หนิงชิงโหวพยักหน้า พร้อมกับเดินตามลั่วอวี้จู๋ไปที่ห้องรับแขก และจิบชาอย่างช้าๆแต่ในใจเขากลับคิดถึงความหมายของโรงเรียนทหารไม่นานนักหลี่หลงหลินก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มข้างหลังเขาคือซูเฟิ่งหลิง ใบหน้าอันงดงามของนางแดงก่ำ หมัดของนางกำแน่น ราวกับอยากจะฆ่าคนไม่จำเป็นต้องพูดซูเฟิ่งหลิงไม่เพียงแต่ถูกหลอกเท่านั้น แต่ยังถูกหลี่หลงหลินเอาเปรียบ นางเสียเปรียบไปไม่น้อย!“คารวะองค์ชายเก้า!”หนิงชิงโหวเป็นผู้นำทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วยกมือคารวะไปทางหลี่หลงหลิน“นั่งตามสบายเถอะ!”หลี่หลงหลินโบกมือ ไม่ได้วางท่าเลยสักนิด ยิ้มให้หนิงชิงโหวแล้วถามว่า “เกียรติยศของเจ้าถูกกู้กลับคืนมาแล้วใช่หรือไม่?”หนิงชิงโหวกล่าวด้วยความเ
อย่าไปสนใจเหล่าบรรดาชนชั้นสูงที่จางเฉวียนหรงกั๋วกงเป็นผู้นำ วันปกติสวมชุดเครื่องแบบทหาร พกดาบยาว ดูแล้วเหมือนจะได้เรื่องได้ราว ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาสามารถบัญชาการทหารได้หรือ? สู้รบเป็นหรือ? ตอนเข้าไปในสนามรบ ไม่กลัวจนฉี่ราด ก็ถือว่าดีมากแล้ว ก็เพราะฝ่าบาทเข้าใจหลักการข้อนี้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งจางไป่เจิงให้นำทัพทหารรักษาพระองค์หนึ่งแสนนายออกไปรบ แต่เมื่อจางไป่เจิงไป เมืองหลวงก็จะว่างทันที นำไปสู่เหตุการณ์ยุ่งเหยิงที่องค์ชายหกก่อกบฏเพื่อแย่งชิงอำนาจ หรือว่าราชสำนักนี้ นอกจากจางไป่เจิงคนเดียวแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถต่อสู้ได้อีก? หรือจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หลี่หลงหลินมองไปทางหนิงชิงโหวแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นไหนเจ้าลองว่ามาสิ เหตุใดถึงเกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้? หนิงชิงโหวขมวดคิ้วเป็นปม ดำดิ่งสู่ห่วงความคิด ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากกว่าการทหารหรือ? ก็ไม่ใช่ ฝ่าบาทได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้บู๊ พร่องการปกครองเมืองด้วยวัฒนธรรม เชี่ยวชาญด้านการทหาร แล้วจะให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากกว่าการทหารได้อย่างไร? ต้าเซี่ยขาดแคลนผู้มีความสามารถหรือ? ก็ยังไม่ใช่ ต้า
ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกว่าตนเองถูกหักหลัง จึงบ่นพึมพำ “แต่ท่านก็บอกอยู่ว่า จะต้องสร้างกองทัพตระกูลซูขึ้นมาใหม่ ทำไมถึงกลายเป็นจะก่อตั้งโรงเรียนทหารไปได้ล่ะ!” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โรงเรียนทหารกับกองทัพใหม่ จะสร้างไปด้วยกันไม่ได้หรือ! นอกจากนี้ ข้าก็เกณฑ์ชาวบ้านอพยพมาหนึ่งพันคนแล้วไม่ใช่หรือ บวกกับทหารพ่ายศึกที่มีอยู่เดิม ข้าไม่ได้ต้องการแค่สร้างกองทัพตระกูลซูขึ้นมาใหม่ แต่ยังจะสร้างกองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้เป็นมาตรฐานด้วย” หนิงชิงโหวดวงตาเป็นประกาย “ข้าเข้าใจแล้ว! องค์ชายจะให้กองทัพตระกูลซูเป็นมาตรฐาน เพื่อที่จะประชาสัมพันธ์โรงเรียนทหารซีซาน! เมื่อถึงตอนนั้น วีรบุรุษที่มีความสามารถในใต้หล้า ก็จะหลั่งไหลกันเข้ามาราวกับน้ำหลาก...” หลี่หลงหลินลูบคางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้องแล้ว” ในสมองของเขา นึกถึงภาพหนึ่งขึ้นมา ชายหนุ่มที่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นหลายพันคน รวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้างของโรงเรียนทหารซีซาน และตะโกนเรียกเสี้ยวจ่าง! ตัวเองหัวล้าน ปัดโถ่..... ตัวเองที่ผมสวยพลิ้วสลวย แต่งกายด้วยชุดทหาร ตรวจตราทัพสามกอง มองแล้วช่างสง่าผ่าเผย! ไม่ว่ายังไงก็ตาม เมื่อเทียบกับเ
องค์ชายเก้าดูจะให้ความสำคัญกับตนมากเกินไปหรือเปล่านะ? ซูเฟิ่งหลิงเองยิ่งประหลาดใจ จึงดึงหลี่หลงหลินไปด้านข้างเพื่อคุย “ท่านให้ข้าเป็นอาจารย์หรือ?” หลี่หลงหลินเผยยิ้มร่า “ใช่แล้ว การเป็นอาจารย์น่าเกรงขามมากนะ! ถ้าเจ้าไม่ชอบหน้าเขา เจ้าก็สามารถซ้อมเขาได้! เจ้าชอบซ้อมคนที่สุดไม่ใช่หรือ?” ซูเฟิ่งหลิงใบหน้าแดงก่ำ “แต่ว่า แต่ว่า ข้ารู้แค่เรื่องการต่อสู้ ความรู้ทางวิชาการข้าอาจจะเทียบกับจางอี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ” จางอี้ยังไงก็เคยเรียนที่สำนักศึกษาแห่งแคว้นมาตั้งแต่เด็ก ได้รับการสอนจากบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่! ถึงแม้ว่าจางอี้จะมีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ตั้งใจเรียน ทำให้เหล่าบัณฑิตโกรธจนควันออกหู แต่สุดท้ายเขาก็ยังได้เป็นกงเซิงอยู่ดี! ซูเฟิ่งหลิงเติบโตมากับปู่ในกองทัพ ไม่เคยได้เรียนหนังสือเลย อ่านออกเขียนได้ก็เพราะมีพี่ชายและพี่สะใภ้คอยสอน ตนเองเป็นแค่คนอ่านออกเขียนได้นิดหน่อย จะไปเป็นอาจารย์ของบัณฑิตได้อย่างไร นี่มันเรื่องเหลวไหลชัดๆนะ? หลี่หลงหลินพูดอย่างจริงจัง “ที่นี่คือโรงเรียนทหาร ไม่ใช่สำนักศึกษา! นอกจากวิชาการแล้ว ยังต้องสอนการวางแผนยุทธวิธี และยังต้องสอนวิทยายุทธ์ด้วย อันนี้เจ้าถนัดใช่ไห
“ปัง!” ซูเฟิ่งหลิงปิดประตูโดยไม่รู้ตัว ถึงค่อยตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจ้องหลี่หลงหลินอย่างโกรธเคือง “ปิดประตู ปล่อยหมาหรือ? ท่านว่าใครเป็นหมา?” หลี่หลงหลินโยนไม้บรรทัดให้ซูเฟิ่งหลิง “เจ้าอย่าเพิ่งไปใส่ใจเรื่องนั้นเลย! ยังไงก็ตาม เจ้าแค่คอยดูเขาให้อ่านหนังสือ ถ้าเขากล้าขี้เกียจ เจ้าก็ตีเขาแรงๆ เลย!” ซูเฟิ่งหลิงถือไม้บรรทัดไว้ เมื่อเห็นจางอี้ตัวสั่นด้วยความกลัว สภาพน่าสงสาร น่าก็เกิดความสงสารขึ้นมาทันที “ข้า...ข้าทำไม่ลง!” หลี่หลงหลินแค่นเสียง “ดูเจ้าสิ! ตอนที่เจ้าตีข้า ลงมือไปเต็มแรงเลยไม่ใช่หรือ?” ซูเฟิ่งหลิงหน้าแดงก่ำ “ไร้สาระ! ท่านก็คือท่าน เขาเป็นเขา ข้าไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกับเขา...” หลี่หลงหลินมองซูเฟิ่งหลิง แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ข้าเข้าใจแล้ว! ตีคือรัก ด่าคือความเอ็นดู รักมากก็ต้องใช้เท้าถีบ! เจ้าตีข้า แสดงว่าเจ้ารักข้า!” ซูเฟิ่งหลิงโกรธจัด “ไปให้พ้น! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตีท่านให้ตาย...” หนิงชิงโหวเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกแล้ว จึงรีบห้าม “องค์ชายเก้า จางอี้ยังอยู่ตรงนี้นะ...” หลี่หลงหลินไม่สนใจซูเฟิ่งหลิง เดินไปหาจางอี้แล้วถาม “เมื่อครู่ เหตุใ
หนิงชิงโหวและกลุ่มบัณฑิต ถอดเสื้อคลุมบัณฑิตออก เปลี่ยนเป็นเครื่องแบบทหารสีดำที่ดูสง่าผ่าเผย อบรมสั่งสอนเหล่าทหารให้อ่านออกเขียนได้ ผลที่ออกมา แน่นอนว่าแย่มาก ทหารพ่ายศึกของตระกูลซูก่อนหน้านี้อย่างน้อยก็เคยผ่านสนามรบมา รู้จักเชื่อฟังคำสั่ง แม้จะไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ก็ยังพยายามเรียน แต่ผู้อพยพจากดินแดนทางเหนือที่เกณฑ์มาใหม่นั้นไม่ได้เรื่องเลย พวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ว่าทำไมต้องต่อสู้ เข้ามาเป็นทหารก็เพื่อให้มีข้าวกิน ตอนฝึกก็ทำแบบส่งๆ พอให้พวกเขาอ่านหนังสือก็ยิ่งแล้วใหญ่! ระเบียบวินัยในห้องเรียนก็แย่มาก บางคนนอนหลับ บางคนกินข้าว บางคนคุยกัน มีบางคนถึงขั้นแอบเล่นการพนันอยู่ข้างหลัง หนิงชิงโหวไม่เคยเป็นอาจารย์มาก่อน ขาดประสบการณ์ พอเจอสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงไปขอความช่วยเหลือจากหลี่หลงหลิน หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้ง่ายมาก! ไปเปิดหน้าต่างห้องของจางอี้!” จางอี้เรียนกับซูเฟิ่งหลิงเพียงลำพัง คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีจางอี้อยู่ รู้แต่ว่ามีห้องหนึ่งที่ปิดประตูหน้าต่างตลอดเวลา และมักจะมีเสียงแปลกๆ ดังออกมา “อ๊าๆๆๆๆๆ...” “ขงจื๊อกล่าวว
ความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้หวู่ เปี่ยมด้วยความพอใจอย่างยิ่ง “เจ้าเก้านี่มักจะทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอจริงๆ”ฮ่องเต้หวู่ทรงยกน้ำแกงปลาเบื้องหน้าขึ้น ค่อยๆ ลิ้มรสความหวานละมุน รสชาติยังคงติดตรึง ยิ่งกว่าความอร่อยที่รับรู้ทางรสสัมผัสคือความรู้สึกอิ่มเอมในพระทัยเมื่อเห็นฝ่าบาททรงพอพระทัยยิ่งนัก ฮองเฮาหลินจึงรีบทูลว่า “ฝ่าบาท หากฝ่าบาททรงโปรด หม่อมฉันสามารถทำน้ำแกงปลาถวายฝ่าบาทได้ทุกวัน เพื่อบำรุงพระวรกายของฝ่าบาทเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น แม้พระโอรสจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ นี่ก็เป็นความกตัญญูของเขาเพคะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงดื่มน้ำแกงปลาในชามจนหมดสิ้น ก็รู้สึกสบายพระวรกาย “ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสเนื้อปลาที่สดอร่อยถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าที่ตงไห่จะมีปลาพันธุ์ดีรสเลิศเช่นนี้อยู่ด้วย วันนี้ข้าถือว่าได้อิ่มหนำสำราญแล้ว!”เมื่อเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงสำราญพระทัย ก้อนหินที่ถ่วงอยู่ในใจของฮองเฮาหลินก็คลายลง นางกลัวว่าฮ่องเต้หวู่จะทรงลงพระอาญาแก่หลี่หลงหลิน ในความเห็นของฮองเฮาหลินแล้ว น้ำแกงปลาชามนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของหลี่หลงหลินทีเดียวฮ่องเต้หวู่มองไปที่เว่ยซวินอย่างสนพระทัยยิ่ง ตรัสว่า “สหาย เล่าให้ข้
เรื่องในราชสำนักล้อเล่นไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะต้องนำพาภัยพิบัติมาสู่บ้านเมืองและราษฎร ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้ยืนเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเคร่งขรึม “ข้าตั้งใจจะเรียกตัวองค์รัชทายาทเข้าเมืองหลวงมาพบข้าทันที ข้าจะถามเขาต่อหน้า ว่าไอ้ ‘เหตุใดไม่กินโจ๊กเนื้อเล่า’ นี่มันหมายความว่ากระไรกันแน่!”ทันใดนั้น ฮองเฮาหลินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทูลว่า “ฝ่าบาท สิ่งที่พระโอรสพูด ดูเหมือนว่า...ก็ไม่ผิดนะเพคะ”“อะไรนะ?”ในแววตาของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเย็นชา “มิน่าเล่าหลี่หลงหลินถึงได้ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้ายังเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา! เหลือเชื่อจริงๆ! มีแม่เช่นไรย่อมมีลูกเช่นนั้น!”เพียงชั่วพริบตา ความประทับใจดีๆ ที่ฮ่องเต้ทรงมีต่อฮองเฮาหลินมาตลอดหลายปีก็มลายหายไปสิ้นฮองเฮาหลินทูลเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะทรงเข้าพระทัยความหมายของหม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”กล่าวจบ ฮองเฮาหลินก็ทรงหยิบสาส์นฉบับนั้นออกมา ถวายให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท นี่คือลายมือขององค์รัชทายาทเพคะ ขอฝ่าบาททอดแววตาด้วยเพคะ”ฮ่องเต้ทรงเหลือบมอง ในแววตาเต็มไปด้วยโทสะ “ข้าไม่ดู! ต่อให้เป็นล
ฮองเฮาหลินทรงประหลาดพระทัยยิ่งนัก บนใบหน้าอันงดงามสมเป็นมารดาแห่งแผ่นดินปรากฏแววตกตะลึง “ฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสถึงพระโอรสเช่นนั้นเพคะ?”ฮองเฮาหลินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ทอดพระเนตรเห็นว่าฮ่องเต้หวู่ผู้ซึ่งปกติทรงโปรดปรานหลี่หลงหลินยิ่งนัก ยามนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทรงแสดงท่าทีรังเกียจหลี่หลงหลินกระทั่งเมื่อทรงทราบว่าปลานี้หลี่หลงหลินส่งมาจากตงไห่ด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้ ก็ไม่ยอมเสวยน้ำแกงปลาต่อฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พอนึกถึงหลี่หลงหลินขึ้นมา ก็รู้สึกเดือดดาลในท้อง ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะเสวยน้ำแกงปลาใดๆ ทั้งสิ้น“ทำไม? ข้าต่างหากที่อยากจะถามเจ้าว่าเหตุใด! เหตุใดองค์รัชทายาทที่ปกติก็ดูดีๆ อยู่ พอไปถึงตงไห่จึงได้ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!”ฮ่องเต้หวู่กริ้วจนพระพักตร์แดงก่ำ แววตาลุกวาบด้วยโทสะขอบตาของฮองเฮาหลินแดงก่ำขึ้นทันที นางไม่เคยเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงกริ้วถึงเพียงนี้มาก่อน ร่ำไห้สะอื้นไม่หยุด “ฝ่าบาท พระโอรสของหม่อมฉันเพียงแค่อยากจะบำรุงพระวรกายให้ฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องทรงจ้องจับผิดเรื่องความเหลวไหลของเขาอยู่เรื่อย การส่งปลาด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้มันเหลวไหลมา
ฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรไปรอบๆ พระตำหนัก แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของฮองเฮาหลิน ก็ยิ่งทำให้โทสะพุ่งขึ้น “ฮองเฮาหลินอยู่ไหน! ข้าต้องการพบนางเดี๋ยวนี้!”ขันทีน้อยประจำตำหนักฉางเล่อรีบหมอบราบกับพื้น “ทูลฝ่าบาท วันนี้ฮองเฮาเสด็จออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ออกไป? ไปไหน?”คิ้วของฮ่องเต้หวู่ขมวดแน่น โทสะยิ่งพลุ่งพล่าน เดิมทีก็ทรงกริ้วเรื่องของหลี่หลงหลินอยู่แล้ว พอมาถึงช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับหาตัวฮองเฮาหลินไม่พบอีกขันทีน้อยกล่าวเสียงสั่น “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงผู้รับใช้ดูแลกิจวัตรประจำวันของฮองเฮา มิกล้าสอดรู้เรื่องที่เสด็จไปพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง ตรัสว่า “เว่ยซวิน ส่งคนไปตามหาฮองเฮาหลินกลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! วันนี้ข้าจะต้องถามนางให้รู้เรื่องว่าอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทอย่างไร!”เว่ยซวินคิดในใจดูท่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะทรงกริ้วจริงจัง แม้แต่ฮองเฮาก็คงยากจะรอดพ้นความผิดไปได้เว่ยซวินกล่าวเสียงหนัก “ฝ่าบาท กระหม่อมจะส่งคนไปตามหาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทันใดนั้น กลิ่นหอมระลอกแล้วระลอกเล่าโชยมาปะทะจมูก ตามมาด้วยเสียงใสกังวานราวระฆังเงินเป็นระลอกเว่ยซวินก
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ