“ฟูเหรินเจ้าขา” เสี่ยวหงทำเสียงออดอ้อน “ถึงจะไม่หิว ก็ควรจะกินสักเล็กน้อยนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นแล้ว พ่อครัวที่ทำอาหารมาจะเสียใจได้”
คุณชายมองอาหารโต๊ะนั้น มันอุดมสมบูรณ์มากราวกับจะให้คนกินเก่งๆ ช่วยกันกินซักสิบคนเห็นจะได้
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ อย่างไรก็ช่วยชิมสักหน่อยนะเจ้าคะ” เสี่ยวชุ่ยอ้อนวอนอีกแรง
“นี่มันมากเกินไป” คุณชายนั่งลงเพราะขัดต่อเสียงเกลี้ยกล่อมของสองสาวไม่ได้ ตะเกียบหยกขาวถูกส่งถึงมือ
“ฟูเหรินก็กินของที่ถูกปากก็พอเจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยยิ้มแป้นเมื่อเห็นคุณชายเริ่มกินอาหาร
แต่คุณชายก็กินได้ไม่มากนัก กินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งชาม กินกับไปเพียงเล็กน้อยก็อิ่ม เขามองอาหารที่เหลืออย่างนึกเสียดายของดีๆ “ที่เหลือนี่...”
“ทางห้องครัวต้องเททิ้งเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรินน้ำชาส่งให้คุณชายดื่ม
“แจกจ่ายให้บ่าวไพร่ได้หรือไม่?” คุณชายถาม
“ถ้าเป็นความประสงค์ของฟูเหรินย่อมได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงเอ่ยพลางแย้มยิ้ม
คุณชายจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างยินดี “เช่นนั้นก็แจกจ่ายอาหารที่เหลือนี่ให้บ่าวไพร่ไปกินกันเถิด ข้าเสียดายของดีๆ ทั้งนั้น”
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ” สองสาวรับคำพร้อมเพรียง
ช่วงบ่าย...จางจงเข้ามารายงานว่า “คุณชาย...พระชายามารอท่านอยู่ที่ห้องรับรองขอรับ” แล้วนำทางคุณชายไปยังห้องรับรอง
ในห้องรับรองของตำหนักใหญ่...พระชายานั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชาด้วยทีท่าหยิ่งผยอง มีสาวใช้คอยรินน้ำชาให้ด้วยกิริยานอบน้อม นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นคุณชายที่เดินเข้ามา คุณชายจึงต้องเดินไปยังเบื้องหน้าของนางในระยะห่างพอสมควร แล้วน้อมคารวะ
“คารวะพระชายาขอรับ”
นางค่อยๆ วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ เหลือบตามองคุณชายอยู่ครู่หนึ่งด้วยทีท่าข่ม จนคุณชายรู้สึกอึดอัด นางจึงโบกมือขึ้นเบาๆ “ไม่ต้องมากพิธี”
คุณชายค่อยเหยียดกายยืนตรง
“ได้ข่าวว่าเจ้าล้มป่วย?”
“ขอรับ”
“ทำไมไม่กลับไปพักรักษาตัวที่เรือนของเจ้าเสียล่ะ?”
“ข้าน้อยรอพบท่านอ๋องเย็นนี้เพื่อขออนุญาตกลับเรือนขอรับ” คุณชายบอกจุดประสงค์ตามตรง
“ข้าไม่อนุญาต”
เสียงชินอ๋องดังแทรกขึ้น แล้วเจ้าของเสียงก็ก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง ติดตามด้วยองครักษ์คนสนิททั้งสองและขันทีอีกหนึ่ง
“ท่านอ๋อง...” พระชายาเรียกขานพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะยอบกายอย่างแช่มช้อย “คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
คุณชายก็น้อมกาย “คารวะท่านอ๋องขอรับ”
ชินอ๋องเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตำแหน่งประธาน แล้วเอ่ยว่า “ทั้งสองนั่งลง”
พระชายานั่งลงที่ตำแหน่งเดิมด้วยกิริยาสง่านุ่มนวล
แต่คุณชายยังยืนลังเล...หากนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะน้ำชา ก็เท่ากับนั่งเสมอพระชายา เขาเกรงว่าพระชายาจะไม่พอใจ
“นั่งลงสิฟูเหริน” ท่านอ๋องเอ่ยสำทับทั้งยังผายมือมายังที่นั่งนั้น
คำเรียก ‘ฟูเหริน’ ของท่านอ๋อง ทำให้พระชายานึกขัดใจ ชายตามองคุณชายแวบหนึ่ง
คุณชายจึงจำใจต้องนั่งลงตามคำสั่ง
สาวใช้คนหนึ่งนำน้ำชามาต้อนรับชินอ๋อง ส่วนอีกคนก็นำน้ำชามาให้คุณชาย
“ข้าจะให้พระชายารองอยู่ที่ตำหนักนี้เป็นการถาวร” ชินอ๋องกล่าวแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง
“ทำเช่นนี้หาได้เหมาะสมไม่นะเจ้าคะ ท่านอ๋องโปรดใคร่ครวญดูอีกทีเถิดเจ้าค่ะ” พระชายาเอ่ยแย้งทันที สีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างเต็มที่
“เหมาะสมหรือไม่ ข้าเป็นผู้ตัดสินใจเอง”
เมื่อชินอ๋องกล่าวเช่นนี้ พระชายาก็ไม่กล้าคัดค้านอีก ส่วนคุณชายไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธอะไรได้อยู่แล้ว
“และประเพณีที่พระชายารองจะต้องไปยกน้ำชาถามไถ่พระชายาเอกทุกเช้านั้นก็ให้งดเสีย”
น้ำเสียงชินอ๋องแม้เรียบเรื่อย แต่บาดใจพระชายาตู้อย่างแรง นางกะจะใช้ช่วงเวลานั้นเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายให้เจ็บช้ำน้ำใจบ้าง แม้พอจะคาดเดาได้ว่าต่อจากนี้คงใช้อำนาจทำร้ายร่างกายของเขาไม่ได้อีกแล้ว
“หากพระชายาไร้เรื่องราวใดแล้ว เชิญกลับตำหนักไปเถิด”
เมื่อถูกไล่ซึ่งๆ หน้าเช่นนี้...พระชายาก็ได้แต่ลุกขึ้นยืนแล้วยอบกายคารวะ
“ข้าน้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
แล้วเดินผ่านหน้าของคุณชายที่ลุกขึ้นยืนสงบอยู่ นางปรายตามองคุณชายอย่างชิงชัง แล้วก้าวผ่านไปด้วยกิริยาสง่างามและแช่มช้อย สาวใช้ทั้งสามที่ติดตามนางมาด้วยก็ยอบกายคารวะและติดตามนางไปเงียบๆ
พอพระชายาไปแล้ว คุณชายก็น้อมคำนับชินอ๋อง “ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ”
“เจ้าจะไปไหน?”
“.....” ไปไหนได้นอกจากกลับไปที่ห้องข้าง
“ไปหลบซ่อนตัวที่ห้องข้างหรือ?”
“.....” รู้แล้วยังจะถามทำไม
“อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
กับคำถามนี้จะไม่ตอบก็ไม่ได้ “ดีขึ้นมากแล้วขอรับ”
“อืม...เช่นนั้นเจ้าตามข้ามา”
ชินอ๋องสั่งแล้วเดินมาใกล้ เอื้อมมือจับข้อมือคุณชาย จูงพาเดินไปยังห้องนอนใหญ่
ห้องนอนใหญ่กว้างขวางโอ่อ่า ตกแต่งเรียบหรู ข้าวของทุกชิ้นล้วนล้ำค่า
“ต่อไป เจ้าก็ย้ายมาอยู่ที่ห้องนี้”
“ฮะ...?”
“ตกใจอันใด?” คิ้วเข้มของชินอ๋องเลิกขึ้นเล็กน้อย
“คือ...ข้าว่า...ไม่ดี...เอ่อ...ข้าน้อยหมายถึงว่าอยู่ห้องข้างดังเก่าก็ดีอยู่แล้วขอรับ”
จะให้ดีกว่านั้น...ให้ข้ากลับไปอยู่เรือนเล็กท้ายจวนเหมือนเดิมเถอะนะ
“เช่นนั้นเวลาข้าต้องการจะกอดเจ้านอนเล่า ข้ามิต้องไปนอนที่ห้องข้างหรอกหรือ?”
คุณชายอ้าปากค้าง สมองไม่ทำงานไปครู่หนึ่ง
“ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องทำหน้าที่ภรรยาแล้ว”
“แต่ข้ายังไม่พร้อม”
หลุดปากไปแล้ว ใจของคุณชายก็เต้นตึกๆ จนตัวเองยังได้ยิน เพราะเกรงว่าจะไปกระตุ้นโทสะของอีกฝ่ายเข้า
แต่ชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “หึๆๆ ...ค่อยๆ ฝึกไป”
คุณชายกลืนน้ำลายอย่างลำบากยากเย็น
“เริ่มจาก...ช่วยอาบน้ำให้ข้าก่อน”
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”