เสียงหัวเราะหวานใสประสานเสียงของพริมโรสกับยาร่าดังเข้ามาถึงในห้องรับประทานอาหาร ทำให้ฮาน่าผู้ดูแลบ้านยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ยินเด็กสาว หัวเราะอย่างเปิดเผยเช่นวันนี้
“ฮาน่า! เจอตัวพอดีเลย หลังทานข้าวเสร็จ อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมนะ!” ยาร่าพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“ได้ค่ะ คุณหนูไม่ต้องเป็นกังวล ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อย” ฮาน่ารับคำแล้วเดินออกไปเตรียมการ
คามิลล่าเดินนวยนาดเข้ามาในห้องอาหาร ด้วยกิริยาท่าทางสบายๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนหวานประดับไว้ที่มุมปาก ชุดเดรสยาวผ่าด้านหน้าพลิ้วไหวไปตามการเยื้องย่าง เผยให้เห็นท่อนขาขาวเรียวงามวับแวมยั่วยวนสายตา
พริมโรสมองดูเงียบๆ รู้ดีว่ากิริยาที่ดูไม่ตั้งใจนั้น แท้จริงแล้วได้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพื่อให้ดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้าม
คามิลล่ากวาดสายตาคมกริบมองมาคล้ายไม่ตั้งใจ ก่อนที่จะหยุดพิจารณาที่สาวน้อย พลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ที่เห็นว่ามีเด็กสาวอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ด้วย
คงไม่ใช่ลูกสาวของเจ้าของบ้านหรอกนะ!!
“เอ๋! บ้านนี้มีเด็กด้วยรึ? อย่าบอกนะว่าเป็นลูกสาวของผู้พัน!”
คามิลล่าพูด ขณะเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง ใกล้กับเก้าอี้หัวโต๊ะ ยาร่ามองอย่างไม่พอใจ เธอต้องการให้พี่สาวนั่งตรงนั้นใจแทบขาด แต่พี่สาวกลับมานั่งข้างเธอแทน ซึ่งตำแหน่งนั้นจะเว้นไว้เฉพาะญาติหรือคนในครอบครัว คือเธอกับผู้เป็นอาเท่านั้น แต่ผู้หญิงคนนี้กลับนั่งลงไปได้หน้าตาเฉย
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เธอชื่อยาร่า เป็นหลานสาวของผู้พัน .. ยาร่าสวัสดีคุณคามิลล่าสิจ๊ะ”
พอได้ยินว่าเป็นแค่หลาน ทำให้หายใจคล่องขึ้นไม่น้อย จึงเอ่ยปากทักทายอย่างผู้ใหญ่ ที่เสียสละเวลามาทักทายเด็กอย่างใจดี
“สวัสดียาร่า ชื่อน่ารักจัง แปลว่าอะไรเอ่ย?”
“สวัสดีค่ะคุณป้า! คุณพ่อบอกว่า แปลว่าผีเสื้อน้อยค่ะ”
“ปะ..ป้า!..งั้นรึ?” คามิลล่าคิ้วกระตุก ถามอย่างไม่เชื่อหู รูปร่างหน้าตาอย่างเธอเนี่ยนะ จะดูเป็นมนุษย์ป้ามากกว่ายัยสวยเยือกเย็นนั่น
“ดูเหมือนคุณป้าจะอายุมากกว่าพี่สาวนี่คะ ถ้าไม่ให้เรียกว่าคุณป้า หรือจะให้เรียกว่าคุณอาดีคะ?” สาวน้อยถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสา ใสซื่อเสียจนคนไม่กล้าแม้แต่จะโมโหใส่
“แหม! ฉันอายุมากกว่าคุณพริมโรสแค่ปีเดียวเอง ควรเรียกว่าพี่สาวเหมือนกันสิจ๊ะ”
“ที่เปเรซ เราจะเคารพผู้อาวุโสเป็นสำคัญ และจะยึดถือตามอายุที่มากกว่า แก่กว่าก็คือ..แก่! จะปรับเปลี่ยนตามความพอใจได้ไงคะ”
แสบนัก! อยากจะรู้นักว่าพ่อแม่แบบไหน ที่เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กเปตรแบบนี้ได้!! แต่ลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้นหรอก ลูกเป็นยังไง บุพการีก็คงเป็นคนแบบเดียวกันนั่นแหละ!!
พริมโรสเผอิญหันไปสบตาสาวน้อยตรงหน้าโดยพอดี เธอลอบยิ้มเมื่อเห็นการเสแสร้งที่ไร้เดียงสา มารยาที่ใสซื่อ ตากลมแบ๊วซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้อย่างแนบเนียน ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าน้อยที่เอาหนังแกะมาห่ม และมิเสียแรงเลยที่เอ็นดู จึงเผลอหลุดขำออกมาจนต้องไอกลบเกลื่อนเป็นการใหญ่
อาา..ศิษย์รัก! อนาคตไกล! ควรค่าแก่การสั่งสอน!
“ที่รัก! คุณเป็นอะไร?” ผู้พันอิฟราอิมเดินเข้ามาได้ยินเสียงไอเข้าพอดี จึงลูบหลังให้ และนั่งลงเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างกัน
คามิลล่าอ้าปากหวอ เพราะคิดว่าเขาเป็นเจ้าของบ้านก็น่าจะนั่งที่หัวโต๊ะ เธอจึงมานั่งกันท่าไว้ก่อน แต่ไม่กี่วิก็เกิดอาการตาแข็งค้างอย่างตื่นตะลึงตามมาติดๆ เมื่อเห็นบุรุษหล่อเหลาคมคายที่ออร่าไม่แพ้ท่านเจ้าของบ้านเลยแม้แต่น้อย เดินตามมาทางด้านหลัง
“เอ๊ะ!!..โอมายก้อด! ทะ..ท่านคือ สุลต่านโอมาร์!”
ทุกคนหันขวับไปมองคามิลล่า ที่กำลังปากอ้าตาค้างอยู่โดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็หันไปตามทิศทางที่มือเรียวสวยกำลังชี้ค้างอยู่กลางอากาศ แม้แต่ฮาน่าเองก็ยังตกใจไปด้วย ที่ความลับถูกเปิดเผยต่อหน้าสาวคู่หมั้นของเจ้านายเช่นนี้
คนที่นั่งตัวเแข็งเกร็งที่สุดในห้องกลับเป็นพริมโรส เธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาตั้งแต่ทีแรก แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน เป็นจุดใต้ตำตอเข้าอย่างจัง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับท่านและประเทศของท่านอยู่แท้ๆ
แต่พอหญิงสาวได้สติ นึกอะไรได้บางอย่าง จึงหันขวับไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ทำให้เขาสะดุ้ง นั่งตัวตรงขึ้นมาทันที รีบแก้ตัวทันควัน
“เอ่อ ผมเป็นแค่ญาติห่างๆ ของเขา”
“ฉันยังไม่ได้ถาม! จะรีบตอบทำไม!” พริมโรสกัดฟันพูดเสียงเบา ผู้พันอิฟราอิมกลืนน้ำลาย มีความรู้สึกยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ความเย็นยะเยือกสายหนึ่งผุดขึ้นมากลางอก แล้วแผ่ขยายแทรกซึมไปจนทั่วทั้งร่าง
นึกไม่ถึงว่า จู่ๆ เครื่องปรับอากาศในห้องจะมีความเย็นยะเยือกเพิ่มขึ้นมา ราวกับในชั้นบรรยากาศกำลังติดลบ จนทำให้มือเท้าเขาเริ่มชา
องค์สุลต่านไม่ได้มีท่าทีหวั่นวิตกแต่อย่างใด ยังคงสุขุมเยือกเย็นเป็นปกติ แม้จะอายุสามสิบเจ็ดปีแล้ว ทว่ายังคงความหล่อเหลาคมคายอย่างไม่เสื่อมคลาย วันเวลามีแต่จะเพิ่มพูนความภูมิฐานและหนักแน่นให้แก่เขาเท่านั้น
เขาเดินไปนั่งยังตำแหน่งหัวโต๊ะ สายตาคมกริบมองตรงไปยังพริมโรสที่คงนั่งนิ่งด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก จากนั้นก็ส่งสัญญาณมือให้ทุกคนเริ่มรับประทานอาหาร
คามิลล่ามีสีหน้าเอียงอาย แก้มนวลแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ในใจมีความรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างปิดไว้ไม่อยู่ ที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ของประเทศแบบใกล้ชิด แต่ไม่นานก็ปรับสีหน้ารวมถึงกิริยาอ่อนช้อยงดงามให้เป็นไปอย่างปกติ หลังจากนั้นก็ก้มศีรษะหลุบสายตาลง เฉกเช่นกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาแล้วเป็นอย่างดี
องค์สุลต่านเหลือบมองไปทางพริมโรส ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“ดูคุณไม่ได้แปลกใจเลยนี่ น้องชายห่าง-ห่างของผมคงบอกแล้วกระมัง” องค์สุลต่านย้ำเสียงสถานะน้องชายเล็กน้อย
“เอ่อ.. ในห้องนี้ คงจะมีแต่หม่อมฉันคนเดียวที่ฉลาดน้อย และก็ขาดความเฉลียว แถมตายังไร้แวว ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมไม่ค่อยได้ออกสื่อ ภารกิจส่วนใหญ่จะมอบหมายให้น้องชายไปเป็นตัวแทน ถ้าคุณไม่รู้ว่าผมเป็นใครก็ไม่น่าแปลก แต่เปิดเผยแล้วแบบนี้ก็มีข้อดีเหมือนกันนะ จะเดินหน้าทำอะไรก็สะดวกไปหมดทุกอย่าง ไม่ต้องปกปิดตัวตน จริงไหมน้องชายห่าง-ห่าง”
“เอ่อ .. พ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มรับคำเสียงอ่อย กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาวออกมาอย่างช้าๆ แต่ความตึงเครียดในใจกลับเพิ่มขึ้น
เธอพูดกระทบกระเทียบออกมาแนวนี้ คาดว่าคงจะเดาได้แล้วเป็นแน่ แต่เขาตอนนี้ก็ดูแตกต่างไปจากเดิม เวลาที่ต้องออกสื่อใบหน้าเขาจะเกลี้ยงเกลากว่านี้มาก
คามิลล่าแอบลอบช้อนสายตาขึ้นมอง ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ เห็นเขากวาดสายตามองผ่านไปทางพริมโรสอยู่บ่อยๆ แต่เขาไม่แม้แต่จะหันมาดูเธอเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่รูปร่างหน้าตาของเธอ ดูน่าตะลึงตะลานมากกว่ายัยนั่นเสียอีก
คงต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อเรียกร้องให้เขาหันมาสนใจ
“ขอประทานอภัยเพคะ ในที่นี้ไม่มีใครแนะนำตัวหม่อมฉันเสียที ขอประทานอนุญาตแนะนำตัวเองเพคะ หม่อมฉันชื่อคามิลล่า เป็นเพื่อนสนิทกับคุณพริมโรส”
เมื่อคามิลล่าพูดออกไป สุลต่านโอมาร์ก็หันมาทางเธออย่างที่คาดไว้ ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงมาก พวงแก้มทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงเย้ายวนใจ ทั้งที่พยายามรักษาท่าทีสงบสำรวมมาโดยตลอด แต่เมื่อถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมอง ก็อดที่จะรู้สึกขัดเขินไม่ได้ มือทั้งสองข้างเผลอกำไว้แน่นจนชื้นไปด้วยเหงื่อ
พริมโรสหันขวับไปมองเพื่อนสนิท รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย ที่ถูกยัดเยียดความเป็นเพื่อนให้โดยไม่ถามความสมัครใจ
สุลต่านโอมาร์หันไปมองหญิงสาวรูปโฉมงดงามสะดุดตาด้วยท่าทีสงบสำรวม เขายิ้มรับและตอบกลับอย่างสุภาพ
“ครับ..ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาผงกศีรษะ ทักทายเพียงสั้นๆ แต่กลับทำให้คามิลล่ารู้สึกปลื้มปริ่ม ราวกับบุรุษสูงส่งผู้นี้ ประทานประโยคยาวๆ มาให้สักหลายประโยค
หญิงสาวรู้สึกประทับใจสุดชีวิต ที่ได้มีโอกาสสนทนากับสุลต่านที่ยังดูหนุ่มแน่น และหล่อเหลาที่สุดในสามโลกอย่างเป็นกันเอง
กษัตริย์พระองค์นี้ รูปงามที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด แม้แต่มกุฏราชกุมารผู้น้อง ที่ได้รับการยอมรับจากสาวๆ ทั่วโลกว่าเป็นบุรุษที่หน้าตาดี บุคลิกสง่างามและเซ็กซี่ ก็ยังเทียบไม่ได้กับพี่ชายพระองค์นี้ เพียงแต่เขาไม่ค่อยจะออกสื่อสักเท่าไหร่ แม้แต่ในวิกิพีเดีย ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาอยู่น้อยมาก
ยาร่าเฝ้ามองบิดาเป็นระยะๆ พอเห็นว่ากำลังรวบช้อนในจาน จึงลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้อง
จู่ๆ ไฟในห้องก็ดับลงอย่างกระทันหัน คามิลล่าหวีดร้องออกมาดังลั่นท่ามกลางความมืด ผวาเข้ากอดแขนบุรุษที่อยู่ใกล้ๆ อย่างหวาดกลัว
ไม่กี่นาทีต่อมา เสียงหวานใส ร้องเพลงวันเกิด เป็นภาษาอังกฤษ ดังอยู่ท่ามกลางความสลัว แสงเทียนไหววูบไปตามจังหวะการเดินที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาในห้อง พร้อมเด็กชายที่นั่งอยู่ในรถเข็นที่ฮาน่าเป็นคนเข็นเข้ามา จนไปหยุดอยู่ที่หัวโต๊ะ ตรงตำแหน่งของผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศนั่งอยู่
สุลต่านโอมาร์ยิ้มออกมาเต็มที่ ค่อยๆ ปลดมือเรียวบางของคนที่นั่งข้างกันออกอย่างสุภาพ แล้วลุกขึ้นยืนรับถาดเค้กที่เต็มไปด้วยแสงสว่างมาจากมือของลูกสาว เอามาวางไว้บนโต๊ะอาหาร ก่อนที่จะสวมกอดสาวน้อยร่างเล็กไว้แน่นอย่างอบอุ่น แล้วหันไปประทับจุมพิตบนหน้าผากของลูกชาย
เขาแตะมือที่หน้าอก หลับตาอธิษฐานอยู่ชั่วครู่ แล้วเป่าเทียนดับจนหมดในคราเดียว แชนเดอเลียร์คริสตัลอันหรูหราบนเพดานค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นมาทีละน้อยทันทีที่แสงเทียนสุดท้ายดับลง
ทุกคนปรบมือขึ้นพร้อมกัน ต่างก็รู้สึกประทับใจกับภาพที่เห็น ฮาน่าหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา เธอไม่ได้เห็นภาพแห่งความสุขเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว
ยาร่าตัดแบ่งเค้ก และตักให้บิดาก่อน มองสีหน้าผู้เป็นพ่อด้วยความคาดหวัง หลังจากที่เขาตักเค้กเข้าปาก เคี้ยวอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงียบไปนาน เด็กสาวทนรอไม่ไหวจึงออกปากเร่ง
“เสด็จพ่อ!…” องค์สุลต่านมองตาสาวน้อย ที่กำลังมองมาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“อยากฟังความจริงก่อน หรือคำโกหกก่อน?”
“อืม…โกหกเพคะ”
“ไม่อร่อย”
“แล้วความจริง?…”
“ให้ไปฟังจากคำโกหก”
“ท่านพ่อเนี่ย!..จะชมลูกออกมาตรงๆ มันยากนักหรือเพคะ!” เด็กสาวเขินจัด ทุบอกผู้เป็นพ่อเบาๆ จนเขาต้องจับมือเล็กเอาไว้ แล้วหัวเราะ
“เป็นเค้กที่อร่อยจริงๆ รสชาติดีที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลย!” เขาเว้นวรรคไปนาน ก่อนจะพูดต่อจนจบประโยค ทำเอาสาวน้อยที่กำลังลุ้นอย่างตื่นเต้น ต้องตวัดสายตาค้อนอย่างแสนงอน ทำให้ทุกคนอดหัวเราะไม่ได้ให้กับการหยอกเย้าที่น่ารักของคนทั้งคู่
“แฮบปี้เบิร์ดเดย์ล่วงหน้าเพคะ” พริมโรสยิ้มเต็มที่จนเห็นแก้มบุ๋มคล้ายลักยิ้ม อวยพรขึ้นมาเป็นคนแรก
องค์สุลต่านมีอาการคล้ายลมหายใจเหมือนจะติดขัด เมื่อเผชิญรอยยิ้มหวานเย้ายวนปะทะเข้าเต็มหน้า จนเผลอจ้องมองด้วยอาการเคลิบเคลิ้มลืมตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกอิจฉาและริษยาน้องชายของเขาขึ้นมาเป็นอย่างมาก
“สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้ากระหม่อม” ผู้พันอิฟราอิมโอบไหล่คู่หมั้น แล้วกล่าวอวยพรบ้าง
จากนั้นคนอื่นๆ ในห้องก็อวยพรกันหมดทุกคน
“ขอบคุณมากทุกๆ คน ฮาน่าเอากรานมอลต์มาฉลองกันหน่อยเถอะ และเสริฟไวน์ให้สองสาวนี้ก็แล้วกัน”
“เพคะ”
พริมโรสรีบปฏิเสธแอลกอฮอล์ เธอไม่อยากเสียมารยาท ซึ่งเป็นการผิดธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนา
……………….
กรานมอลต์ - คือเบียร์และไวน์ ที่ปราศจากแอลกอฮอล์ วางขายกันในประเทศมุสลิมหลายประเทศ บางประเทศใช้ชื่อว่าน้ำผลไม้หมัก บ้างก็เรียกว่า กรานมอลต์ GranMalt brewers
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา