“ครูดีใจนะไพลินที่เธอได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้ เพราะมีไม่บ่อยมากนักที่นักเรียนจะได้ทุนฟรีเต็มจำนวนโดยไม่ต้องสอบแข่งขันกับใคร และก็ขอบใจไมร่าด้วยที่ช่วยเปิดโอกาสดี ๆ ให้เพื่อน” น้ำเสียงภูมิใจของครูเพ็ญชาติบอกลูกศิษย์วัยสาวด้วยความปลื้มปริ่ม
“ลินเป็นคนเก่งและเป็นเพื่อนที่ดีของไมร่าตลอดเวลาที่ ไมร่าอยู่ที่ไทย อะไรที่ช่วยได้ไมร่าก็อยากช่วย ไมร่าพอจะรู้ว่าที่นี่ทุนแบบเต็มหายากและต้องแข่งขันสูง ไมร่าแค่ช่วยเป็นสื่อกลางเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็อยู่ที่ลินจะสัมภาษณ์กับพี่เมสันเอง” ภาษาไทยที่ฟังดูแปร่ง ๆ ของไมร่าพูดถ่อมตัวเพราะรู้ว่าไพลินเป็นคนขี้เกรงใจ การพูดให้คนอย่างไพลินรู้สึกว่าตัวเองได้อะไรมาด้วยความสามารถจะช่วยสร้างกำลังใจให้เพื่อนสาวมากกว่าการช่วยเหลือแบบไม่ให้แสดงความสามารถอะไรเลย
“แล้วอยากให้ครูช่วยพูดให้ความมั่นใจกับคุณเมสันหรือเปล่าว่าไพลินเป็นคนยังไง เรียนดี เรียนเด่น มารยาทงามเหมาะสมกับการได้ทุนอะไรแบบนี้ด้วยไหม” ครูเพ็ญชาติถามนักเรียนทั้งสองคนที่คืนนี้อยู่ในความดูแลของตนเองหลังจากที่ ไมร่ามาขออนุญาตให้ไพลินมาค้างด้วยเพื่อจะสอบสัมภาษณ์ทุนผ่านทางวิดีโอคอลในคืนนี้กับทางผู้ให้ทุนที่อยู่อเมริกา
ครูเพ็ญชาติยินดีเป็นอย่างมากเมื่อรู้ถึงโอกาสที่ลูกศิษย์จะได้รับและให้การสนับสนุนเต็มที่พร้อมเอาใจช่วยให้ไพลินผ่านการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ไปได้ด้วยดี
“ไม่เป็นไรค่ะครู หนูอยากคว้าโอกาสนี้ด้วยตัวเอง หนูจะทำให้เต็มที่ครูเป็นกำลังใจให้หนูก็พอค่ะ” ไพลินบอกครูอย่างซาบซึ้ง
“อีกหนึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาที่นัดกับพี่เมสันไว้แล้ว ไมร่าเป็นกำลังใจให้นะไม่ต้องตื่นเต้น พี่เมสันอาจจะดูเคร่งขรึม หน้าดุ แต่ไม่มีอะไรหรอก ไมร่าจะนั่งอยู่ข้างลินคอยเป็นกำลังใจให้” ไมร่าให้กำลังใจเพื่อนสาวด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
อันที่จริงไมร่าเองที่เป็นคนรบเร้าให้เมสันเจอไพลินผ่านทางวิดีโอคอล เพราะลำพังเรื่องทุนที่ไมร่าขอพี่ชายให้ไพลินนั้น เมสันตอบตกลงตั้งแต่ครั้งแรกที่น้องสาวโทรไปขอและเกริ่นเรื่องของไพลินให้ฟังแล้ว ค่าใช้จ่ายสำหรับการกินการอยู่และค่าเล่าเรียนที่จะต้องออกให้เพื่อนของน้องสาวสำหรับเมสันแล้วถือว่าเป็นแค่เศษเงินที่ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ไม่เข้าใจน้องสาวว่าทำไมถึงต้องอยากให้เจอหน้าเพื่อนของเธอนัก
“ลินขอบคุณอีกครั้งนะไมร่า ขอบคุณจริง ๆ สำหรับทุกอย่าง” เสียงเบาเอ่ยขอบคุณเพื่อนสาวต่างชาติด้วยน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้า
“ไมร่าไม่ชอบน้ำตา ลินเก็บน้ำตาเข้าไปที่เดิมเลยนะ” ไมร่าแกล้งทำเสียงขู่
“มันไหลออกมาเองลินเก็บไม่ได้แล้ว” สองสาวสองเชื้อชาติหัวเราะและกอดกันด้วยมิตรภาพที่แน่นแฟ้นจนครูเพ็ญชาติที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลยังแอบน้ำตาคลอในความโชคดีของไพลินเพราะรู้ว่าลูกศิษย์สาวอย่างไพลินนั้นเป็นคนเก่งมีความสามารถและเป็นเด็กดีมีมารยาทสมควรที่จะได้รับโอกาสที่ดีเช่นนี้
------------------------------------------------
“อีกหนึ่งชั่วโมงนายมีนัดกับคุณไมร่าผ่านวิดีโอคอลนะครับ” เสียงของดีแลนเอ่ยเตือนผู้เป็นนายในขณะที่เดินเอาเอกสารเข้ามาให้ที่ห้องทำงาน
“อืม แล้วไมร่ามีกำหนดเดินทางกลับเมื่อไหร่” เสียงเรียบถามลูกน้องในขณะที่มือก็กำลังสาละวนอยู่กับการเซ็นเอกสารกองโต
“ตามกำหนดแล้วคุณไมร่าจะต้องเดินทางกลับต้นเดือนหน้าครับ”
“แล้วเอกสารการเดินทางและตั๋วเครื่องบินต่าง ๆ เตรียมให้เธอพร้อมหรือยัง”
“คุณไมร่ายังไม่แจ้งวันเดินทางกลับมาให้ครับ เลยยังไม่ได้จองตั๋ว”
“ก็ไหนบอกมีกำหนดเดินทางกลับเดือนหน้าแล้วทำไมถึงไม่ทราบวัน แล้วเช็คกันหรือยังว่าวันสุดท้ายที่ต้องเรียนที่ประเทศไทยคือวันไหน” มือที่กำลังตวัดปากกาเซ็นเอกสารหยุดชะงักพร้อมเงยหน้าถามลูกน้องอย่างแปลกใจในสิ่งที่ได้รับรู้
“คุณไมร่าแจ้งว่าจะอยู่รอเพื่อนดำเนินการเรื่องเอกสารแล้วจะเดินทางมาพร้อมกันครับ” ดีแลนรายงานเจ้านายด้วยสีหน้านิ่ง
“อะไรนักหนา รู้สึกจะติดเพื่อนคนนี้เกินพอดีไปแล้วนะ” เมสันว่าอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก โทรมาขอทุนให้กันเขาก็ยังไม่ว่าอะไร แต่นี่ยังจะอยู่ดูแลกันเพื่อเดินเรื่องเอกสารอีก หวังว่าน้องสาวเขาคงไม่หันไปมีรสนิยมชอบเพศเดียวกันหรอกนะ เมสันคิดเงียบ ๆ ในใจ
“ส่งตั๋วให้เธอบังคับให้กลับทางอ้อมเลยมั้ยครับ” ดีแลนถามเจ้านาย
“ยังไม่ต้อง หลังจากที่ฉันวิดีโอคอลกับไมร่าและเพื่อนของเธอเสร็จ นายไปจัดการสืบประวัติเพื่อนไมร่าคนนี้มาให้ด้วย เอาแบบละเอียด” น้ำเสียงจริงจังสั่งการลูกน้อง ยังไงเพื่อนของน้องสาวคนนี้ก็ต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับครอบครัวเขา เมสันจึงต้องการรู้ประวัติไว้
“ครับนาย”
หลังจากดีแลนออกจากห้องไปได้ไม่นานนักโทรศัพท์ของเมสันก็ดังขึ้น ตาคมเหลือบไปมองโทรศัพท์ราคาแพงของตนเองที่วางอยู่ตรงมุมโต๊ะ เมื่อเห็นว่าเป็นสายของใครก็หันไปมองมองนาฬิกาก่อนจะส่ายหัวแล้วพึมพำเบา ๆ
“ทีแบบนี้ล่ะตรงเวลาเสียจริง” มือหนาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาตรงหน้า นิ้วเรียวยาวดูสะอาดตากดเลื่อนรับสายของน้องสาวที่อยู่อีกซีกโลกก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสาย
“ทำไมรับสายไมร่าช้าจัง เกือบจะวางอยู่แล้วเชียว” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดพูดทันทีที่คนเป็นพี่ชายรับสาย
“ทำงานอยู่ ว่าแต่เราจะกลับเมื่อไหร่ เห็นดีแลนบอกว่ายังไม่แจ้งวันเดินทางกลับ” เสียงดุพูดกับน้องสาว
“เดี๋ยวไมร่าขอช่วยลินจัดการเรื่องเอกสารก่อน แล้วจะแจ้งวันกลับอีกที”
“ทำไมไม่กลับมาก่อน แล้วถ้าเกิดเพื่อนเราทำเรื่องเอกสารไม่ผ่านจะอยู่ที่ไทยตลอดไปหรือไง” เสียงดุที่เข้มขึ้นพูดกับน้องสาวด้วยสีหน้าจริงจังโดยไม่รู้ว่าข้างไมร่าตอนนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังรอรับการสัมภาษณ์เพื่อจะขอทุนไปเรียนต่อและกำลังใจแป้วเมื่อได้ยินเสียงดุ ๆ ของพี่ชายเพื่อน
“วันนี้พี่เมสันนัดจะสัมภาษณ์เพื่อนไมร่านะคะ เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง” ไมร่าบอกพี่ชายเพราะกลัวว่าหากคุยนานกว่านี้เพื่อนสาวคงต้องกลัวพี่ชายเธอจนหัวหดแน่
“อย่าดื้อให้มากนักนะไมร่า ไม่อย่างนั้นจะไม่อนุญาตให้เดินทางไปไหนอีก”
“เข้าใจแล้วน่าพี่เมสัน แล้วนี่จะสัมภาษณ์เพื่อนไมร่าได้หรือยัง ตั้งแต่รับสายยังไม่เห็นมองหน้าไมร่าเกินสองวิเลย เอาแต่ก้มทำงานแล้วเมื่อไหร่เพื่อนไม่ร่าจะได้สัมภาษณ์สักที” ไมร่าเริ่มแสดงท่าทางเอาแต่ใจกับพี่ชาย เมสันจึงต้องละจากงานตรงหน้าแล้วมองดูน้องสาวจากในจอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไหนล่ะเพื่อน” เสียงนิ่งถามกลับน้องสาว
“ลิน มาเจอพี่เมสันเร็ว” ไมร่ากวักมือเรียกไพลินที่ยืนใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อยู่ไม่ไกล ตอนนี้ไพลินแทบไม่อยากได้ทุนอะไรแล้ว ฟังจากเสียงของพี่ชายไมร่าที่พูดกับน้องสาวทำให้กำลังใจที่เต็มเปี่ยมของเธอก่อนหน้านี้เหือดหายไปเกือบหมด ไพลินรู้สึกว่าเขาเป็นคนดุและก็เหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ไมร่าไม่ยอมกลับเพราะจะอยู่ช่วยเธอจัดการเรื่องเอกสาร
แต่เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจของไมร่าที่พยายามช่วยเหลือเธอ ไพลินจึงต้องทำใจดีสู้เสือแล้วรีบเดินไปเข้ากล้องกับไมร่าเพื่อรับการสัมภาษณ์จากผู้ที่จะให้ทุนกับเธอ
“นี่ไพลินค่ะที่ไมร่าเคยเล่าให้ฟังและอยากให้พี่เมสันช่วยให้ทุนลินได้ไปเรียนที่อเมริกา” ไมร่าแนะนำเพื่อนสาวให้พี่ชายทันทีที่ไพลินเดินมานั่งเอาหน้าเข้ากล้องร่วมกับเธอ จังหวะนั้น เมสันกำลังหันหน้าไปหยิบของแต่ก็ยังคงส่งเสียงพูดคุยกับน้องสาว
“อืม อายุเท่าไหร่แล้ว” เสียงเรียบเอ่ยถามโดยไม่ได้เจาะจงว่าถามใคร ไมร่าจึงสะกิดให้ไพลินเป็นคนตอบ
“ลิน..เอ่อ..หนูอายุสิบแปดปีค่ะกำลังจะเรียนจบม.6 ที่ไทย” น้ำเสียงตะกุกตะกักตอบคำถามด้วยใจเต้นรัว แต่คนที่กำลังฟังอยู่อีกประเทศกลับรู้สึกว่าเสียงนั้นช่างรื่นหูจนต้องหันมามองเพื่อนของน้องสาวให้เต็มตา
ทันทีที่เมสันได้เห็นหน้าของไพลินความรู้สึกบางอย่างก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งกายหนุ่ม คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันเล็กน้อยในขณะที่ดวงตาคมหรี่ลงเหมือนจะปรับเลนส์ตาให้โฟกัสไปที่เด็กสาวชาวไทยที่นั่งข้างน้องสาวของตนเองให้ชัดขึ้น นัยน์ตาคมที่จ้องมองหญิงสาวนั้นยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“พี่เมสัน พี่เมสันมีอะไรหรือเปล่าอยากจะถามอะไรลินมั้ย” ไมร่าเรียกพี่ชายที่เอาแต่จ้องเพื่อนของเธอ
“เปล่าไม่มีอะไร แล้วทำไมถึงอยากมาเรียนที่อเมริกาล่ะ” ประโยคแรกตอบคนเป็นน้องถัดมาจึงถามคนที่ตัวเองกำลังจะให้ทุน
“หนูอยากให้ตัวเองได้มีงานทำที่ดีในอนาคตเพื่อจะได้ดูแลครอบครัวได้ค่ะ และหนูคิดว่าที่อเมริกาจะสามารถเปิดประสบการณ์ที่ดีให้หนูได้เรียนรู้เพื่อเป็นใบเบิกทางสำหรับให้หนูกลับมาหางานดี ๆ ที่ประเทศไทยได้” ไพลินตอบไปตามที่ใจเธอคิดและพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นเวลาพูด เธอต้องพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมใจที่กำลังเต้นรัวราวกับกลองสะบัดชัยให้สงบลง แต่ว่าสายตาคมดุจพญาอินทรีย์ที่จ้องมองมานั้นก็เป็นอุปสรรคเหลือเกินที่จะควบคุมหัวใจให้เป็นปกติได้
หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วเมสันก็ตั้งใจจะบินไปประเทศไทยกับภรรยาสาวเพื่อเยี่ยมครอบครัวของเธอ แต่ตารางงานที่ชายหนุ่มมีต้องรออีกเป็นเดือนถึงจะสามารถบินได้ เพราะ เมสันมีกำหนดการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่สามัญประจำปีและมีนัดเจรจาธุรกิจกับกองทัพสหรัฐเกี่ยวกับการผลิตยานพาหนะทางการทหารรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่สามารถส่งใครเข้าไปพูดคุยแทนได้เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจ“ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องกลับไปเยี่ยมพี่สาวช้าไปอีกนิด” ชายหนุ่มบอกเมียเด็กของตนเองในค่ำคืนหนึ่ง“ไม่เป็นไรค่ะ งานคุณสำคัญที่สุด..ลินรอได้” เธอบอกพลางแนบแก้มไปกับอกหนา หลังจากวันที่เข้าใจกันไพลินก็ย้ายห้องนอนมาอยู่ห้องของชายหนุ่มอย่างถาวรตามความต้องการของเจ้าของห้อง“อื้อ..อย่าพูดแบบนี้สิ สำหรับฉันไม่มีอะไรสำคัญกว่าเธอกับลูก เพียงแต่งานที่กำลังเคลียร์มันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ก่อนที่จะรู้ว่าจะต้องเดินทางไปประเทศไทยก็เท่านั้น” ชายหนุ่มอธิบายเพราะกลัวหญิงสาวจะคิดมาก“ลินเข้าใจค่ะ คุณให้ลินไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิมด้วยได้มั้ยคะ ลินอยากเก็บเงินส่งไปเป็นค่าตั๋วให้พี่สาวและพี่เขยมาหาลินที่นี่” เธอ
หลังจากที่ไพลินแกล้งให้เมสันเข้าใจผิดว่าตนเองจะหอบลูกมาอยู่ประเทศไทยถาวรจนชายหนุ่มโกรธและไม่ยอมคุยด้วยไปหลายวัน มาวันนี้กลับเป็นตัวเธอเองที่ทนไม่ไหวกับท่าทีของสามีที่ดูจะเงียบขรึมและเย็นชาขึ้นทุกวัน“วันนี้ลินขอไปที่บริษัทกับคุณด้วยได้มั้ยคะ” หลังจากที่คิดอยู่นานว่าจะง้อชายหนุ่มยังไงดีในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาระหว่างที่กำลังทานอาหารเช้าเมสันช้อนตามองภรรยาแวบเดียวแล้วก้มหน้าทานอาหารเช้าต่อโดยไม่พูดอะไร“จริงด้วย..พี่เมสันพาลินไปที่บริษัทด้วยสิคะลินจะได้ไม่เหงาอยู่ที่บ้านคนเดียว เดี๋ยวจะเครียด” ไมร่าสนับสนุนคำขอของไพลินเพราะรู้ว่าเพื่อนสาวกำลังหาทางง้อพี่ชายของเธอ หลังจากที่ไพลินเดินมาปรึกษาและเล่าสาเหตุที่เมสันโกรธให้ฟัง“ที่บริษัทไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรอก ขนาดที่นี่มีทุกอย่างพร้อมที่จะประเคนให้ยังรั้งใครไว้ไม่ได้” เสียงเรียบเอ่ยออกมาพร้อมทำท่าว่าจะอิ่มแล้วกับอาหารเช้าที่พึ่งทานเข้าไปไมร่าส่งสัญญาณให้ไพลินพูดอะไรสักอย่างก่อนที่พี่ชายของเธอจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร“แต่ที่นั่นมีคุณอยู่ด้วย ไม่เหมือนที่นี่ที่หลังจากอาหารเช้าลินก็ต้องอยู่คนเดียวไม่ร่าก็ต้องไปเรียน” เธอรีบบอก..หวังให้คำพูด
ไพลินปล่อยให้เมสันนอนหนุนตักเธอนานเท่าไหร่ไม่รู้จนเธอเองก็เผลอพิงโซฟาหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในท่านอนสบายบนโซฟาแล้วมีผ้าห่มคลุมตัวเรียบร้อย แต่กลับไร้เงาสามี หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานของชายหนุ่มเพื่อตามหา “คุณตื่นแล้วเหรอคะ” มีอาที่กำลังเดินถือถาดอาหารกำลังจะไปยังชั้นบนของบ้านทักหญิงสาว “ค่ะ พอดีลินเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วคุณเมสันอยู่ไหนคะ” เธอถามาสามี “นายท่านอยู่บนห้องค่ะ หมอมาตรวจอาการพึ่งกลับไปเมื่อครู่” “แล้ว….” เธอกำลังจะถามถึงถาดอาหารที่มีอากำลังถืออยู่ “อาหารบำรุงของนายท่านที่หมอสั่งค่ะ ฉันกำลังจะเอาขึ้นไปให้” มีอาบอก “เดี๋ยวลินยกไปให้ดีกว่าค่ะ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเดี๋ยวลินจะมาบอกมีอานะ” “ไม่เป็นไร คุณกำลังท้องอยู่เดี๋ยวนายท่านรู้จะดุเอาที่ปล่อยให้คุณทำอะไรแบบนี้” มีอาทำท่าว่าไม่ยอม “มีอา..ลินท้องนะคะไม่ได้ป่วย อีกอย่างถ้าหากนายท่านของมีอาดุเดี๋ยวลินจะเป็นคนจัดการเอง” เธอพูดยิ้ม ๆ ให้อีกฝ่ายคลายกังวลแล้วยื่นมือไปรอรั
เมสันและไพลินได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวที่บ้านหลังจากรักษาตัวในโรงพยาบาลเกือบสิบวัน โดยระหว่างที่กลับมาพักฟื้นที่บ้านก็จะมีหมอมาคอยตรวจอาการทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้งตามความประสงค์ของทนายประจำตระกูล เดวาลอฟที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่เมสันมี“ไม่ต้องแสดงความอึดด้วยการหากิจกรรมทำยามค่ำคืนนะมึง เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ” เมื่ออยู่กันตามลำพังสองหนุ่ม ลูคัสจึงพูดหยอกเมสัน“มึงจะให้กูทำอะไร ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาที่บ้านได้สองวันแล้วกูแทบไม่เห็นหน้าเมีย คอยแต่จะหลบหน้าอยู่นั่นแหละไม่รู้ไม่พอใจอะไรอีก รอให้กูเข้าที่อีกหน่อยเถอะ” เมสันบ่นอย่างหงุดหงิด“แล้วมึงไปทำอะไรให้เมียเด็กของมึงงอนอีกละ”“ออกจากโรงพยาบาลมาก็อยู่แต่บ้านกูยังไม่ได้ออกไปไหน แล้วกูจะรู้หรือเปล่าล่ะว่ากูทำอะไรผิด กูก็อยู่เฉย ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้ ตอนนี้กูชักอยากจะกลับไปนอนโรงพยาบาลด้วยกันใหม่อีกรอบ” ลูคัสแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวกับอาการงอนเมียของอีกฝ่าย“เอาน่าใจเย็น ตอนนี้มึงก็ดีขึ้นมากแล้วเดี๋ยวเดินเหินได้สะดวกกว่านี้ค่อยว่ากัน คนท้องอาจจะมีอารมณ์แปรปรวนบ้างมึงต้องเข้าใ
เจเดนที่วิ่งตามคนเป็นนายมาติด ๆ และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าเมสันวิ่งไปคว้าตัวไพลินให้พ้นจากรถที่วิ่งมา แต่ตัวเจ้านายของเขาถูกรถกระแทกทางด้านข้างแล้วพากันล้มกลิ้งไปบนฟุตบาทอยู่หลายตลบเจเดนเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็วและจัดการเรียกหน่วยฉุกเฉินทันทีแล้วโทรหาดีแลนกับลูคัสเพื่อแจ้งเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้นเมสันและไพลินถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลหลังเกิดเหตุไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากการช่วยเหลือและการประสานงานอย่างรวดเร็วทั้งจากลูคัสและและเครือข่ายของเมสันเองที่มีอยู่ทั่วทุกวงการไพลินมีอาการจุกที่ท้องน้อยและมีเลือดซึมออกทางช่องคลอด ส่วนเมสันนั้นก็มีอาการที่ค่อนข้างหนักเช่นกันเพราะนอกจากหัวแตกแล้วยังมีกระดูกซี่โครงหักทิ่มปอดจากการถูกรถเฉี่ยวแล้วล้มลงกระแทกพื้นและกลิ้งไปตามทางอย่างแรงหลายตลบเพราะเอาตัวเองเป็นกำบังโดยการกอดไพลินไว้แน่นเพื่อให้หญิงสาวกระทบกระเทือนน้อยที่สุด “คุณผู้หญิงมีอาการแท้งคุกคามแต่ดีที่ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว เบื้องต้นเด็กในท้องยังอยู่แต่คงต้องให้คุณแม่นอนนิ่ง ๆ ห้ามเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่จำเป็นที่โรงพยาบาลสักพักเพื่อให้ยากันแท้งและเพื่อให้แน่ใจว่าปลอด
จีน่าเก็บความไม่พอใจไว้เงียบ ๆ และพยายามหาข้อมูลของนักศึกษานามว่าไพลินซึ่งเป็นผู้หญิงที่ได้หัวใจของผู้ชายคนที่เธอหมายปองไปครอง และเหมือนโชคจะเข้าข้างหล่อนในวันนี้ที่อาจารย์ประจำภาควิชาที่ไพลินเรียนขอลา จีน่าซึ่งเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการจึงต้องเข้ามาดูแลด้านการสอนแทนเป็นกรณีพิเศษ “วันนี้อาจารย์ว่าเรามาคุยกันเกี่ยวกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจและการเงินบ้างดีกว่า ในอเมริกาของเรามีใครบ้างนักศึกษาลองเอ่ยชื่อมาให้อาจารย์หน่อยสิคะ” จีน่ามองไปรอบ ๆ คลาสก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวชาวไทยที่เป็นเป้าหมายของเธอด้วยสายตาบางอย่าง นักศึกษาในคลาสต่างหันหน้าไปหารือและถามกันเรื่องบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจและการเงิน และเหมือนกับว่าคำตอบของนักศึกษาส่วนใหญ่จะเข้าทางจีน่าเพราะชื่อที่ถูกเอ่ยออกมามากที่สุดก็คือชื่อของเมสันนั่นเอง “หนูเคยได้ยินว่าอาจารย์เคยเป็นผู้หญิงคนสนิทของคุณเมสันใช่หรือเปล่าคะ” เสียงนักศึกษาสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา จีน่าแอบยิ้มในใจ รู้สึกว่าวันนี้โชคจะเข้าเธอมากเป็นพิเศษ “ใช่..ที่จริงแล้วอาจารย์ก็พึ่งจะ