เพื่อนร่วมคณะของธัญญาออกปากแซวที่เพื่อนสาว ควงหนุ่มต่างคณะหน้าตาดีมาค่ายด้วย"พี่ชาติเป็นรุ่นพี่ที่ชมรมเชียร์ย่ะ เขาเป็นเด็กนิติด้วยนะ จะแซวอะไรก็ระวังพี่เขาจะฟ้องกลับล่ะ"ธัญญาเอ่ยอย่างติดตลก และยืนยันกับเพื่อน ๆ ว่าเธอชวนชาติสยามมาในฐานะพี่ชายคนสนิทชาติสยามทำใจยอมรับได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว จะให้เป็นพี่ เป็นเพื่อน หรือเป็นอะไรก็ตามใจ ขอแค่รุ่นน้องดีกรีเชียร์หลีดเดอร์งานกีฬาประเพณีอย่างธัญญาไว้วางใจให้เขาเป็นคนสนิทมากที่สุด แค่นี้หัวใจของเด็กหนุ่มนักเรียนกฏหมายปี 3 ก็ชื่นฉ่ำมากพอแล้ว* * * * *คืนวันเสาร์ คืนสุดท้ายก่อนจะปิดค่ายในวันรุ่งขึ้นนักศึกษารุ่นพี่รุ่นน้องเกือบสี่สิบคนกำลังนั่งล้อมวงกันรอบกองไฟ มีปิ้งเนื้อย่าง มันย่าง เล่นกีตาร์และผลัดกันเล่าเรื่องสยองขวัญกันอย่างสนุกสนาน มีบ้างบางคนที่แอบกลับเต๊นต์ไปหลับก่อนเพราะทนง่วงนอนไม่ไหวสองคนที่ก็หายไปจากวงรอบกองไฟด้วยก็คือชาติสยามกับธัญญา...เต๊นท์ของชายหนุ่มตั้งอยู่เกือบสุดพื้นที่ลานกางเต๊นท์เหมือนเต๊นท์ของรุ่นพี่ผู้ชายคนอื่น ๆ ส่วนเต๊นต์หลังอื่น ๆ ที่กางอยู่ด้านในจะให้เป็นที่พักของน้องผู้หญิงแต่คืนนี้ธัญญาไม่ยอมกลับไปที่เต๊นต์ตัวเ
พ.ศ. 2527ธัญญาในวัย 18 ปี วันนี้เธอสวยเด่นอยู่ในชุดเชียร์ลีดเดอร์สีสดสะดุดตา ใบหน้าอ่อนเยาว์ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีจัดจ้านตามแบบฉบับผู้นำทีมเชียร์ ทั้งเธอและเพื่อนร่วมทีมอีกสิบกว่าคนล้วนผ่านการคัดเลือกมาอย่างเข้มข้น ทุกคนโดดเด่นทั้งรูปร่างและหน้าตา สมบทบาท “หน้าตาของมหาวิทยาลัย” ในงานประเพณีที่ใคร ๆ ก็จับตามอง“ธัญสวยจริง ๆ นะวันนี้...”ชาติสยาม รุ่นพี่ชมรมเอ่ยกับสาวน้อยปีหนึ่งพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ธัญญายิ้มขัน“แล้ววันอื่น ๆ ไม่สวยหรือคะ”“สวยสิ ไม่แต่งหน้าก็สวย แต่งแล้วก็สวย... สวยที่สุด”“แหม ถ้าธัญกินคำว่าสวยของพี่ชาติแทนข้าว คงอิ่มไปอีกหลายวัน”ชาติสยามยิ้ม สบตารุ่นน้องด้วยแววตาลึกล้ำ เขาเป็นนักศึกษาวิชากฎหมายปีสามที่ไม่เพียงเฉลียวฉลาดแต่ยังสูงโปร่งและหน้าตาคมคายแบบไทยแท้ ธัญญายังคิดว่าถ้าเขาลงคัดเลือกเป็นผู้นำทีมเชียร์ด้วยก็คงจะติดอันดับอย่างแน่นอน แต่ชาติสยามเลือกเป็นผู้นำอยู่เบื้องหลัง คอยดูแลให้งานเชียร์และงานเดินพาเหรดออกมาสมบูรณ์ไม่มีขาดตกบกพร่อง“จิบน้ำหน่อยไหม”ชาติสยามยื่นขวดน้ำเกลือแร่เย็น ๆ ที่เพิ่งหยิบมาจากถังน้ำแข็งส่งให้ธัญญาในช่วงพักทั้งที่มีเชียร์หลีดเดอร์ยืน
สามสิบเจ็ดปีก่อน“ดีใจด้วยนะกับเฟรชชี่ นี่เป็นของขวัญแสดงความยินดีของลุงกับป้าแป๊ด หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลานนะ”ธงชัย หนุ่มใหญ่ท่าทางใจดียื่นกล่องของขวัญใบย่อมที่ห่อกระดาษผูกโบสวยงามมาแล้วอย่างเรียบร้อยให้กับหลานสาวที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ทิพย์ลาวัณย์ยกมือไหว้ผู้เป็นลุงกับป้าสะใภ้ก่อนรับของขวัญด้วยรอยยิ้มกว้าง“ขอบคุณลุงธงกับป้าแป๊ดมากเลยค่ะ ของขวัญชิ้นแรกเลยนะคะนี่ แม่ก็ยังไม่ได้ให้อะไรกะทิเลย”เด็กสาวเอ่ยพลางหันไปกระเซ้ามารดาที่ยืนปิ้งเนื้อย่างอยู่ใกล้ ๆ ธารีมองค้อนลูกสาวไปหนึ่งที ก่อนเอ่ยทีเล่นทีจริง“ยังจะเอาของขวัญอะไรอีก นี่แม่จะมีเงินค่าเทอมให้แกไปมอบตัวหรือเปล่าก็ยังไม่รู้...ถ้าแพงนักก็ไม่ต้องไปเรียนแล้วก็ได้มั้ง เชียงมงเชียงใหม่อะไรเนี่ย เรียนแถว ๆ บ้านก็น่าจะพอแล้ว”“โห...แม่พูดงี้กะทิใจหายเลยนะ”เด็กสาวย่นจมูก ธิดาอมยิ้มส่ายหน้า วันนี้พี่ชาย พี่สะใภ้ตั้งใจหอบหิ้วทั้งของสดของแห้งมาเต็มรถ เพื่อมาทำอาหารเลี้ยงฉลองที่ลูกสาวคนเดียวของเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คนเป็นแม่ก็ดีใจไม่น้อยไปกว่าใคร แม้จะอดใจหายไม่ได้เพราะลูกสาวจะต้องไปเรียนไกลถึงเชียงใหม่ ระยะทางจากนค
เช้าวันรุ่งขึ้น ธามลงมารับประทานอาหารเช้าสายกว่าทุกวันเพราะวันนี้มีประชุมตอนบ่ายที่โรงแรม เขาจึงคิดว่าจะไม่เข้าบริษัท แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าแม่ของเขายังอยู่ที่ห้องกินข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับแม่ ผมนึกว่าแม่ไปบริษัทแล้วเสียอีก”คนเป็นลูกชายเอ่ยทักและคิดว่ามารดาอาจจะถามกลับมาเรื่องที่วันนี้เขาก็เข้าบริษัทสายเช่นกัน แต่ธัญญาไม่เอ่ยเรื่องนั้น นางรอธามสั่งอาหารกับแม่บ้านแล้วเสร็จ จึงค่อยเอ่ยขึ้นมา“ฉันอยู่เพราะจะรอคุยกับแก”น้ำเสียงราบเรียบและสรรพนามนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าคงมีเรื่องที่มารดากำลังไม่พอใจ“เรื่องด่วนมากไหมครับ คุณแม่รอไปคุยที่บริษัทดีไหม”“เรื่องส่วนตัว ก็ต้องคุยกันที่บ้าน”แม่บ้านที่ยืนรอเพื่อรับคำสั่ง เมื่อได้ยินว่าเจ้านายกำลังจะคุยเรื่องส่วนตัวกันก็รีบถอยออกจากห้องรับประทานอาหารไปทันทีอย่างรู้งานเมื่อไม่มีใครอยู่ตรงนั้น คุณหญิงธัญญาก็เอ่ยเรื่องที่ตั้งใจจะพูดทันที“เด็กคนที่แกไปเจอที่ร้านกาแฟ คนนี้ใช่ไหมที่แกซื้อสร้อยให้ และอยากให้มาเป็นแม่ของลูกแกด้วย”“คุณแม่ทราบ?”ธามย้อนถามเรียบ ๆ ท่าทางไม่ได้แปลกใจนักคนเป็นแม่ไม่เสียเวลาตอบคำถามนั้น“สรุปที่ฉันบอกแกไปคราวก่อน แก
ตอน 26เช้าวันรุ่งขึ้น ธามลงมารับประทานอาหารเช้าสายกว่าทุกวันเพราะวันนี้มีประชุมตอนบ่ายที่โรงแรม เขาจึงคิดว่าจะไม่เข้าบริษัท แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าแม่ของเขายังอยู่ที่ห้องกินข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับแม่ ผมนึกว่าแม่ไปบริษัทแล้วเสียอีก”คนเป็นลูกชายเอ่ยทักและคิดว่ามารดาอาจจะถามกลับมาเรื่องที่วันนี้เขาก็เข้าบริษัทสายเช่นกัน แต่ธัญญาไม่เอ่ยเรื่องนั้น นางรอธามสั่งอาหารกับแม่บ้านแล้วเสร็จ จึงค่อยเอ่ยขึ้นมา“ฉันอยู่เพราะจะรอคุยกับแก”น้ำเสียงราบเรียบและสรรพนามนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าคงมีเรื่องที่มารดากำลังไม่พอใจ“เรื่องด่วนมากไหมครับ คุณแม่รอไปคุยที่บริษัทดีไหม”“เรื่องส่วนตัว ก็ต้องคุยกันที่บ้าน”แม่บ้านที่ยืนรอเพื่อรับคำสั่ง เมื่อได้ยินว่าเจ้านายกำลังจะคุยเรื่องส่วนตัวกันก็รีบถอยออกจากห้องรับประทานอาหารไปทันทีอย่างรู้งานเมื่อไม่มีใครอยู่ตรงนั้น คุณหญิงธัญญาก็เอ่ยเรื่องที่ตั้งใจจะพูดทันที“เด็กคนที่แกไปเจอที่ร้านกาแฟ คนนี้ใช่ไหมที่แกซื้อสร้อยให้ และอยากให้มาเป็นแม่ของลูกแกด้วย”“คุณแม่ทราบ?”ธามย้อนถามเรียบ ๆ ท่าทางไม่ได้แปลกใจนักคนเป็นแม่ไม่เสียเวลาตอบคำถามนั้น“สรุปที่ฉันบอกแกไปคราว
“ศีตลา...เธอไม่ต้องกังวลเรื่องอุ้มบุญอะไรนั่นแล้วนะ”ศีตลาสีหน้ากึ่งกังวลกึ่งตกใจที่จู่ ๆ เขาเอ่ยขึ้นมา ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าเรื่องนี้ก็คงจะรบกวนใจเธอมาสักพักแล้วเหมือนกัน และนั่นยิ่งทำให้เขารู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้ว“ที่ฉันบอกว่าไม่ต้องกังวล เพราะฉัน...จะไม่ขอให้เธอทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”“คะ?”“ดีใจใช่ไหม เธอไม่ต้องอุ้มท้อง ไม่ต้องเป็นแม่ให้ลูกของใครก็ไม่รู้”“เอ่อ คุณพูดจริงหรือคะ”“จริงสิ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องที่เราสัญญากันไว้ ทั้งเรื่องศักดิ์สยาม เรื่องงานของเขา เรื่องที่ฉันรับปากว่าจะสนับสนุนการศึกษาของเธอ... ทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม และฉันเต็มใจให้ โดยที่เธอไม่ต้องมาตอบแทนอะไรอีกทั้งนั้น”“แต่ว่า...ทำไมล่ะคะ”เด็กสาวยังคงมองเขาอย่างหวาดระแวง“เหตุผลน่ะหรือ ก็เพราะฉันเพิ่งจะมีสติคิดได้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับเธอ ปัญหาของฉันกับไข่มุก เรื่องของไข่มุกกับศักดิ์สยาม หรืออะไรก็แล้วแต่ มันเป็นปัญหาของคนที่เป็นผู้ใหญ่ เธอเป็นแค่เด็กน้อยที่ยังมีอนาคตอีกยาวไกล มันเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องลากเธอมารับผิดชอบด้วยล่ะ จริงไหม...”“ก็...เพราะตาลห่วงพี่ต้นนี่คะ”ศีตลาบอกไปอย่างตรงใจที่สุดเรื่องนี้มันเริ