“พี่หมอวีร์นี่แต่งบ้านได้เรียบหรูดูแพงมากเลย แต่งบ้านได้เก่งสุด ๆ”
“อืม ขึ้นไปดูห้องที่ญาตาวีจะนอนกันเถอะ” มัดหมี่ชวนเพื่อนขึ้นไปบนบ้าน
“เดี๋ยวสิ ญาอยากเดินดูรอบ ๆ ก่อน”
“เดี๋ยวค่อยมาดูก็ได้ เอาของขึ้นไปเก็บกันก่อน”
“จ้า ๆ” ญาตาวีเลิกตื่นตาแล้วหันมาที่เพื่อนสาวอีกครั้ง จนสังเกตเสื้อผ้าที่เพื่อนใส่
“โอ้โฮ...”
“อะไรญาตาวี เสียงดังอะไร” มัดหมี่พาลตกใจไปด้วย ญาตาวีทำเสียงจุ ๆ “ก็ดูเสื้อผ้าที่มัดหมี่ใส่สิ ชุดแบรนด์เนมเลยนะนั้น เรียบหรูดูแพงมาก ใส่เสื้อผ้าเหมาะสมกับอยู่บ้านหลังนี้เลย”
“อืม พี่วีร์เลือกให้ทั้งหมดนะ ทั้งเสื้อผ้าใส่อยู่บ้าน ออกงาน พี่วีร์เลือกให้หมดเลย”
“ถึงว่านะสิ ดูไม่เป็นมัดหมี่เลยนะ” ญาตาวีทำท่าทางครุ่นคิด
“ทำไมไม่สวยเหรอ”
“สวยนะมันสวย แต่บางทีมันดูไม่ใช่ ดูไม่เป็นมัดหมี่ยังไงไม่รู้” เพียงแค่ญาตาวีเห็นเผิน ๆ เท่านั้น แต่ก็รู้สึกว่ามัดหมี่ดูไม่ได้เป็นตัวเอง
“บ้า มัดหมี่ก็คือมัดหมี่สิจะเป็นใครไปกันได้ยังไง”
“ไม่รู้สิ” เพื่อนยังคงทำหน้าตาสงสัยพร้อมมองสำรวจมัดหมี่แถมยังดมกลิ่นตัวของมัดหมี่ที่มีกลิ่นหอมแบบผู้ดีอย่างมาก
“หือ กลิ่นหอมจังเลย น้ำหอมอะไรเหรอ”
“อืม ไม่รู้สิ พี่วีร์เขาซื้อให้นะ” เธอส่ายหน้าพลางเดินนำขึ้นไปชั้นบน
“พี่หมอวีร์นี่น่ารักจังเลยเนอะ ซื้อให้ทุกอย่างเลย เลือกเสื้อผ้าก็สวย กลิ่นน้ำหอมก็หอมมากเลย อยากลองฉีดบ้างจังเลย เผื่อจะได้ไปซื้อมาใช้ตาม”
“ได้สิ เอาของไปเก็บในห้องก่อน แล้วจะพาไปให้ลองฉีดดู” หลังจากเอาของไปเก็บในห้องนอนแล้ว มัดหมี่ก็พาญาตาวีเดินมาที่ห้องนอนของตนเองและพาเข้าไปในห้องแต่งตัวที่จัดโซนสำหรับเธอกับหมอวีร์กันคนละมุมของห้อง โดยโซนส่วนใหญ่จะเป็นของมัดหมี่เสียมากกว่า
“ห้องนอนก็น่านอนมาก แถมห้องแต่งตัวก็เรียบหรูดูเป็นผู้ดีสุด ๆ โอ้โฮ...นี่โต๊ะเครื่องแป้งเหรอ สั่งทำเพื่อมัดหมี่เลยปะเนี่ย” ญาตาวีว่าแล้วก็หยิบน้ำหอมขวดต่าง ๆ ขึ้นมาฉีดดู
ญาตาวีมัวแต่ฉีดน้ำหอมดมดูทว่ามัดหมี่กับไม่ตอบคำถามของเพื่อนสาวมา จนญาตาวีต้องเงยหน้ามามอง จึงเห็นอาการของเพื่อนสาวมีแววตาที่ดูเศร้า
“เป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรก็บอกกันได้สิ” ญาตาวีวางขวดน้ำหอมลงแล้วหันมาสนใจเพื่อนแทน
“ไม่มีอะไรหรอก...เป็นไงฉีดแล้วหอมไหม ชอบขวดไหนไหมเอาไปได้เลยนะ”
“โอ๊ย เกรงใจเดี๋ยวไปซื้อเอง” ญาตาวีนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเสิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต พบว่าน้ำหอมที่เพื่อนใช้แต่ล่ะขวดเป็นน้ำหอมจากประเทศฝรั่งเศส ขวดหนึ่งก็หลายพันบาทไปถึงหนึ่งหมื่นบาท
แล้วก็ถ่ายเครื่องสำอางแต่ล่ะชิ้นด้วยเป็นของราคาตามเคาน์เตอร์แบรนด์ทั้งนั้นเลย ต่างจากนิสัยของเพื่อนที่รู้จักกันมาไม่เคยคิดใช้ของแพง ใช้ของราคาถูกที่คุณภาพดี ญาตาวีเดินสำรวจเสื้อผ้าในตู้ของเพื่อนไปเรื่อย ๆ พบเสื้อผ้าชุดใหม่ที่หมอวีร์น่าจะเป็นคนซื้อมาให้และพบเสื้อผ้าชุดเก่าของมัดหมี่เองที่น่าจะนำมาตอนมาอยู่บ้านนี้ครั้งแรก แต่ถูกเก็บวางไว้ให้มิดชิดด้านในตู้เสื้อผ้า ญาตาวีจึงต้องชวนมัดหมี่ลงมาคุยด้วยอย่างจริงจังด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ญาตาวีทำน้ำเสียงจริงจังมาก จนมัดหมี่ก็รู้สึกได้ว่าเพื่อนน่าจะรู้อะไรแล้ว
“ทั้งบ้าน เสื้อผ้า กลิ่นน้ำหอม ของใช้ต่าง ๆ ดูไม่เป็นมัดหมี่เลยนะ อย่าบอกนะว่าพี่หมอวีร์ที่ยอมแต่งงานกับแกง่าย ๆ เพราะจะใช้แกเป็นตัวแทนของแฟนเก่าเขาใช่ไหม” ญาตาวีสรุปแล้วถามออกไปตรง ๆ ซึ่งนั้นทำให้มัดหมี่ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ฮือ...ญา” ญาตาวีรีบโผล่เข้ากอดมัดหมี่เอาไว้ทันที พยายามปลอบใจเพื่อนเพราะรู้เรื่องราวดีทั้งหมดว่ามัดหมี่แอบชอบลูกชายของเพื่อนแม่มาตั้งนานแล้วและรู้ว่าหมอวีร์ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้หลังจากเลิกรากันไปแล้ว จนผ่านไปสามปีเขาก็ยังลืมแฟนเก่าไม่ลง จนแม่วิไลลักษณ์ต้องมาบังคับลูกชายให้มาแต่งงานกับมัดหมี่ แต่ที่ไหนได้การที่มีมัดหมี่เข้ามาในชีวิตไม่ได้ทำให้เขาลืมแฟนเก่าทางกลับกันยังมาใช้มัดหมี่เป็นตัวแทนของแฟนเก่า
“สามเดือนที่ผ่านมาที่มัดหมี่เล่าให้ฟัง ที่ถ่ายรูปลงเฟส ทุกอย่างมันก็ของปลอมทั้งนั้น โธ่...มัดหมี่เอ๊ย เจ็บมากไหม” ญาตาวีก็อดน้ำตาซึมไม่ได้ แม้ว่าเวลาเพียงสามเดือนอาจจะไม่มากแต่สำหรับคนที่รักเขาข้างเดียวมันนานมากที่ต้องอยู่กับความเจ็บปวดในแต่ละวัน อยู่กับความเจ็บปวดที่รู้ว่าเขาใช้เธอเป็นตัวแทนแฟนเก่าของเขา
“มัดหมี่เลิกทนเถอะนะ อยู่ไปก็มีแต่เจ็บ ถอยออกมาเถอะ ก่อนอะไร ๆ จะสายเกินไป” ญาตาวีพยายามเตือนสติเพื่อนเอาไว้เพราะไม่เห็นผลดีอะไรสำหรับเพื่อนเลย อยู่ไปก็มีแต่ความเจ็บปวดทั้งนั้น ไม่เห็นจะมีความสุขเลยสักนิด
“ไม่” เธอปล่อยกอดจากเพื่อนพร้อมปฏิเสธและส่ายหน้ายืนยัน
“ทำไมล่ะมัดหมี่”
“ก็หมี่รักพี่วีร์นี่ รักมานานแล้ว ญาก็น่าจะรู้ดีนี่” เธอบอกไปก็ปาดน้ำตาบนใบหน้าไป
“ญารู้ว่ามัดหมี่รักพี่หมอวีร์มากแต่ทำแบบนี้มัดหมี่จะไม่มีความสุขนะ” ญาตาวีพยายามพูดเตือนสติเพื่อนอีกเพราะไม่อยากจะให้เจ็บไปมากกว่านี้
“ใครว่าล่ะญาตาวี หมี่มีความสุขมากเลยนะ มีความสุขมาก ๆ เลย” เธอพยายามยิ้มมาให้เพื่อนดู ทั้งที่เป็นรอยยิ้มที่มาพร้อมน้ำตา
“มีความสุขพร้อมน้ำตาเนี่ยนะ เรียกมีความสุข” ญาตาวีย้อนถาม
“อืม มีความสุขมากสิ แต่ถ้าไม่มีพี่วีร์หมี่อาจจะไม่มีความสุขก็ได้นะ” มัดหมี่พยายามยิ้มให้เพื่อนทั้งที่น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด
“มัดหมี่” ญาตาวีได้แต่ถอนหายใจแล้วเข้าไปกอดมัดหมี่เอาไว้ แม้ว่าญาตาวีจะไม่เข้าใจเพื่อนเรื่องความรักเท่าไรทว่าญาตาวีก็ยังจะกอดและให้กำลังใจมัดหมี่เสมอ แม้ว่าการที่มัดหมี่ทำอยู่แบบนี้ เธอจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
“มัดหมี่แต่ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี่เท่ากับว่าหมี่จะไม่ได้เป็นตัวจริงนะ หมี่จะเป็นได้แค่ตัวแทนเท่านั้น” หลังจากปล่อยกอดเพื่อนแล้ว ญาตาวีก็พยายามพูดเตือนสติเพื่อนอีกครั้ง
“หมี่ยอมญา ขอเพียงในทุก ๆ วัน ได้กอดพี่วีร์ก็พอ จะให้หมี่เป็นอะไรก็ยอมทั้งนั้น ขอเพียงได้มีพี่วีร์ได้กอดพี่วีร์เอาไว้ หมี่ก็ยอม”
“แล้วมัดหมี่ไม่อยากให้พี่หมอวีร์รักในความเป็นมัดหมี่เหรอ นี่มันตัวมัดหมี่ นี่หัวใจของมัดหมี่นะ มัดหมี่จะยอมให้พี่หมอวีร์มาเปลี่ยนตัวตนจริง ๆ เหรอ” ญาตาวีพยายามชี้ไปที่ตัว ชี้ไปที่หัวใจของมัดหมี่ พยายามเรียกสติของเพื่อนคืนมา
“อะไรล่ะญาตาวีก็บอกแล้วไงว่ามัดหมี่ก็คือมัดหมี่ ไม่มีทางเป็นคนอื่น แม้ว่าเสื้อผ้าที่ใส่ของใช้ต่าง ๆ กลิ่นน้ำหอมก็แค่วัตถุภายนอกเท่านั้น แต่มัดหมี่ก็ยังเป็นมัดหมี่นะ หมี่เชื่อว่าพี่วีร์ต้องเห็นในความพยายามของหมี่จนรักหมี่จริง ๆ”
ญาตาวีถอนหายใจออกมา “แน่ใจ”
“แน่ใจสิ”
“งั้นวันหลังลองเปลี่ยนพวกเฟอร์นิเจอร์ เปลี่ยนของใช้ในบ้านต่าง ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนการแต่งกายแล้วลองดูสิว่าพี่หมอวีร์เขาจะว่ายังไง เขาจะรักมัดหมี่ที่เป็นมัดหมี่หรือรักมัดหมี่เพราะว่ากำลังเป็นใครให้เขากันแน่”
“อืม ๆ ไว้มัดหมี่จะลองไปทำดู”
ญาตาวีเรียกมัดหมี่พร้อมกับเอามือมาจับเอาไว้ “ที่ให้ทำแบบนี้ก็เพื่อตัวมัดหมี่เอง ญาเป็นห่วงมัดหมี่นะ ต่อไปนี้มีอะไรต้องบอกกันทุกเรื่อง ห้ามปิดห้ามเก็บเอาไว้คนเดียวเด็ดขาด”
“จ้า หมี่รู้น่าว่าญาเป็นห่วง” มัดหมี่เอามือไปวางไว้ที่บนมือของเพื่อนอีกทีหนึ่งแล้วมองสบตาของเพื่อนที่มองมาด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ
หลังจากบอกรักท่ามกลางสักขีพยานมากมาย ทุกคนก็พากันกลับไปกินข้าวที่ร้านอาหารฉลองที่ทั้งสองกับมาคืนดีกันและฉลองให้กับที่พวกเขาจะมีหลาน ยิ่งรู้ว่าจะมีหลานชายเป็นคนแรกด้วยแล้ว ทั้งตายายทั้งผู้เป็นย่ายิ่งตื่นเต้น ตื่นเต้นเสียจนลูกคนแรกยังไม่ทันจะคลอดลูกออกมาเลย พวกท่านก็วางแผนให้เธอมีคนที่สองต่อเลยแถมยังขอคนที่สองเป็นผู้หญิงเสียด้วย การให้โอกาสเขาคราวนี้ หมอวีร์ใส่ใจเธอมากขึ้น คอยถามว่าเธอชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไรและคอยถามอีกว่าเธอแพ้อะไรอีกไหมนอกจากกุ้งแม่น้ำเพราะเขากลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ครั้งนี้เขาจึงถามและใส่ใจทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับเธอ คราวนี้เขาจะไม่พลาดเป็นครั้งที่สองแน่ ในคืนนี้เธอกับเขาก็กลับมาปรับความเข้าใจกันอีกเยอะ นอนคุยกันยาวในทุก ๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องที่เขารู้สึกสับสนจนแทบจะเป็นบ้า จนได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองว่าเขาขาดมัดหมี่ไปไม่ได้อีกแล้ว
“ทุกคนเอาแต่บอกว่าให้หมี่ให้อภัยยกโทษให้ แล้วใครเคยรู้บ้างว่ามัดหมี่โดนอะไรมานัก ดูสิ ดูคนในไลฟ์สิเอาแต่สงสารพี่วีร์ แล้วมีใครสงสารหมี่บ้างไหม ที่เป็นคนถูกกระทำ หรือจะบอกว่ามัดหมี่ไปรักพี่เขาเองอย่างนั้นเหรอ” “มัดหมี่ก็อย่าไปอ่านคอมเม้นสิลูก ดูที่ความจริงใจของพี่วีร์ ไม่ต้องไปสนใจคอมเม้นว่าใครจะพูดอะไร สนใจแค่คนที่ยืนบอกรักมัดหมี่ตรงนี้ดีกว่าไหม มัดหมี่ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่นเลย สนใจแต่ผู้ชายคนนี้ สนใจแต่คนที่มัดหมี่รักดีกว่า” ธาราเป็นฝ่ายพูดสอนลูกสาวบ้างพร้อมกับชี้ให้ดูแต่ผู้ชายที่รักมัดหมี่เพียงคนเดียว โดยไม่ต้องไปสนใจคนอื่นว่าจะพูดอะไร “ใช่แม่ก็เห็นด้วยกับคำพูดพ่อของมัดหมี่ แม่ไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้เพราะไม่อยากให้มัดหมี่เห็นว่าแม่เข้าข้างลูกชายของตัวเอง แต่ครั้งนี้แม่ได้เห็นความจริงใจของวีร์จริง ๆ เห็นว่าในแววตาคู่นี้ของวีร์ลืมรักเก่าได้หมดสนิทแล้ว ตอ
“ครับแม่” วีร์เมื่อได้รับคำอนุญาตแล้วก็รีบเดินจ้ำอ้าวไปหาเธอทันที โชคดีที่เธอท้องได้เกือบห้าเดือนแล้วเลยเดินไม่ค่อยเร็วมาก เขาเลยไปดันประตูห้องของเธอที่กำลังจะปิดลงได้ทัน “อย่ามาดันประตูนะ เอามือออกไป!” เธอตวาดเขาเสียงดัง “คุยกับพี่ก่อน” “ไม่มีอะไรจะต้องคุยกันอีกแล้ว ไว้เรื่องหย่าหมี่จะสั่งทนายให้จัดการให้” มัดหมี่ดันประตูออกแรงเต็มที่ทว่าก็สู้แรงเขาไม่ได้จนเขาเข้ามาอยู่ในห้องได้แล้ว “ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!” เธอชี้นิ้วไล่เขาออกจากห้อง “พี่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดพี่ผิด พี่ยอมรับผิดทั้งหมด มัดหมี่พี่ขอโทษยกโทษให้พี่ได้ไหม” เขาพูดไปก็เอามือของเธอมากุมเอาไว้ด้วยแต่มัดหมี่สะบัดมือของเขาออกอย่างไร้เยื่อใย “พี่วีร์พูดง่ายดีเนอะ แค่ขอโทษแล้วมันก็จบเหรอ” “พี่รู้ว่า
สองคนแม่ลูกเดินทางโดยเครื่องบินใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าเท่านั้นก็มาถึงเชียงใหม่อย่างปลอดภัย รถยนต์ที่เช่าเอาไว้ก็มาบริการเขาถึงที่ หมอวีร์รีบขับรถยนต์ไปที่บ้านไร่ธาราทันที โดยระหว่างทางเขากังวลเป็นอย่างมากลัวว่ามัดหมี่จะไม่ให้อภัยคนอย่างเขาที่ได้ทำผิดพลาดไปอย่างร้ายแรง ภายในครึ่งชั่วโมงเขาก็ขับรถยนต์มาถึงไร่ธาราที่มีพื้นที่เป็นพัน ๆ ไร่ตามที่แม่วิไลลักษณ์บอกเขาเอาไว้ พอมาถึงในไร่ทุกคนต่างตกใจที่มาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้ามาก่อนแต่ก็ถูกต้อนรับเป็นอย่างดีจากคนบ้านไร่ธารา ยกเว้นมัดหมี่ที่ทำหน้าบึ้งแต่ยังต้องทนนั่งต้อนรับ ไม่แม้แต่จะมองหน้าสบตากับหมอวีร์เลยสักนิด ยิ่งเห็นหน้ายิ่งรู้สึกเหม็นขี้หน้าที่สุด แต่ชายหนุ่มก็ยังนั่งยิ้มแย้มแม้ว่ามัดหมี่จะทำหน้าไม่ค่อยต้อนรับเขาก็ตามทว่าคนในบ้านไร่ธาราก็ต้อนรับเขาอย่างดี ทั้งพ่อและแม่ ซึ่งชื่อไร่ธาราก็มาจากชื่อของพ่อมัดหมี่ที่เป็นคนก่อตั้งแห่งไร่นี้มา มัดหมี่มีพี่ชายชื่อมัดไม้แต่รายนี้แยกบ้านไปอยู่อีกหลังไม่ใ
เช้าวันต่อมาหมอวีร์เดินทางไปหาเพื่อนรักที่เป็นหมอเหมือนกันแต่รายนี้เป็นหมอกุมารแพทย์ เขาลงทุนถึงขนาดไม่ไปทำงานที่คลินิกที่ตนเองรัก ปล่อยให้หมออีกสองคนเข้าไปดูแลคลินิกแทนเพื่อที่เขาจะไปปรึกษาเพื่อนว่าตอนนี้เขากำลังเป็นอะไรอยู่กันแน่ เขารู้สึกไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าอะไร มันใช่เรียกว่ารักหรือเปล่า แต่อีกใจมันก็แย้งขึ้นมาว่าไม่ได้รักคนที่รักอย่างแท้จริงเป็นพิพิม เขาจึงสับสนในตัวเองไปหมดว่าตกลงเขารักใครกันแน่ ระหว่างพิพิมกับมัดหมี่ “พี่คินคะ พี่หมอวีร์มาหาค่ะ ตอนนี้รออยู่ในสวนข้างบ้านเราแล้ว” เพียงฝันภรรยาสาวสวยเดินเข้ามาบอกสามีในห้องนั่งเล่น “ไอ้วีร์มันมาทำไมของมัน นี่วันอาทิตย์นะ มันไม่เข้าคลินิกที่มันรักหรือไง” หมอคิรินได้แต่ครุ่นคิด “ท่าทางพี่หมอวีร์ดูร้อนใจมากเลยนะคะ พี่คินรีบออกไปสิคะ เดี๋ยวเพียงฝันจะเอาน้ำเอาขนมไปเสิร์ฟ”
วันนั้นพอกลับมาจากบ้านของคิริน ชายหนุ่มก็เดินทางไปหาแม่ของเขาทันที ที่บ้านของแม่กับพ่อ โดยที่ไม่มีความคิดที่จะสับสนอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าในหัวใจของเขานั้นรักใครกันแน่ระหว่างพิพิมกับมัดหมี่ ซึ่งสามารถตอบได้ทันทีเลยว่าเขารักมัดหมี่อย่างแน่นอนและจะไม่มีวันสับสนและลังเลอีก หมอวีร์จอดรถยนต์ได้ก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านหาแม่ทันที “แม่บ้านของมัดหมี่อยู่ที่ไหนหรือครับ” ชายหนุ่มเข้ามาในห้องนั่งเล่นก็ถามแม่ทันทีโดยไม่รอช้า “จะถามไปทำไม ต้องการไปลากมัดหมี่มาหย่าด้วยหรือไงกัน” วิไลลักษณ์ขึ้นเสียงใส่ “ไม่ใช่แบบนั้นครับ” เขาว่าแล้วเข้าไปนั่งใกล้แม่ วิไลลักษณ์มองหน้าลูกชายอย่างจับผิด “ไม่ใช่แบบนั้นแล้วต้องการอะไร” &n