“เถียนเฟยเพคะ ซือฝุฝากของพร้อมจดหมายมาให้เพคะ”
“ซือฝุฝากมาอย่างนั้นหรือ” เถียนจิ้งหลานทวนคำอย่างงุนงง นึกย้อนว่าเถียนเฟยผู้นี้เรียนอะไรมาบ้าง เธอเอื้อมมือบางรับจดหมายมาพร้อมเปิดอ่านข้อความข้างใน
‘ของสิ่งนี้สามารถช่วยให้ฝึกวิชาสลับร่างสำเร็จได้ แต่ต้องฝึกสติ สมาธิและจิตให้ประสานกัน อย่าผลีผลาม มิฉะนั้นจะส่งผลร้าย ทำให้จิตวิญญาณหลุดออกไปสิงร่างสิ่งมีชีวิตอื่นโดยไม่สามารถควบคุมได้’
อ่านจบก็บรรจงหยิบของในกล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ของสิ่งนั้นถูกห่อหุ้มด้วยผ้าไหมชั้นดี เมื่อเปิดผ้าออกมาก็พบว่าภายในนั้นเป็นเข็มทิศโบราณทำมาจากสำริด ด้านข้างมีสัญลักษณ์ที่ไม่ใช่ภาษาของรัฐนี้ มองไม่ออกว่าจะนำมาฝึกวิชาได้อย่างไร
‘ฉันย้อนมาในสมัยที่มีการสร้างเข็มทิศแล้วหรือ แต่ดูจากข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ยุคนี้น่าจะเป็นช่วงก่อนที่มีการบันทึกว่ามีการสร้างเข็มทิศนะ’
มือน้อยหยิบเข็มทิศพลิกกลับไปมา
‘สิ่งนี้ใช้อย่างไรกัน คงไม่ได้เป็นวิชาต้องห้าม เพียงแค่อย่าให้ผู้อื่นรับรู้ว่ากำลังฝึกวิชานี้ ซึ่งน่าจะปลอดภัยที่สุด’
เมื่อสำรวจเสร็จแล้ว เธอจึงเก็บเข็มทิศด้วยความระมัดระวัง ทันใดนั้นก็คิดฟุ้งซ่านขึ้นมาว่า ตนกับเถียนเฟยผู้นี้วิญญานอาจจะสลับร่างข้ามภพกันก็เป็นได้ หากตั้งใจฝึกวิชาจนสำเร็จก็อาจจะได้สลับร่างอีกครั้ง
‘ว่าแต่อาหารบนโต๊ะยั่วน้ำลายยิ่งนัก ขอจัดการอาหารตรงหน้าก่อนดีกว่า’
พอท้องอิ่ม เถียนจิ้งหลานก็เรียกนางกำนัลและขันทีที่รับใช้ภายในตำหนักมาทั้งหมด เธอทำความรู้จักและทบทวนหน้าตากับชื่อไปพร้อมกัน นอกจากนั้นยังได้สอบถามถึงบรรดาพระสนมที่ฮ่องเต้รับเข้ามาในวัง จึงรู้ว่าฮ่องเต้แต่งตั้งสนมชั้นเฟยเข้าวังมาพร้อมกันสี่คน สนมขั้นต่ำกว่านี้ไม่ได้รับเข้าวังมา หากผู้ใดสามารถตั้งครรภ์โอรสมังกรได้ จึงจะปรับตำแหน่งเป็นฮองเฮา หวงกุ้ยเฟยและกุ้ยเฟย เพียงแต่ตำแหน่งเหล่านี้จะแต่งตั้งเมื่อไหร่ก็ไม่มีผู้ใดทราบ เนื่องจากฮ่องเต้ยังไม่โปรดให้พระสนมองค์ใดได้ปรนนิบัติรับใช้เลยสักครั้ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพระสนมองค์ใดล้วนไม่คุ้นหน้าคร่าตาของฮ่องเต้
ได้รับรู้เรื่องราวเช่นนี้ เถียนจิ้งหลานอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ เธอเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้งทั้งยังมีสามีเป็นตัวเป็นตน แต่สามีก็ไม่ได้สนใจ หากฮ่องเต้รูปงามและคลั่งรักเหมือนในซีรีส์ที่เคยดูมา การได้อุ่นเตียงนั้นก็คงจะดีมิใช่น้อย
อุ่นเตียงแล้วค่อยสลับร่างกลับก็ไม่ได้เสียหายอะไร เถียนเฟยผู้นี้อาจจะได้รับความโปรดปรานมากขึ้น
พอคิดเช่นนั้นแก้มใสก็เริ่มแดงระเรื่อ เมื่อเธอรู้สึกตัวจึงยกมือบางตบแก้มตัวเองฉาดหนึ่ง ‘ยายบ้านี่ ทำไมทะลึ่งอย่างนี้’
ก่อนข้ามภพมาเธอเป็นสาวสวยที่ไม่เคยสัมผัสชายใด แม้จะมีหนุ่มหล่อมาขายขนมจีบไม่ขาดสาย แต่เธอก็ยังสงวนท่าที วางแผนไว้ว่าเรียนจบทำงาน อายุยี่สิบปลายสามสิบต้นๆค่อยแต่งงาน
แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะได้มีชีวิตคู่ที่เหมือนในนิยายโรมานซ์ หรือต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดชีวิต
“เถียนเฟยจะเสด็จไปชมสวนดอกไม้หรือไม่เพคะ” เสียงของซิ่วฟางเอ่ยถามขึ้น
“อืม ไปหน่อยก็ดี ข้าอยู่ในตำหนักหลายวันรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย ไปรับลมชมวิวข้างนอกก็ดีเช่นกัน”
สวนในพระราชวังนั้นมีขนาดใหญ่มาก ตรงกลางมีสระน้ำที่เปรียบได้กับทะเลสาบขนาดย่อม น้ำในสระมีสีเขียวมรกต เมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ก็ส่องประกายระยิบระยับ
ฝั่งขวาของสระมีตำหนักริมน้ำที่ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตร เสาไม้สีแดงสด ระเบียงและช่องลมเป็นไม้ที่ถูกฉลุลายอย่างประณีต ทาด้วยสีแดงเช่นเดียวกับตัวเสา หลังคาใช้กระเบื้องขนาดเล็กสีขาวเรียงกันอย่างละเอียดบรรจง
ริมสระน้ำปลูกต้นไม้ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ไม้พุ่มและไม้ขนาดเล็กรายเรียงสลับกัน ใบไม้สีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง ประชันโฉมกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ส่วนอีกฝั่งของสระน้ำตรงข้ามกับศาลาเป็นภูเขาจำลอง ทางเดินขึ้นภูเขาประดับด้วยหินรูปร่างสวยงามแปลกตาเป็นจำนวนมาก
เมื่อเดินไปยังตำหนักริมน้ำ ด้านหลังตำหนักเป็นสวนดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา มวลดอกไม้นานาพันธุ์มีแทบทุกสีที่สามารถพบได้บนผืนแผ่นดินนี้ สระน้ำที่อยู่ในบริเวณสวนที่นี่ไม่ใหญ่มากนัก มีสะพานไม้ทอดข้ามผ่าน ในสระเต็มไปด้วยดอกบัวสีชมพูบานสะพรั่งเบียดกันจนมองไม่เห็นพื้นน้ำ ข้างสระมีศาลาหลังน้อยสำหรับนั่งพักชมวิว ภายในศาลาถูกตั้งด้วยโต๊ะน้ำชาสวยงามขนาดกะทัดรัด
เถียนจิ้งหลานเห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็พลันอดชื่นชมไม่ได้ ก่อนมาภพนี้เธอก็ชอบไปเที่ยวชมสวนโบราณหลายๆที่ ไม่ว่าจะปักกิ่ง ซูโจว หางโจวหรือเมืองที่มีชื่อเสียงต่างๆก็ยังสวยเท่ากับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ ไม่ใช่ว่าในโลกปัจจุบันไม่สวย เพียงแต่สวนเหล่านั้นพอผ่านกาลเวลานับร้อยนับพันปีก็ย่อมมีชำรุดทรุดโทรมเป็นธรรมดา
พลันเห็นข้อดีอย่างหนึ่งที่เธอได้มาที่นี่ก็คือ ไม่ต้องเสียค่าบัตรเข้าชมสวน และไม่ต้องเที่ยวแข่งกับเวลา
“ทำไมในสวนที่สวยกลับเงียบสงบเช่นนี้” เถียนจิ้งหลานรำพึงเบาๆ
ซิ่วฟางได้ยินเถียนเฟยกล่าวก็รีบตอบ
“ในวังหลังแทบไม่มีพระสนมเลยเพคะ หงเฟยและเว่ยเฟย มักจะออกมาชมสวนช่วงเย็นแต่ก็ไม่ทุกวัน สวนดอกไม้ในตำหนักของไทเฮาก็สวยและใหญ่อยู่แล้ว ไทเฮาจึงไม่ค่อยเสด็จมาสวนแห่งนี้ ส่วนฝ่าบาทไม่เสด็จมา เพราะเห็นว่าเป็นบริเวณสำหรับสตรีพักผ่อนหย่อนใจ เถียนเฟยก็รู้อยู่ว่าฝ่าบาท...”
“ข้ารู้ ฝ่าบาทไม่โปรดปรานสตรีข้าจำได้ ไปนั่งเล่นที่ศาลากันเถอะ”
เถียนจิ้งหลานไม่กล่าวมากความ เดินนำไปยังศาลาหลังน้อยนั้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อไปถึงตำหนักยวี่กวง ขันทีอันก็ได้พบกับมหาเสนาบดีเหยาซวี่เหยียนกับฮูหยินใหญ่เดินสวนออกมา“เจ้าเป็นขันทีตำหนักของฮ่องเต้หรือ” เหยาซวี่เหยียนจ้องหน้าขันทีอันหน้าตาเคร่งเครียด“ขอรับ” ขันทีอันก้มหน้ากล่าวตอบด้วยความนอบน้อมฮูหยินใหญ่เหยาเห็นถาดที่มีผ้าคลุมอยู่ในมือของขันทีอัน ก็แสดงอาการดีใจ ริมฝีปากยกยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างน้อยฮ่องเต้ก็ยังเอาใจใส่พระสนมบ้านเรา”มหาเสนาบดีเหยาไม่รอช้า ดึงขันทีอันเข้ามาใกล้ตัวแล้วกระซิบ“ถ้าเจ้าช่วยพูดให้ฮ่องเต้มาหาเหยาเฟยบ่อยๆ ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม”ขันทีอันเม้มริมฝีปากไม่ให้เบ้ปากออกมาให้ถูกสังเกตได้ ก่อนกล่าวด้วยความสงบนิ่ง“ข้าน้อยไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงในการพูดและแสดงความคิดเห็นกับฮ่องเต้เท่าใดนัก คงไม่สามารถช่
กว่าจะกลับถึงตำหนักซานสุ่ยก็ใช้เวลาเกือบสองก้านธูป ขันทีหนุ่มน้อยก็อุ้มแมวส้มขนฟูฝ่าบรรดาองครักษ์เข้าตำหนัก‘ทำมาเป็นมอง เรื่องประหลาดในวังเคยจะสนใจบ้างไหม’ เถียนจิ้งหลานเหลือบตามองเหล่าองครักษ์แล้วก็ได้แค่คิดแต่ไม่กล้าพูดออกมาเมื่อเข้ามาถึงห้องที่ฮ่องเต้ใช้บรรทม เธอก็ปล่อยเสี่ยวหู่ลงบนเก้าอี้ ดวงตาหงส์ของฮ่องเต้หรี่มองมาที่คนและแมว“เช็ดตัวทำความสะอาดขนด้วย” เสียงเย็นชาเอ่ยสั่งขันทีอัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงอ่อนโยนกล่าวกับเสี่ยวหู่“เจ้าตัวแสบไปดื้อที่ไหนมาอีก น่าตีนัก”ขันทีอันได้ยินเช่นนั้นจึงเพิ่มแรงเช็ดขนเสี่ยวหู่ด้วยความหมั่นไส้ แมวส้มรู้สึกไม่สบายตัวเลยอ้าปากงับไปที่มือข้างที่ถูกอุ้มและกระโจนออกจากอ้อมแขนด้วยความตกใจไม่ทันตั้งตัว ขันทีอันคว้าขาหลังของเสี่ยวหู่ที่กำลังกระโดดไปหาฮ่องเต
ยามเซิน (15.00 – 16.59 น.)ขันทีอันยังไม่ทันได้ก้าวพ้นธรณีประตูของตำหนักเหอเซิ่งก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้กับราชครูหม่าคุยกันค่อนข้างดัง‘เมื่อวานก็มา วันนี้ก็มา หรือราชครูเกิดหวงฮ่องเต้ขึ้นมากันนะ’ คิดแล้วก็เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างขันทีเซี่ยงรอปรนนิบัติฮ่องเต้“ท่านเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องของเจิ้นมากไปแล้ว” เสียงขุ่นมัวของฮ่องเต้แสดงถึงความไม่พอพระทัย“กระหม่อมทำทุกอย่างเพื่อฝ่าบาทและบัลลังก์มังกรนะพะย่ะค่ะ” ราชครูหม่าโต้แย้งขึ้นมาทันที“หวังดีด้วยการให้เจิ้นไปค้างอ้างแรมกับพระสนมทุกคน ท่านทำเหมือนไม่รู้จักเจิ้น”“เพราะรู้จักดีถึงต้องทำเช่นนี้พะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทห่วงบ้านเมือง กระหม่อมจะช่วยฝ่าบาทสุดความสามารถไม่เสียดายชีวิต หากห่วงบัลลังก์ กระหม่อมจะช่วยปกป้อง หากห่วงสมบัติในท้องพระคลั
มาถึงตำหนักซินหยวนก็เข้าช่วงปลายของยามซวี (19.00 – 20.59 น.) เหล่าขันทีและนางกำนัลในตำหนักล้วนทราบว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาตั้งแต่เย็น ถึงอย่างนั้นก็ยังงุนงงกันอยู่“ถวายพระพรฝ่าบาท” เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างกล่าวรับเสด็จพร้อมกัน“เถียนเฟยอยู่ห้องไหน คืนนี้เจิ้นจะค้างที่นี่” ฮ่องเต้กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา“หม่อมฉันจะนำเสด็จเองเพคะ” เสียงหวานของโหรวม่านดังขึ้น พร้อมกับส่งสายตาให้กับซิ่วฟางและเซียงหรูให้ตามไปด้วยกันเมื่อถึงห้องบรรทมของเถียนเฟย โหรวม่านกับซิ่วฟางก็ยืนหลบมุมภายในห้องรอรับสั่งของฮ่องเต้ ส่วนเซียงหรูกับเนี่ยนเหวินก็ยกถาดของว่างและน้ำชาเข้ามาถวายแก่ฮ่องเต้ฮ่องเต้กวาดสายตามองไปทั่วห้องเห็นพระสนมร่างเล็กนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้นว่า “นำเสื้อคลุมขนสัตว์ของเถียนเฟยมาให้เจิ้น แล้วพวกเจ้าก็ออกไปได้” พลัน
หลังจากออกว่าราชกิจที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้และราชครูหม่าก็ไปยังห้องทรงงาน ณ ตำหนักหย่งฟู่“เรื่องที่ฝ่าบาทให้กระหม่อมสืบได้ความว่าท่านมหาเสนาบดีเหยาอยากอุ้มหลาน เลยสั่งให้เหยาเฟยใกล้ชิดกับฝ่าบาทเพิ่มขึ้นพะย่ะค่ะ ”“เจ้าคิดว่าสาเหตุมีเพียงเท่านี้หรือ” ฮ่องเต้ถามกลับด้วยความคลางแคลงใจ“แค่นี้จริงๆพะย่ะค่ะ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย มิต้องทรงวิตกกังวล เรื่องสำคัญสำหรับฝ่าบาทในตอนนี้คือให้กำเนิดองค์รัชทายาทได้แล้วพะย่ะค่ะ”ราชครูหม่าทำมือประสานกันค้อมตัว หลบสายตาขณะกล่าวตอบฮ่องเต้ เขาก้มหน้าแล้วกล่าวต่อ“กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาทควรต้องใช้เวลาในยามค่ำคืนกับพระสนมได้แล้วพะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อความมั่นคงของพระราชบัลลังก์และความสงบของรัฐต้าเซี่ยได้”“เจ้าอย่ารวบรัดเจิ้น เจิ้นยังไม่อ
“เสี่ยวหู่ เจ้านี่เก่งนะ ทำให้เหยาเฟยอุ้มมาส่งด้วยพระองค์เองได้”ฝ่ามือเรียวของขันทีอันกึ่งขยี้กึ่งนวดคลึงบนลำตัวและขนของเสี่ยวหู่‘สบายสุดๆ มันแปลกตรงไหนกัน’ “เหมียวๆๆ”ขันทีอันเห็นการตอบกลับของเสี่ยวหู่ก็พูดต่อ“ปกติเหยาเฟยแทบไม่ออกนอกเขตตำหนัก ถ้าไม่มีรับสั่งจากไทเฮาหรือฮ่องเต้ ขนาดสวนดอกไม้ยังไม่ค่อยไปเลย”“เหยาเฟยเป็นพวกอินโทรเวิร์ตหรือนี่ ” “เหมียวๆๆๆ”ขันทีอันมือหนึ่งตักน้ำอุ่นมาค่อยๆรดบนตัวของเสี่ยวหู่ มืออีกข้างค่อยๆลูบน้ำบนขนออก พลางกระซิบเบาๆ “ข้าพูดกับเจ้า เจ้าก็อย่าไปบอกใครนะ”‘เรื่องนี้ขันทีกับนางกำนัลในวังก็น่าจะรู้มั้ย ความลับตรงไหนกัน’“ได้ๆ ข้าจะ