เธอนั่งลงบนเก้าอี้ได้ไม่นานก็มีเสียง ‘ฟึบ’ ดังขึ้นบนโต๊ะ และ ‘เหมียว’ ดังตามมา
ที่เห็นตรงหน้าคือแมวน้อยขนฟูสีส้ม ตาโตหน้ากลมกำลังวางท่าเย่อหยิ่งจองหอง
“น่ารักจัง ขอจับหน่อยนะ” เถียนจิ้งหลานมือไปไวกว่าเสียง เธอเอื้อมมือออกไปหมายลูบหัวเจ้าแมวน้อย
“เถียนเฟย ระวังเพคะ” เซียงหรูร้องอย่างตกใจ
“แฟร่ ” แมวน้อยขนยาวปรายหางตามองมาทางเธออย่างไม่พอใจ
เถียนจิ้งหลานสะดุ้งชักมือกลับทันที มือบางยกขึ้นมาลูบอกปลอบขวัญตนเองแทน จากนั้นถลึงตาใส่แมวน้อย ส่งเสียงดุออกไป
“ตัวแค่นี้ขู่เก่งเชียวนะ แมวของผู้ใดกัน”
ขันทีที่ติดตามตอบว่า “แมวทรงเลี้ยงของฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
ได้ยินดังนั้นเถียนจิ้งหลานก็ลุกขึ้น ก้มตัวลงมองก้นแมวตัวนั้น
“ขนาดแมวยังเป็นตัวผู้” เธอเบะริมฝีปากเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ข้าไม่รู้ชื่อเจ้า ตั้งชื่อเจ้าว่าการ์ฟีลด์ละกัน”
“คาเฟิน ชื่อแปลกดีนะเพคะ หรือให้หม่อมฉันไปถามชื่อเจ้าแมวตัวนี้ที่ตำหนักฝ่าบาทดีหรือไม่เพคะ”
“ไม่ต้องหรอก มีแค่ข้าเรียกชื่อนี้คนเดียวก็พอ” เถียนจิ้งหลานตอบพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสัมผัสขนของแมวน้อยแทน
“เหมียว” เจ้าแมวส้มจ้องหน้าเถียนจิ้งหลาน ดวงตาแสดงออกให้เข้าใจได้ว่าไม่ชมชอบชื่อนี้ ว่าแล้วมันก็กระโดดลงจากโต๊ะ เดินจากไปอย่างไม่สนใจใยดี
เถียนจิ้งหลาน “?”
เธอนั่งรับลมชมทิวทัศน์โดยรอบสักพักก็เริ่มออกอาการเหม่อลอย นิ้วมือเรียวงามหมุนถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะกลับไปกลับมา
“เถียนเฟยจะรับขนมและน้ำชาไหมเพคะ”
เสียงที่ได้ยินฉุดเธอขึ้นจากภวังค์ สายตามองไปบนโต๊ะ เห็นลวดลายของโต๊ะเป็นตารางสี่เหลี่ยมเรียงกันหลายช่อง
เธอคิดถึงโต๊ะที่เคยเห็นในภพที่จากมา คิดว่าคงสามารถเดินหมากบนโต๊ะนี้ได้ มองสักพักก็เกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา
‘ฉันต้องรีบฝึกวิชา ถ้าสำเร็จจะได้ไปเที่ยวให้ทั่วทุกรัฐ จากนั้นค่อยหาหนทางกลับยุคปัจจุบัน’
ซิ่วฟางเห็นเถียนเฟยไม่ตอบเลยถามซ้ำ “เถียนเฟยเพคะ จะรับ...”
ยังพูดจบไม่จบก็ได้ยินเสียงของเถียนจิ้งหลานตอบกลับมา
“ข้าไม่ดื่มชา กลับตำหนักกันเถอะ” ร่างเล็กของเธอวิ่งกลับอย่างรวดเร็ว
นางกำนัลและขันทีต่างงุนงง เถียนเฟยเป็นอะไรทำไมถึงรีบร้อนเพียงนั้น
ภายในตำหนักซินหยวน เวลานี้เต็มไปด้วยเทียนที่ถูกจุดขึ้นมาอย่างสว่างไสว เถียนจิ้งหลานนั่งทบทวนวิชาทั้งทางความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมและจากตำราที่มี พร้อมกับบรรจงหยิบเข็มทิศที่ซือฝุส่งให้มาดู
“หากข้าฝึกวิชาแล้วสลบไม่ได้สติครบสามวัน ค่อยแจ้งเฉิงกงกงให้กราบทูลฝ่าบาท บอกว่าข้าไม่ได้เป็นอะไร ไม่นานก็ฟื้น แล้วก็แจ้งซือฝุให้รีบมาช่วยข้าด้วย”
เธอสั่งเสียกับเหล่านางกำนัลไว้ เพราะตอนนี้เป็นเพียงมือสมัครเล่น จะสำเร็จอย่างงดงามตั้งแต่ครั้งแรกแทบเป็นไปไม่ได้
เถียนจิ้งหลานนำเทียนมาเรียงเป็นเหมือนค่ายกลเลียนแบบในตำรา ส่วนเข็มทิศคิดเองว่าน่าจะวางไว้ตรงกลางของค่ายกลเทียน จากนั้นค่อยๆตั้งสมาธิและท่องวิชา พลังปราณค่อยๆทำให้เข็มทิศหมุนเป็นวงกลมทิศทางตามเข็มนาฬิกา แต่จู่ๆก็กลายเป็นหมุนทวนเข็มนาฬิกา เร็วขึ้นๆแล้วก็หยุดหมุนไปเสียดื้อๆ
โครม! เถียนจิ้งหลานล้มลงหมดสติอีกรอบ ที่เธอล้มเหลวในครั้งนี้เพียงเพราะว่าเธอเผลอผวนคำขณะท่องวิชา
‘อืม ตรงนั้นแหละ กำลังสบาย ลูบอีกๆเกาอีกๆ เอ๊ะ ใครมาลูบหัวเกาคางฉันเนี่ย ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงซะแล้ว’
เถียนจิ้งหลันค่อยๆลืมตามอง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือบุรุษรูปงาม อายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี ใบหน้าเนียนขาวดั่งหยกมันแพะ คางเรียวรับกับรูปหน้า คิ้วหนาเรียงเส้นสวยงาม ดวงตาหงส์มีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเปล่งประกาย จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากชมพูอ่อนอวบอิ่มกำลังดี ฝ่ามือเรียวยาวกำลังลูบหัวเธออยู่
เมื่อตั้งสติได้เธอถึงรู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่ชายผู้นี้ดูตัวใหญ่กว่าเธอมาก ยังไม่รวมถึงการที่มาลูบหัวเธออย่างไร้มารยาท
“จ้องเจิ้นแบบนั้นทำไมเสี่ยวหู่” บุรุษรูปงามถามด้วยใบหน้าสงสัย
เถียนจิ้งหลานตอบไปว่า “เจ้าน่ะสิเป็นใคร ใครคือเสี่ยวหู่”
แต่เสียงที่ได้ยินจากปากตัวเองคือ “เหมียวๆๆๆ”
ด้วยความตกใจ เธอจึงลองพูดอีกรอบ “เหมียวๆๆๆ”
‘ไอหยา ฉันมาสิงอยู่ในร่างแมว ในวังนี่มีแมวกี่ตัวนะ และแมวตัวนี้ของผู้ใดกัน’
สมองยังไม่ทันประมวลผลอะไร แขนทั้งสองข้างก็ถูกบุรุษรูปงามจับกางออก จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็ก้มลงมาซุกที่พุงน้อยๆ
“กรี๊ดๆๆ” เสียงกรี๊ดที่ไม่เป็นเสียงกรี๊ด ทำให้ผู้คนได้ยินเป็น “เหมียวๆๆ”
เถียนจิ้งหลานโวยวายไม่หยุด แม้ผู้คนจะฟังเสียงแมวไม่ออกก็ตาม
“สาวน้อยบริสุทธิ์อย่างฉันถูกกินเต้าหู้ โดนฟัดพุง แง ไอ้ผู้ชายบ้า ผู้ชายโรคจิต ชีวิตคิดแต่จะแกล้งแมวหรือไง”
“ขันทีอันพาเสี่ยวหู่ไปอาบน้ำด้วย” บุรุษรูปงามเอ่ยขึ้น จากนั้นหันมาจ้องหน้าแมวน้อย
“เจ้าไปแอบซนที่ตำหนักไหนมา กลิ่นหอมจนเหม็น”
เถียนจิ้งหลานหยุดดิ้น หมั่นไส้ในใจ
‘แหม แค่กลิ่นน้ำหอมก็ไม่ชอบ เรียกแทนตัวเองว่าเจิ้นอีก รู้แล้วล่ะว่าผู้ชายคนนี้คือใคร โอรสมังกรเลิกคิดได้เลย เลี้ยงลูกแมวไปละกัน’
ขันทีอัน ชื่อเต็มว่าอันหย่วนหัง เป็นขันทีน้อยรูปร่างค่อนข้างอ้อนแอ้นบอบบาง หน้าตาตามแบบฉบับหนุ่มน้อยจิ้มลิ้มน่ารัก เดินค้อมหลังนอบน้อมเข้ามาอุ้มเสี่ยวหู่อย่างเบามือ
‘อุ้ย หน้าตาดีจัง น่ารักมาก’ เถียนจิ้งหลานเห็นความงามของขันทีน้อยก็เคลิ้มไปครู่หนึ่ง ก่อนนึกถึงเรื่องสำคัญว่าต้องอาบน้ำ
“น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น ถ้าน้ำเย็นข้าไม่อาบนะ” “แง๊วๆๆ”
ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน
“เจ้าบ่นอะไรของเจ้า ทำเป็นแมวเพศเมียขี้บ่นไปได้ อาบน้ำเสร็จเจิ้นถึงจะให้กินอาหาร”
‘หวังว่าสมัยนี้คงไม่มีอาหารเม็ดนะ ฉันเพิ่งลิ้มรสอาหารชาววังไปไม่กี่มื้อเอง ต้องมากินอาหารแมวซะแล้ว น่าอนาถนัก’
นางกำนัลหน้าแดงอย่างขวยเขินเพราะเข้าใจสิ่งที่องค์หญิงซิงหยวนต้องการ นางรีบวิ่งไปทำตามสั่งโดยไม่คิดชีวิตฤกษ์ดีๆ อย่าให้พลาดเรื่องดีๆหยางหย่วนเฟิงรู้สึกงุนงงหลังจากได้ดื่มน้ำแกงสร่างเมา เขาพอมีสติอยู่บ้างแต่ก็ยังอยากนอนมากกว่า“ข้าอยากพักผ่อนแล้ว เจ้าลิงน้อยก็นอนเถอะ” น้ำเสียงงัวเงียบอกกับหญิงสาวที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ“ไม่ได้” นางตอบ มือเรียวทั้งสองค่อยๆปลดเสื้อผ้าของชายหนุ่มออก มือหนายกขึ้นมาปัดป้อง “บอกว่าง่วง” เสียงเขาราวกับเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ แต่สตรีตรงหน้าไม่สนใจ นางยังคงทำตามปณิธานของตน “อย่าดื้อสิ” นางสั่งเขาพลางถอดเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งคู่ออกจนหมด เจ้าบ่าวป้ายแดงดิ้นขัดขืนส่งเสียงงอแง กลับถูกเจ้าสาวจับคางให้นิ่งก่อนก้มลงจุมพิตเขา เมื่อถูกริมฝีปากหวานฉ่ำรุกล้ำภายในปากของตน ก็ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาตื่นเต็มที่ มือแกร่งยกขึ้นมารั้งที่ท้ายทอยหญิงสาว อีกมือลูบบริเวณสะโพกกลมกลึง ก่อนที่จะเปลี่ยนพลิกตัวขึ้นเป็นฝ่ายที่ควบคุมนางแทน ในตำหนักเหอเซิ่ง มีเพียงแค่ชายหญิงสองคนเกี่ยวพันกันอย่างเร้าร้อน พวกเขาสั่งให้กงกง ขันทีและองครั
ที่ประตูเมืองหลวงของรัฐต้าเซี่ย เถียนจิ้งหลานยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง“ซือฝุจะไปจริงๆหรือเจ้าคะ” เธอรู้ว่าซือฝุตัดสินใจแล้วยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจ เพียงแค่ใจหายที่ต้องบอกลากันเร็วถึงเพียงนี้“อืม” เถียนเหว่ยฉีบอกกับหญิงสาว เขามองฮ่องเต้แล้วพยักหน้าให้ถือว่าเป็นอันรู้กัน“ตอนที่ข้าเดินทางไปแอบดูท่านพี่หม่า ซือฝุจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ”เถียนเหว่ยฉีนิ่งไปพักหนึ่งก่อนตอบว่า “ถ้าข้าสำเร็จวิชาและมีเวลาว่างข้าจะไป” เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าสำนักที่ปรมาจารย์ไป๋แนะนำเพื่อฝึกตนเป็นเทพเซียนปฐพี การจากไปครั้งนี้ก็เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าให้แก่ตนเอง“โชคดีนะเจ้าคะ ถ้ามีโอกาสข้าจะให้ฝ่าบาทพาไปพบซือฝุ” เธอกล่าวเช่นนั้นเพราะจำได้ว่าสามีของตนเคยอวดอ้างว่าขนาดเทพเซียนปฐพียังต้องเกรงใจเขา นั่นหมายความว่าเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับเทพเซียนปฐพีและน่าจะสามารถเดินทางไปได้ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธหรือตอบรับ เขาเอื้อมมือโอบไหล่ เถียนจิ้งหลาน ก่อนจะกล่าวกับบุรุษตรงหน้า “เดินทางปลอดภัย”เถียนเหว่ยฉีหันหลังให้พวกเขาก่อนหยิบของบางอย่างและทำตามคำแนะนำของปรมาจารย์ไป๋ก่อนที่เขาจะหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนเถียนจิ้งห
ด้วยความที่เสียเวลาเดินทางมานาน เมื่อพวกเขานั่งเรือกลับมาถึงฝั่งก็เปลี่ยนเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่และรับทุกคนเดินทางกลับต้าเซี่ยเลยทีเดียว เว่ยฟางหลิงยังต้องกลับไปเก็บของที่วัง เยี่ยนไป๋อวิ๋นและองค์หญิงซิงหยวนขอลงที่ท่าเรือของรัฐเฉียนเยี่ยนและอวิ๋นโจวเพื่อจัดการธุระของตน ที่ดูหงอยเหงามากที่สุดคงหนีไม่พ้นหยางเหว่ยเสียง ปกติเขาจะชอบพูดคุยกับราชครูหม่า ตอนนี้ราชครูหม่าก็ย้ายไปอยู่ในที่แสนไกลแล้ว เขาคงไม่มีคนให้ซักถามเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ที่เก่งขนาดนั้นอีกแล้ว ส่วนเยี่ยนไป๋อวิ๋นนั้นถือเป็นสหายที่รู้ใจเขามากที่สุด อยู่ด้วยกันมานานพูดคุยเข้าใจกันทุกเรื่อง พอคิดว่าเยี่ยนไป๋อวิ๋นจะต้องกลับสำนักหลานถาเป็นผู้สืบทอด นานทีปีหนจะลงจากเขา ความเศร้าหดหู่ก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเขาจนยากที่จะขจัดออก “เจ้าเป็นอะไรไป” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเดินมานั่งลงข้างกายเขาหลังจากที่พูดคุยกับเถียนเหว่ยฉีเสร็จ “เดี๋ยวไม่กี่วันเจ้าก็ต้องกลับสำนักแล้ว ข้าคงเหงาน่าดู” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเขยิบกายเอาไหล่ตนชนกับไหล่ของหยางเหว่ยเสียง “ถ้าข้ามีเวลาไปหาเจ้า เจ้าจะแต่งกายเป็น
เถียนจิ้งหลานนอนซุกอกกำยำของฮ่องเต้ นิ้วเรียวเขี่ยหน้าอกเขาเล่นด้วยความเพลิดเพลิน“เป่าเป้ยเล่าเรื่องท่านพี่หม่าให้หม่อมฉันฟังเลยเพคะ”“อืม เรื่องมันยาว” เขาไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าอย่างไรดี“เจิ้นต้องเล่านิทานเรื่องหนึ่งก่อน จึงจะเล่าเรื่องของ หมิงเจ๋อต่อได้” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขากระตุ้นให้สตรีน้อยยิ่งอยากฟังมากขึ้น“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสตรีโฉมงามปานเทพธิดานางหนึ่งครองรักอยู่กับบุรุษรูปงามดั่งเทพเซียน พวกเขาทั้งสองวางแผนไว้ว่าหากสตรีนางนั้นทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายไว้ให้เรียบร้อยคนทั้งคู่ก็จะแต่งงานกัน” เขาก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหญิงสาวที่นอนฟังราวกับกระต่ายตัวน้อยก่อนจะเล่าต่อ“สตรีนางนั้นต้องต่อสู้กับศิษย์ร่วมสำนักอีกคน ตามกฎของการประลองคือห้ามผู้ใดเข้าช่วยเหลือได้ เมื่อสตรีนางนั้นเพลี่ยงพล้ำถูกกระบี่ของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้นิ่งเฉยรีบเข้าไปหวังจะช่วยเหลือนาง เพียงแต่ว่าเขาไปช้าเพียงเสี้ยวเวลาเดียวเท่านั้นจึงทำให้ช่วยนางไว้ไม่ทัน นางสิ้นใจในอ้อมอกของเขา”ร่างแกร่งของชายหนุ่มที่เล่าเรื่องเริ่มสั่นไหว ความรู้สึกเศร้าจนหายใจไม่ออกทำให้หน้าอกกระเพื่อมมากขึ้น น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่น
ฮ่องเต้อุ้มเถียนจิ้งหลานเดินนำคนอื่นๆไปยังทางออกอีกฝั่งของถ้ำ ภายในถ้ำยังคงสว่างไสวจากประกายแสงของคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเล พวกเขาใช้เวลาเดินประมาณสามก้านธูปก็ได้พบกับประตูหินบานใหญ่ซึ่งเป็นทางออกอีกด้านของถ้ำ เนื่องจากตอนที่พวกเขาเปิดประตูถ้ำนั้นต้องใช้แก้วมณีมังกรทำให้กลไกของประตูเปิดและตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ในลิ้นของหินรูปร่างมังกร เมื่อสำรวจกับประตูบานตรงหน้าก็คล้ายกับว่าต้องใช้แก้วมณีมังกรเช่นกัน “เดี๋ยวกระหม่อมจะย้อนไปหยิบให้พะย่ะค่ะ” เจียงจิ้นเผิงเสนอตัวอาสา “ช้าก่อน” เถียนเหว่ยฉีรั้งเขาไว้ “ปรมาจารย์ไป๋ไม่น่าจะขยันหยิบแก้วมังกรไปมา เขาต้องมีวิธีเรียกมันมาได้แน่ๆ” “ข้าคุมน้ำให้มากับน้ำดีหรือไม่เจ้าคะ” เถียนจิ้งหลานที่กำลังอ่อนล้าก็อยากช่วยเช่นกัน “ไม่ต้องๆ ไม่รบกวนเถียนเฟยพะย่ะค่ะ” ทั้งเจียงจิ้นเผิงและเมิ่งจื่อหานกล่าวห้ามพร้อมกัน พวกเขาไม่ได้ประจบเอาใจ เพียงแต่ว่าถ้านางควบคุมน้ำได้ไม่ดี พวกเขาอาจจะต้องไหลไปตามน้ำหรือไม่ก็ตัวเปียกอีกรอบ ฮ่องเต้เพ่งมองไปรอบๆบริเวณอย่างช้าๆ ก่อนที่จะฝากให้เถียนเหว่ยฉีอุ้มเถียนจิ้งหลา
เมื่อเดินใกล้ถึงด้านหัวของหินก้อนนั้นจึงมองออกว่าหินก้อนนั้นคือหินรูปมังกร ศีรษะมังกรขนาดใหญ่อ้าปากคำรามน่าเกรงขาม ข้างหลังของศีรษะมังกรเป็นถ้ำถูกปิดด้วยประตูหินที่แกะสลักลวดลายมังกรอย่างวิจิตรบรรจงเจียงจิ้นเผิงเดินเข้าไปใกล้ประตูหินนั้น เขาลองผลักประตูแต่ไม่ว่าจะใช้แรงมากเท่าไหร่ประตูก็ไม่มีทีท่าจะขยับเลยแม้แต่น้อยฮ่องเต้พินิจพิเคราะห์ในปากมังกร เขาล้วงมือเข้าไปหยิบห่อผ้าออกมาจากหน้าอกตนเอง ก่อนหยิบแก้วมณีมังกรใส่ลงไปตรงกลางลิ้นของมังกร เมื่อแก้วมณีมังกรลงช่องที่พอดีกับขนาดของมันก็ทำให้หินรูปมังกรนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณลำตัวจากสีน้ำตาลเข้มแกมดำเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตสดใส ดวงตาของมังกรก็เปล่งประกายสีแดงก่ำราวกับโกเมน จากนั้นประตูหินค่อยๆแง้มออกต้อนรับแขกผู้มาเยือนภายในถ้ำของเกาะแห่งนี้แตกต่างจากเกาะแรกราวฟ้ากับเหว ขนาดพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถง พื้นและผนังถ้ำเป็นหินอ่อน ส่วนเพดานเต็มไปด้วยหินคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเลส่องแสงระยิบระยับสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ ทำให้ไม่จำเป็นต้องจุดคบไฟเพื่อให้ความสว่างก่อนที่จะเดินเข้าไปในถ้ำ ฮ่องเต้คว้าตัวเถียนจิ้งหลานไว้ มือใหญ่ทั้งสองจับที่คางของนางก่อนที่