เมื่อกำลังใจดีมียาให้ดื่ม อาการล้มป่วยของโม่ชิงเยว่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะพูดว่าการขายผ้าปักคือการขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียง แต่โม่ชิงเยว่กลับพิถีพิถันและลงมือปักผ้าอย่างประณีตบรรจง ลวดลายที่นางออกแบบล้วนเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองหลวง นางนำมาดัดแปลงโดยใช้ลายเส้นในรูปแบบเฉพาะของสกุลเจียง แน่นอนว่าสาวใช้ผู้มากไหวพริบของนางก็คือคนที่ออกไปสำรวจความนิยมของผู้คนในเมืองหลวงมาให้ เนื้อผ้าและเส้นไหมที่ใช้ปักนางล้วนเลือกใช้ของชั้นดีสีสันและลายปักจึงดูล้ำค่าเหมาะสมกับราคาที่สกุลเจียงจ่ายมาให้
พอมีเงินแล้วชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีอาหารให้กินจนอิ่มท้องมีที่นอนที่มีความอบอุ่นเพียงพอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ พออากาศอบอุ่นมากขึ้นชุ่ยเหมยก็มักจะพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งชักชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำแปลงปลูกผักแปลงเล็กๆ ไว้กิน ทั้งฝึกสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ทำให้โม่ชิงเยว่มีสมาธิในการออกแบบลวดลายและลงมือปักผ้าได้อย่างเต็มที่
ส่วนทางเรือนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้ส่งสิ่งของมาให้แต่ก็มักจะส่งคนมาคอยสอดแนมเป็นระยะ แต่โม่ชิงเยว่ไม่ค่อยจะให้ความสนใจพวกเขาเท่าใดนัก สิ่งเดียวที่นางให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือการขายผ้าปักให้กับสกุลเจียง ยามนี้ลวดลายผ้าปักของสกุลเจียงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ผ้าปักทุกชิ้นที่นำมาวางขายล้วนเป็นของล้ำค่า ผู้ที่จะนำไปตัดเย็บเป็นอาภรณ์เพื่อสวมใส่ล้วนเป็นชนชั้นสูงหรือไม่ก็บรรดาสตรีที่อยู่ในวัง แน่นอนว่าการที่ผ้าปักของสกุลเจียงได้รับความนิยมถึงขั้นนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือการปักผ้าและออกแบบลวดลายของโม่ชิงเยว่เป็นส่วนใหญ่
ส่วนสาเหตุที่ผ้าปักสกุลเจียงล้ำค่ามากก็เพราะในหนึ่งเดือนโม่ชิงเยว่ปักผ้าออกมาได้แค่เพียงไม่กี่ผืนเพียงเท่านั้น แม้ว่าสุขภาพของนางจะดีขึ้นแล้วแต่นางก็ไม่กล้าหักโหมมากจนเกินไป ส่วนทางสกุลเจียงนั้นคนที่ปักผ้าแบบดั้งเดิมของสกุลเจียงได้มีไม่มากแล้ว ดังนั้นคนที่สามารถปักผ้าตามที่นางออกแบบลวดลายและเดินเส้นไหมนำไปให้จึงมีแค่เพียงไม่กี่คน ผ้าปักที่ได้จึงมีจำนวนไม่มาก เมื่อมีน้อยแต่ความต้องการมากราคาของผ้าปักจึงทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นผลดีทั้งต่อสกุลเจียงและโม่ชิงเยว่
ในยามนี้สี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทางเรือนใหญ่กลับเต็มไปด้วยความร้อนใจ ซ่งเหวินหนิงกำลังโวยวายที่ร้านผ้าสกุลเจียงกล้าปฏิเสธไม่ยอมขายผ้าปักที่เหลือเพียงชิ้นเดียวให้นาง แถมยังบอกกับนางว่าหากนางอยากได้จะต้องใช้เงินถึงแปดสิบตำลึง ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมากสำหรับอาภรณ์ที่ตัดเย็บโดยใช้ผ้าปักลวดลายเฉพาะของสกุลเจียง
“ท่านแม่ข้าไม่ยอมนะเจ้าคะ จะมีแค่เพียงข้าที่ไม่มีอาภรณ์ที่ตัดเย็บโดยใช้ผ้าปักลายของสกุลเจียงไม่ได้ บรรดาสหายของข้าล้วนมีกันคนละชุดสองชุดแล้ว ส่วนตัวข้านั้นกลับยังไม่มีเลยสักชุด” เมื่อซ่งเหวินหนิงเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซ่งก็พลันส่ายศีรษะ
“แล้วทำไมเจ้าจะต้องเลียนแบบผู้อื่นด้วย ก็แค่ผ้าปักธรรมดาจะสู้ผ้าไหมพระราชทานที่ฝ่าบาททรงพระราชทานมาให้ที่จวนของพวกเราได้อย่างไร” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงส่ายหน้า
“จริงอยู่ที่สู้ไม่ได้ แต่ยามนี้อาภรณ์ที่ถูกตัดเย็บโดยผ้าปักสกุลเจียงนั้นกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่หยางเต๋อเฟยที่อยู่ในวังก็ยังทรงโปรดปรานผ้าปักของสกุลเจียงเป็นอย่างมาก”
"ได้รับความนิยมแล้วอย่างไร ผ้าปักที่มีราคาสูงถึงปานนั้นเจ้าไม่คิดว่ามันดูสิ้นเปลืองเกินไปหน่อยหรือเจ้าอย่าลืมสิว่าเงินทองที่เจ้าใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ล้วนมาจากหยาดเหงื่อแรงกายรวมไปถึงเลือดเนื้อของพี่ชายของเจ้า" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงหันไปหาตัวช่วยของตนเองในทันที
"พี่สะใภ้ ท่านจะไม่ช่วยข้าหน่อยหรือข้ารู้ว่าสกุลของท่านกว้างขวาง ได้ยินมาว่าสกุลเจียงนี้ขอเพียงถูกใจผู้ใดก็จะลดราคาผ้าปักให้เป็นพิเศษ” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้สุ่ยอี้โหรวถึงกับยิ้มกว้างออกมาในทันที เวลาที่ซ่งเหวินหนิงอยากจะได้อะไรนางมักจะใช้คำว่า “พี่สะใภ้” มาออดอ้อนและทำให้นางใจอ่อนอยู่เสมอ
"ใช่ว่าพี่จะไม่อยากช่วยเจ้า แต่สกุลเจียงนี้ข้ายากจะเข้าไปตีสนิท เจ้าคงจะไม่รู้ว่าสกุลเจียงคือสกุลเดิมของมารดาของฮูหยิน ข้าที่เป็นแค่เพียงอนุจะกล้าเข้าไปตีสนิทกับสกุลเดิมของมารดาของฮูหยินได้อย่างไร" คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้ซ่งเหวินหนิงมีสีหน้าไม่พอใจในทันที
"สกุลเดิมอะไรกัน นางเป็นกำพร้าสกุลโม่ที่ไร้ญาติขาดมิตรมิใช่หรือ หากไม่เพราะฝ่าบาททรงมีพระราชโองการพระราชทานสมรสให้ นางหรือจะมีโอกาสได้ป่ายปีนขึ้นมาแต่งกับพี่ใหญ่ของข้า ฮึ! ก็แค่ลูกกำพร้าของอดีตแม่ทัพเพียงเท่านั้น คนสกุลเจียงหรือจะไปนับญาติกับนาง" คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้สุ่ยอี้โหรวยิ้มออกมา
"แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่คิดเช่นนั้น เมื่อหลายวันก่อนคนของข้าบังเอิญเห็นว่าคนของนางไปวนเวียนแถวร้านผ้าสกุลเจียง ไม่แน่ว่านางอาจจะอยากขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียงก็ได้"
"ขอความช่วยเหลืออะไรกัน ท่านแม่ไม่ใช้กฎประจำตระกูลลงโทษนางจนตายก็นับว่าปรานีมากแล้ว เอาไว้รอพี่ใหญ่กลับมานางได้ไม่ตายดีแน่ ฮูหยินพระราชทานที่หย่าไม่ได้เช่นนั้นหรือ เฮอะ! แต่นางกล้าคบชู้แล้วคลอดลูกชู้ออกมาเช่นนี้ ต่อให้เป็นฮูหยินพระราชทานแล้วอย่างไรกันเล่า พวกเราบอกว่านางป่วยตายก็เป็นอันใช้ได้แล้ว" คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมออกมา
"เจ้าอย่าได้ปากมาก หากคนนอกมาได้ยินเข้าชื่อเสียงของสกุลซ่งคงได้ป่นปี้เพราะเรื่องนี้พอดีกัน จริงสิอี้โหรวทางท่านโหวได้ส่งข่าวคราวมาหาเจ้าบ้างหรือไม่ เหตุใดจึงได้เงียบหายไปเลยเช่นนี้ หากไม่เพราะยังคงส่งเงินทองกลับมาที่จวนแม่คงจะคิดว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเขาไปแล้ว" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้สุ่ยอี้โหรวยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อน
"ไม่ได้ส่งข่าวคราวกลับมาเลยเจ้าค่ะ จดหมายสักฉบับก็ไม่มี แต่ท่านแม่น่าจะรู้ว่าคนอย่างท่านโหวไม่ชอบการเขียนจดหมายอยู่แล้ว" สุ่ยอี้โหรวเอ่ยออกมาพลางลอบจิกเล็บเข้าไปในอุ้งมือของตนเอง
เขาไม่ชอบเขียนจดหมาย แต่ช่วงสองปีที่อยู่ชายแดนกลับมีจดหมายส่งมาที่จวนถึงหกฉบับ ในหกฉบับนั้นล้วนตั้งใจส่งมาให้โม่ชิงเยว่ทั้งสิ้น เขาเขียนมาสอบถามความเป็นอยู่ของนางอีกทั้งคนที่มาส่งจดหมายยังตั้งใจสอบถามถึงความเป็นอยู่ของนางโดยเฉพาะ มีหรือที่สุ่ยอี้โหรวจะพูดออกไปนางแค่เพียงลักลอบเก็บจดหมายเอาไว้แล้วบอกกับคนที่สอบถามว่าฮูหยินจวนโหวผู้นั้นสบายดีแล้วปกปิดไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าและซ่งเหวินหนิงรู้เรื่องจดหมายและคนถามข่าว นางจะต้องทำให้สองคนนี้เชื่อให้ได้ว่านางคือสตรีที่ซ่งเหวินจิ้งรักนางจึงจะยังคงอยู่ที่จวนแห่งนี้ได้อย่างมั่นคง ยามนี้ทุกอย่างในจวนอยู่ในมือของนางแล้วขอเพียงกำจัดโม่ชิงเยว่และลูกๆ ของนางก่อนที่ซ่งเหวินจิ้งจะกลับมาได้แล้วหลังจากนั้นจวนโหวแห่งนี้ก็จะต้องเป็นของนางอย่างแท้จริง
"ไม่ชอบเขียนจดหมายแต่เมื่อก่อนก็มักจะส่งคนมาสอบถามความเป็นอยู่ของแม่และน้องอย่างเสมอ เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้พอแต่งงานแล้วก็ยิ่งเย็นชากับแม่กับน้อง" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้สุ่ยอี้โหรวรีบพูดจาปลอบใจในทันที
“ได้ยินว่าชายแดนไม่ค่อยจะสงบนักท่าน ท่านโหวน่าจะติดพันการรบจนไม่มีเวลาจะคิดถึงเรื่องทางบ้าน ท่านแม่ก็อย่าได้น้อยใจไปเลยเจ้าค่ะ” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"พี่ใหญ่ยังจะมีห่วงอะไรอีก ในเมื่อเขาสามารถแต่งพี่อี้โหรวที่เป็นนางในดวงใจเข้าจวนมาได้ด้วยความช่วยเหลือของท่านแม่ เขาก็ย่อมจะวางใจแล้วว่าท่านแม่จะต้องดูแลตนเองได้ แถมตอนนี้ยังมีพี่อี้โหรวคอยดูแลอย่างใกล้ชิดพี่ใหญ่ย่อมจะไร้ความวิตกกังวลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของที่บ้าน ท่านแม่ไม่ต้องกังวลหรอกพี่ใหญ่กลับมาเมื่อไหร่เขาจะต้องมาแสดงความกตัญญูต่อท่านแน่” ซ่งเหวินหนิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเอาใจ แต่สายตาของนางกลับพุ่งตรงไปที่สุ่ยอี้โหรวผู้มีอำนาจในการดูแลในเรือนหลังทั้งหมด ยามนี้ผู้ที่ได้กุมเงินและมีอำนาจในการควบคุมคนของทั้งจวนเอาไว้ไม่ใช่ท่านแม่ของนางแต่กลับเป็นพี่สะใภ้ผู้นี้ต่างหาก หากนางเอาอกเอาใจให้ดีแน่นอนว่าอาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักสกุลเจียงจะต้องตกเป็นของนางเข้าสักวัน…
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ