เมื่อกำลังใจดีมียาให้ดื่ม อาการล้มป่วยของโม่ชิงเยว่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะพูดว่าการขายผ้าปักคือการขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียง แต่โม่ชิงเยว่กลับพิถีพิถันและลงมือปักผ้าอย่างประณีตบรรจง ลวดลายที่นางออกแบบล้วนเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองหลวง นางนำมาดัดแปลงโดยใช้ลายเส้นในรูปแบบเฉพาะของสกุลเจียง แน่นอนว่าสาวใช้ผู้มากไหวพริบของนางก็คือคนที่ออกไปสำรวจความนิยมของผู้คนในเมืองหลวงมาให้ เนื้อผ้าและเส้นไหมที่ใช้ปักนางล้วนเลือกใช้ของชั้นดีสีสันและลายปักจึงดูล้ำค่าเหมาะสมกับราคาที่สกุลเจียงจ่ายมาให้
พอมีเงินแล้วชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีอาหารให้กินจนอิ่มท้องมีที่นอนที่มีความอบอุ่นเพียงพอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ พออากาศอบอุ่นมากขึ้นชุ่ยเหมยก็มักจะพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งชักชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำแปลงปลูกผักแปลงเล็กๆ ไว้กิน ทั้งฝึกสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ทำให้โม่ชิงเยว่มีสมาธิในการออกแบบลวดลายและลงมือปักผ้าได้อย่างเต็มที่
ส่วนทางเรือนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้ส่งสิ่งของมาให้แต่ก็มักจะส่งคนมาคอยสอดแนมเป็นระยะ แต่โม่ชิงเยว่ไม่ค่อยจะให้ความสนใจพวกเขาเท่าใดนัก สิ่งเดียวที่นางให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือการขายผ้าปักให้กับสกุลเจียง ยามนี้ลวดลายผ้าปักของสกุลเจียงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ผ้าปักทุกชิ้นที่นำมาวางขายล้วนเป็นของล้ำค่า ผู้ที่จะนำไปตัดเย็บเป็นอาภรณ์เพื่อสวมใส่ล้วนเป็นชนชั้นสูงหรือไม่ก็บรรดาสตรีที่อยู่ในวัง แน่นอนว่าการที่ผ้าปักของสกุลเจียงได้รับความนิยมถึงขั้นนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือการปักผ้าและออกแบบลวดลายของโม่ชิงเยว่เป็นส่วนใหญ่
ส่วนสาเหตุที่ผ้าปักสกุลเจียงล้ำค่ามากก็เพราะในหนึ่งเดือนโม่ชิงเยว่ปักผ้าออกมาได้แค่เพียงไม่กี่ผืนเพียงเท่านั้น แม้ว่าสุขภาพของนางจะดีขึ้นแล้วแต่นางก็ไม่กล้าหักโหมมากจนเกินไป ส่วนทางสกุลเจียงนั้นคนที่ปักผ้าแบบดั้งเดิมของสกุลเจียงได้มีไม่มากแล้ว ดังนั้นคนที่สามารถปักผ้าตามที่นางออกแบบลวดลายและเดินเส้นไหมนำไปให้จึงมีแค่เพียงไม่กี่คน ผ้าปักที่ได้จึงมีจำนวนไม่มาก เมื่อมีน้อยแต่ความต้องการมากราคาของผ้าปักจึงทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นผลดีทั้งต่อสกุลเจียงและโม่ชิงเยว่
ในยามนี้สี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทางเรือนใหญ่กลับเต็มไปด้วยความร้อนใจ ซ่งเหวินหนิงกำลังโวยวายที่ร้านผ้าสกุลเจียงกล้าปฏิเสธไม่ยอมขายผ้าปักที่เหลือเพียงชิ้นเดียวให้นาง แถมยังบอกกับนางว่าหากนางอยากได้จะต้องใช้เงินถึงแปดสิบตำลึง ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมากสำหรับอาภรณ์ที่ตัดเย็บโดยใช้ผ้าปักลวดลายเฉพาะของสกุลเจียง
“ท่านแม่ข้าไม่ยอมนะเจ้าคะ จะมีแค่เพียงข้าที่ไม่มีอาภรณ์ที่ตัดเย็บโดยใช้ผ้าปักลายของสกุลเจียงไม่ได้ บรรดาสหายของข้าล้วนมีกันคนละชุดสองชุดแล้ว ส่วนตัวข้านั้นกลับยังไม่มีเลยสักชุด” เมื่อซ่งเหวินหนิงเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซ่งก็พลันส่ายศีรษะ
“แล้วทำไมเจ้าจะต้องเลียนแบบผู้อื่นด้วย ก็แค่ผ้าปักธรรมดาจะสู้ผ้าไหมพระราชทานที่ฝ่าบาททรงพระราชทานมาให้ที่จวนของพวกเราได้อย่างไร” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงส่ายหน้า
“จริงอยู่ที่สู้ไม่ได้ แต่ยามนี้อาภรณ์ที่ถูกตัดเย็บโดยผ้าปักสกุลเจียงนั้นกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่หยางเต๋อเฟยที่อยู่ในวังก็ยังทรงโปรดปรานผ้าปักของสกุลเจียงเป็นอย่างมาก”
"ได้รับความนิยมแล้วอย่างไร ผ้าปักที่มีราคาสูงถึงปานนั้นเจ้าไม่คิดว่ามันดูสิ้นเปลืองเกินไปหน่อยหรือเจ้าอย่าลืมสิว่าเงินทองที่เจ้าใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ล้วนมาจากหยาดเหงื่อแรงกายรวมไปถึงเลือดเนื้อของพี่ชายของเจ้า" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงหันไปหาตัวช่วยของตนเองในทันที
"พี่สะใภ้ ท่านจะไม่ช่วยข้าหน่อยหรือข้ารู้ว่าสกุลของท่านกว้างขวาง ได้ยินมาว่าสกุลเจียงนี้ขอเพียงถูกใจผู้ใดก็จะลดราคาผ้าปักให้เป็นพิเศษ” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้สุ่ยอี้โหรวถึงกับยิ้มกว้างออกมาในทันที เวลาที่ซ่งเหวินหนิงอยากจะได้อะไรนางมักจะใช้คำว่า “พี่สะใภ้” มาออดอ้อนและทำให้นางใจอ่อนอยู่เสมอ
"ใช่ว่าพี่จะไม่อยากช่วยเจ้า แต่สกุลเจียงนี้ข้ายากจะเข้าไปตีสนิท เจ้าคงจะไม่รู้ว่าสกุลเจียงคือสกุลเดิมของมารดาของฮูหยิน ข้าที่เป็นแค่เพียงอนุจะกล้าเข้าไปตีสนิทกับสกุลเดิมของมารดาของฮูหยินได้อย่างไร" คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้ซ่งเหวินหนิงมีสีหน้าไม่พอใจในทันที
"สกุลเดิมอะไรกัน นางเป็นกำพร้าสกุลโม่ที่ไร้ญาติขาดมิตรมิใช่หรือ หากไม่เพราะฝ่าบาททรงมีพระราชโองการพระราชทานสมรสให้ นางหรือจะมีโอกาสได้ป่ายปีนขึ้นมาแต่งกับพี่ใหญ่ของข้า ฮึ! ก็แค่ลูกกำพร้าของอดีตแม่ทัพเพียงเท่านั้น คนสกุลเจียงหรือจะไปนับญาติกับนาง" คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้สุ่ยอี้โหรวยิ้มออกมา
"แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่คิดเช่นนั้น เมื่อหลายวันก่อนคนของข้าบังเอิญเห็นว่าคนของนางไปวนเวียนแถวร้านผ้าสกุลเจียง ไม่แน่ว่านางอาจจะอยากขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียงก็ได้"
"ขอความช่วยเหลืออะไรกัน ท่านแม่ไม่ใช้กฎประจำตระกูลลงโทษนางจนตายก็นับว่าปรานีมากแล้ว เอาไว้รอพี่ใหญ่กลับมานางได้ไม่ตายดีแน่ ฮูหยินพระราชทานที่หย่าไม่ได้เช่นนั้นหรือ เฮอะ! แต่นางกล้าคบชู้แล้วคลอดลูกชู้ออกมาเช่นนี้ ต่อให้เป็นฮูหยินพระราชทานแล้วอย่างไรกันเล่า พวกเราบอกว่านางป่วยตายก็เป็นอันใช้ได้แล้ว" คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมออกมา
"เจ้าอย่าได้ปากมาก หากคนนอกมาได้ยินเข้าชื่อเสียงของสกุลซ่งคงได้ป่นปี้เพราะเรื่องนี้พอดีกัน จริงสิอี้โหรวทางท่านโหวได้ส่งข่าวคราวมาหาเจ้าบ้างหรือไม่ เหตุใดจึงได้เงียบหายไปเลยเช่นนี้ หากไม่เพราะยังคงส่งเงินทองกลับมาที่จวนแม่คงจะคิดว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเขาไปแล้ว" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้สุ่ยอี้โหรวยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อน
"ไม่ได้ส่งข่าวคราวกลับมาเลยเจ้าค่ะ จดหมายสักฉบับก็ไม่มี แต่ท่านแม่น่าจะรู้ว่าคนอย่างท่านโหวไม่ชอบการเขียนจดหมายอยู่แล้ว" สุ่ยอี้โหรวเอ่ยออกมาพลางลอบจิกเล็บเข้าไปในอุ้งมือของตนเอง
เขาไม่ชอบเขียนจดหมาย แต่ช่วงสองปีที่อยู่ชายแดนกลับมีจดหมายส่งมาที่จวนถึงหกฉบับ ในหกฉบับนั้นล้วนตั้งใจส่งมาให้โม่ชิงเยว่ทั้งสิ้น เขาเขียนมาสอบถามความเป็นอยู่ของนางอีกทั้งคนที่มาส่งจดหมายยังตั้งใจสอบถามถึงความเป็นอยู่ของนางโดยเฉพาะ มีหรือที่สุ่ยอี้โหรวจะพูดออกไปนางแค่เพียงลักลอบเก็บจดหมายเอาไว้แล้วบอกกับคนที่สอบถามว่าฮูหยินจวนโหวผู้นั้นสบายดีแล้วปกปิดไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าและซ่งเหวินหนิงรู้เรื่องจดหมายและคนถามข่าว นางจะต้องทำให้สองคนนี้เชื่อให้ได้ว่านางคือสตรีที่ซ่งเหวินจิ้งรักนางจึงจะยังคงอยู่ที่จวนแห่งนี้ได้อย่างมั่นคง ยามนี้ทุกอย่างในจวนอยู่ในมือของนางแล้วขอเพียงกำจัดโม่ชิงเยว่และลูกๆ ของนางก่อนที่ซ่งเหวินจิ้งจะกลับมาได้แล้วหลังจากนั้นจวนโหวแห่งนี้ก็จะต้องเป็นของนางอย่างแท้จริง
"ไม่ชอบเขียนจดหมายแต่เมื่อก่อนก็มักจะส่งคนมาสอบถามความเป็นอยู่ของแม่และน้องอย่างเสมอ เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้พอแต่งงานแล้วก็ยิ่งเย็นชากับแม่กับน้อง" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้สุ่ยอี้โหรวรีบพูดจาปลอบใจในทันที
“ได้ยินว่าชายแดนไม่ค่อยจะสงบนักท่าน ท่านโหวน่าจะติดพันการรบจนไม่มีเวลาจะคิดถึงเรื่องทางบ้าน ท่านแม่ก็อย่าได้น้อยใจไปเลยเจ้าค่ะ” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"พี่ใหญ่ยังจะมีห่วงอะไรอีก ในเมื่อเขาสามารถแต่งพี่อี้โหรวที่เป็นนางในดวงใจเข้าจวนมาได้ด้วยความช่วยเหลือของท่านแม่ เขาก็ย่อมจะวางใจแล้วว่าท่านแม่จะต้องดูแลตนเองได้ แถมตอนนี้ยังมีพี่อี้โหรวคอยดูแลอย่างใกล้ชิดพี่ใหญ่ย่อมจะไร้ความวิตกกังวลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของที่บ้าน ท่านแม่ไม่ต้องกังวลหรอกพี่ใหญ่กลับมาเมื่อไหร่เขาจะต้องมาแสดงความกตัญญูต่อท่านแน่” ซ่งเหวินหนิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเอาใจ แต่สายตาของนางกลับพุ่งตรงไปที่สุ่ยอี้โหรวผู้มีอำนาจในการดูแลในเรือนหลังทั้งหมด ยามนี้ผู้ที่ได้กุมเงินและมีอำนาจในการควบคุมคนของทั้งจวนเอาไว้ไม่ใช่ท่านแม่ของนางแต่กลับเป็นพี่สะใภ้ผู้นี้ต่างหาก หากนางเอาอกเอาใจให้ดีแน่นอนว่าอาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักสกุลเจียงจะต้องตกเป็นของนางเข้าสักวัน…
ในขณะที่ทางฝั่งเรือนใหญ่กำลังชำระความกับสุ่ยอี้โหรว โม่ชิงเยว่ก็กำลังนั่งดื่มด่ำกับน้ำชาที่ชุ่ยเหมยพึ่งจะชงเสร็จ ส่วนเด็กๆ ในยามนี้กำลังนั่งเล่นหุ่นกระบอกไม้ที่ชุ่ยเหมยซื้อมาอย่างเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง“ฮูหยิน จะไม่ให้บ่าวไปสืบดูหน่อยหรือว่าเฉินมามาผู้นั้นคุ้มค่ากับเงินที่ท่านจ่ายไปหรือไม่” เมื่อชุ่ยเหมยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“สถานการณ์ชี้นำขนาดนั้นถ้านางไม่ลงมือก็โง่เต็มทีแล้ว เฮ้อ เพียงแต่เงินที่หามาได้ต้องนำมาใช้จ่ายเพราะเรื่องนี้ข้าล่ะอดรู้สึกปวดใจไม่ได้จริงๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ทอดถอนใจออกมา“ไม่ได้การ บ่าวขอไปดูให้แน่ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะหูหนวกตาบอดหลงเชื่อคำแก้ตัวของสุ่ยอี๋เหนียงหรือไม่” เมื่อพูดจบชุ่ยเหมยก็รีบเร้นกายออกจากไปในทันที ทำให้โม่ชิงเยว่จำต้องส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจกับนิสัยที่พอคิดได้ก็ลงมือทำเลยของชุ่ยเหมย นิสัยเช่นนี้จะว่าดีก็ถือว่าดีจะว่าแย่ก็ถือว่าแย่ จะทำอะไรหากไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อนผลลัพธ์ที่ตามมาก็มักจะเลวร้ายเสมอชุ่ยเหมยหายตัวไปนานกว่าที่คาดไว้แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ด้วยรู้ดีว่าคนของนางมีไหวพริบที่ดีแ
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสาวใช้ทำให้สุ่ยอี้โหรวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อคืนนี้นางเฝ้ารอให้คนของนางกลับมารายงานผลแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมา อีกทั้งทางเรือนเหมันต์ก็เงียบกริบราวกับไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น นางไม่อาจจะเข้าไปสอบถามความเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยได้จึงทำได้แค่รอเพียงเท่านั้น เพราะความกังวลใจทำให้นางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาด้วยความกังวลใจแต่แล้วนางหลับใหลไปในยามใดก็สุดรู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวใช้ ท่าทีแตกตื่นตกใจของพวกนางทำให้นางรีบก้มลงสำรวจตนเองในทันที“กรี๊ด” เสียงร้องของนางทำให้บรรดาผู้คุ้มกันเรือนรีบเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายของนางไม่เรียบร้อยอีกทั้งสาวใช้บางคนเริ่มมีสติแล้วช่วยกันขับไล่พวกเขาให้รีบลงจากเรือน คนที่พอจะมีสติอยู่บ้างรีบห้ามปรามไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเรือนในทันที“อี๋เหนียง! อี๋เหนียงเจ้าคะ” เสียงของตงฮวาผู้เป็นสาวใช้คนสนิทช่วยเรียกคืนสติของสุ่ยอี้โหรวให้กลับคืนมา ยามนี้ร่างกายของนางนั้นเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์มาปกปิด คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนตามลำตัวทำให้เนื้อตัวของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มที่นอนบนเต
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เมื่อนางพบว่ามีศพนอนรออยู่สามศพนางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด“ฮูหยินเจ้าคะ ทางเรือนใหญ่ลงมือกับท่านอีกแล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อนางถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า“เป็นสุ่ยอี้โหรวน่ะ เพียงแต่คราวนี้ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้แล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยจบก็ยื่นถุงสมุนไพรในมือให้ชุ่ยเหมย ยามที่เงินไม่ขาดมือชีวิตช่างดีนัก จะซื้อสมุนไพรมาตุนไว้สักเท่าใดก็ไม่เดือดร้อน ตอนที่ท่านพ่อของนางสิ้นจวนสกุลโม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่มากเท่าไหร่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสินเดิมที่เหลืออยู่ของท่านแม่ของนาง นางจึงต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด พอแต่งเข้าจวนโหวแม้ว่าสามีจะมั่งคั่งแต่ในเมื่อแม่สามีไม่โปรดปรานเงินทองที่จะใช้สอยย่อมไม่มีตกมาถึงมือ นางจะไปแบมือขอกับแม่สามีก็ไม่ได้ ส่วนสามีแค่ได้พบหน้าก็ยังจะไม่พบ พอได้เจอหน้ากันนางจะอ้าปากถามเรื่องเงินก็ใช่ที่ มาตอนนี้พอมีเงินที่หามาได้ด้วยตนเองแล้วนางย่อมจะมือเติบอยู่บ้างเป็นธรรมดา“ผงสมุนไพรนี้ แค่โปรยไปในอากาศจะทำให้คนที่สูดดมหลับใหลไม่ได้สติ เจ้าใช้อย่างระมัดระวัง เอาศพของสามคนนี้ไปโยนไว้บนเตียงของสุ่ยอี้โหรว ในเมื่อนางอยากยุแยงใ
ในขณะที่ทางชายแดนยังคงสะสางปัญหาไม่สิ้น แต่ทางจวนโหวนั้นกลับราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประจบเอาใจน้องสามีสุ่ยอี้โหรวจำต้องกัดฟันควักเงินถึงแปดสิบตำลึงเพื่อซื้ออาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักของสกุลเจียง ส่วนทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านั้นขอแค่เพียงนางยกยอมากขึ้นสักหน่อย ยอมทำท่าทางนอบน้อมให้มากๆ และยังคงรักษาท่วงท่าของคุณหนูสกุลใหญ่อยู่ก็ย่อมจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นแล้วหญิงชราผู้นี้เอาใจไม่ยาก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบยกย่องผู้ที่สูงศักดิ์กว่าและชอบเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า ในฐานะที่สุ่ยอี้โหรวเป็นถึงคุณหนูรองสกุลสุ่ยซึ่งเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา แต่กลับยินยอมลดฐานะมาเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหว ย่อมถือว่าเป็นการให้หน้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนนิ่งอันโหวเป็นอย่างมาก ดังนั้นยามที่นางเอ่ยปากถึงสิ่งใดก็ย่อมจะได้รับการเห็นดีด้วยจากฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะทุกครั้ง ยิ่งถ้านำโม่ชิงเยว่มาเปรียบเทียบกับนาง ฐานะคุณหนูสกุลสุ่ยของสุ่ยอี้โหรวย่อมจะต้องดูดีกว่าฐานะของโม่ชิงเยว่ที่เป็นแค่เพียงบุตรสาวกำพร้าของอดีตแม่ทัพที่ตายไปนานแล้วอย่างแน่นอน“ข้าให้พวกเจ้าคอยคุ้มกันจวนให้ดี อย่าให้สาวใช้นางนั้นเล็ดลอดออกจากจวนไปได้ แล้วทำไมนา
อากาศในเมืองหลวงเริ่มอบอุ่นแล้วแต่อากาศทางชายแดนกลับยังคงหนาวเหน็บ การบุกโจมตีครั้งสุดท้ายได้เริ่มขึ้น ซ่งเหวินจิ้งควบม้าควงดาบนำทัพเข้าฟาดฟันศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรง ช่วงสองปีมานี้การศึกยืดเยื้อสิ้นเปลืองทั้งเสบียงและกำลังพลเป็นอย่างมาก หากสงครามยังยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ล้วนไม่ส่งผลดีต่อขวัญและกำลังใจของคนในกองทัพ คืนนี้เขาจึงวางแผนการใหญ่ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อหวังให้ทัพของข้าศึกมาติดกับยามนี้ทัพของข้าศึกน่าจะติดกับดักที่เขาวางเอาไว้แล้ว ทหารของข้าศึกที่มาโอบล้อมเขาและคนของเขาไว้ต่างก็มีสีหน้าฮึกเหิมและลำพอง ยามที่หม่าป๋อซางแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเป่ยขี่ม้าเดินหน้าเข้ามาหาเขาสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ“ผู้ใดฆ่าแม่ทัพใหญ่แคว้นเหลียนได้ ข้าจะตกรางวัลให้เป็นอย่างงาม” คำพูดของหม่าป๋อซางทำให้คนของเขาต่างพากันโห่ร้องออกมาอย่างคึกคะนองทุกสายตาต่างจ้องมองมาที่ซ่งเหวินจิ้ง เขาแค่เพียงยิ้มออกมายามนี้หม่าป๋อซางยินยอมออกมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วย่อมหมายความว่าการศึกในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว“ปัง!” เสียงพลุไฟส่งสัญญาณในมือของซ่งเหวินจิ้งถูกส่งออกไปส่วนตัวเขานั้นดีดตัวออกจากหลังม้าทะยานร่างไ
เมื่อกำลังใจดีมียาให้ดื่ม อาการล้มป่วยของโม่ชิงเยว่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะพูดว่าการขายผ้าปักคือการขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียง แต่โม่ชิงเยว่กลับพิถีพิถันและลงมือปักผ้าอย่างประณีตบรรจง ลวดลายที่นางออกแบบล้วนเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองหลวง นางนำมาดัดแปลงโดยใช้ลายเส้นในรูปแบบเฉพาะของสกุลเจียง แน่นอนว่าสาวใช้ผู้มากไหวพริบของนางก็คือคนที่ออกไปสำรวจความนิยมของผู้คนในเมืองหลวงมาให้ เนื้อผ้าและเส้นไหมที่ใช้ปักนางล้วนเลือกใช้ของชั้นดีสีสันและลายปักจึงดูล้ำค่าเหมาะสมกับราคาที่สกุลเจียงจ่ายมาให้พอมีเงินแล้วชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีอาหารให้กินจนอิ่มท้องมีที่นอนที่มีความอบอุ่นเพียงพอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ พออากาศอบอุ่นมากขึ้นชุ่ยเหมยก็มักจะพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งชักชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำแปลงปลูกผักแปลงเล็กๆ ไว้กิน ทั้งฝึกสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ทำให้โม่ชิงเยว่มีสมาธิในการออกแบบลวดลายและลงมือปักผ้าได้อย่างเต็มที่ส่วนทางเรือนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้ส่งสิ่งของมาให้แต่ก็มักจะส่งคนมาคอยสอดแนมเป็นระยะ แต่โม่ชิงเยว่ไม่ค
ยามที่โม่ชิงเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันใหม่แล้ว เพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาไอกลางดึกอีกทำให้นางหลับรวดเดียวมาจนถึงเช้า กลิ่นหอมของอาหารทำให้นางยิ้มออกมา เสียงเด็กสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ด้านนอกพร้อมด้วยเสียงของชุ่ยเหมยที่คอยห้ามปรามพวกเขาไม่ให้ซุกซน ทำให้บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยความสดใส โม่ชิงเยว่จึงค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของตนไปหาพวกเขา“ฮูหยิน! ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยทักทายด้วยความยินดี การที่เจ้านายของนางลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยตนเองได้ทำให้นางโล่งใจ แม้ว่าอากาศภายนอกเรือนจะยังคงหนาวเย็นอยู่ แต่เพราะได้กระถางไฟคอยให้ความอบอุ่นทำให้สีหน้าของทุกคนสดชื่นแจ่มใส ชุ่ยเหมยรีบกุลีกุจอไปช่วยพยุงเจ้านายของตนมานั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วตักโจ๊กข้าวขาวเนื้อข้นให้เจ้านายของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม“บ่าวต้มโจ๊กเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ทั้งคุณหนูและคุณชายก็ต่างพากันชื่นชมว่าฝีมือของบ่าวดีขึ้นมาก” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ต่างพยักหน้าพร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อย!”โม่ชิงเยว่ใช้ช้อนคนโจ๊กเนื้อเนียนหอมกรุ่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาที่เย็นมากแล้ว สิ่งที่นางนำกลับมานอกจากยารักษาโรคแล้วยังมีอาหารทั้งที่ปรุงสำเร็จมาแล้วและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมาก เด็กทั้งสองตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้กินอาหารร้อนๆ อันหอมกรุ่น ส่วนโม่ชิงเยว่นั้นนางหมดความอยากอาหารไปนานแล้ว แต่นางก็พยายามกินเพื่อให้ร่างกายมีกำลังเพียงพอที่จะต้านทานอาการป่วยไขช่วงหลายปีมานี้นางมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัด ยิ่งหลังจากที่คลอดเด็กแฝดทั้งสองนางก็ยิ่งอ่อนแอลง เงินทองที่เคยมีได้ถูกใช้จ่ายออกไปจนเกือบหมด เริ่มแรกล้วนหมดไปกับการพยายามส่งจดหมายไปหาสามี แต่เมื่อนานวันเข้านางก็คิดได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปล้วนสิ้นเปลืองมิสู้รอให้เขากลับมาน่าจะดีกว่าตอนที่นางคลอดลูกแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรังเกียจนางมากเพียงใด แต่ก็ยังคาดหวังว่าลูกที่นางอาจจะคลอดออกมาจะเป็นเด็กผู้ชาย พอว่าเห็นว่าเด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนของฮูหยินผู้เฒ่าก็พากันกลับไปอย่างโล่งใจและกลับไปประกาศอย่างเปิดเผยว่านางคลอดลูกชู้ออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง โดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่านางจะคลอดเด็กผู้ชายตามหลังมาอีกคนในภายหลัง แต่ในเมื่อประกาศไปแล้วว่าลูกของนางคือลูกชู้ ดังนั้นแม่สามี
เสียงร้องไห้ของเด็กสองคนปลุกให้โม่ชิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง นางค่อยๆ พยุงตนเองให้เดินไปที่ประตูห้องแล้วเดินตรงไปยังห้องที่เด็กๆ นอนอยู่ เพราะร่างกายนี้ล้มป่วยมานาน ยามนี้ยังมีไข้รุมเร้าดังนั้นความเร็วในการก้าวเดินของนางจึงช้ายิ่งกว่าเต่า แต่เพราะความเป็นห่วงลูก ทำให้นางค่อยๆ เกาะผนังห้องแล้วเดินไปหาลูกๆ ของนางได้ในที่สุด“เด็กดี ไม่ต้องร้องนะ อีกสักครู่ พี่ชุ่ยเหมยของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว” เสียงของนางช่วยปลุกปลอบความหวาดหวั่นของพวกเขาได้ พวกเขาต่างลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องมองนางด้วยดวงตาอันกลมโตแล้วทำท่าว่าจะโผเข้ามาหานาง“แม่ยังมีอาการไข้อยู่ พวกเจ้าอย่าได้เข้ามาใกล้มากไป ประเดี๋ยวจะติดไข้แม่เอาได้”“ท่านแม่!” เสียงเล็กๆ ของเด็กทั้งสองทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา ลูกสาวและลูกชายของเธอเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรได้ง่ายแม้ว่าจะมีอายุแค่เพียง 2 ขวบแต่กลับพูดจาเป็นประโยคยาวๆ ได้แล้ว แม้ว่าจะมีบางคำที่ยังพูดไม่ชัดอยู่บ้างแต่ก็สามารถเข้าใจได้“แม่อยู่ตรงนี้พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้พวกเขาก็พยักหน้าแล้วจ้องมองแม่ของเขาด้วยความเป็นห่วง“ท่านแม่ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วหรือ” เสียงเล็ก