สิงหาพาคนมาใหม่เดินอ้อมไปอีกด้านของเกาะที่ไม่มีใครใช้เดินทางหรืออยู่อาศัย เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้พบเจอกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มากนัก มีเพียงไม่แค่กี่คนเท่านั้นที่สิงหาอนุญาตให้เธอได้เจอ
“นายสิงห์!” เดินมาถึงด้านตะวันตกของเกาะ สิงหาก็ได้ยินเสียงเรียกที่แสดงถึงความดีใจและโล่งใจปะปนกันไป ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฎตัวจากความมืดให้ทั้งสองคนได้เห็น “มาเสียที ป้ากังวลไปสารพัด” “กังวลทำไมป้าผ่อง ทำเหมือนว่าฉันไม่เคยข้ามฝั่งไปได้” “ก็ทะเลมันน่ากลัวนี่ เดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางวันดีแต่บางวันก็ร้ายนายสิงห์ก็รู้” คนอายุมากกว่าส่งค้อนใส่นายสิงห์ ก่อนจะหันไปมองผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนเยื้องออกไปด้วยสายตาใคร่รู้ “คนนี้หรือที่นายสิงห์บอก?” “บ้านที่ให้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” สิงหาตั้งคำถามแทนคำตอบ แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างป้าผ่องกลับเข้าใจได้ทันที ถามมาแบบนี้ แปลว่าคนนี้นี่แหละ ผู้หญิงที่นายสิงห์ว่า “เรียบร้อยแล้วจ้ะ ให้ป้าพาคุณเขาไปเลยไหม?” “ไม่ต้องหรอก” สิงหาปฎิเสธเสียงเรียบ เขาปรายตามองคนที่ยืนปิดปากเงียบแล้วหันไปตอบป้าผ่องอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง ป้าไปพักผ่อนเถอะ ลุงมิ่งคงกลับพรุ่งนี้” “เอางั้นก็ได้ งั้นป้าไปนอนก่อน” พูดจบ หญิงวัยห้าสิบกว่าๆ ก็หายลับเข้าไปในความมืดอีกครั้ง บรรยากาศรอบข้างกลับมาเงียบสงบเพราะไม่มีใครพูดคุยกัน มีเพียงเสียงลมทะเลที่ดังเป็นระยะๆ เท่านั้น “อย่าตีสนิทกับคนที่นี่” สิงหาเอ่ยเตือน “เธอมาในฐานะนักโทษ ไม่มีสิทธิ์สนิทสนมกับใครทั้งนั้น” พูดจบ ขายาวๆ ก็ก้าวเดินต่อทันที ณัฐรินีย์มองตามพลางแลบลิ้นใส่ ผู้ชายอะไร๊ ทำตัวขี้เก๊กได้ตลอดเวลา แต่เขาพูดแบบนี้ แปลว่าเขาไม่ได้จะปลิดชีวิตเธอเร็วๆ นี้ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นเขาจับเธอมาทำอะไร? “จะอยู่ตรงนั้นให้เสือมาคาบไปกินหรือไง?” “ที่นี่มีเสือด้วยเหรอ?” ดวงตาคู่สวยมองไปรอบกายทันที เมื่อครู่ที่ป้าคนนั้นมาทักก็ไม่เห็นมีท่าทีว่าแกจะกลัวพวกสัตว์ร้ายอะไรเลย เธอคิดว่าจะไม่มีเสียอีก “จะเดินตามมาได้หรือยัง?” “จิ๊!” ณัฐรินีย์เลียนแบบอีกคน จิ๊ปากใส่ผู้ชายหนวดยาวเวลาที่ไม่พอใจ แล้วก็พบว่าการทำแบบนี้มันก็สนุกดีเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่ดวงตาคู่คมถลึงมองมาเหมือนจะกินหัวกันแบบนี้ “นับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่ขยับฉันทิ้งเธอไว้ตรงนี้แน่” “รู้แล้วล่ะน่า!” ผู้ชายเผด็จการ!.
.
ใช้เวลาเดินเท้าเลียบไปบนหาดทรายอีกเกือบครึ่งชั่วโมง คนที่เดินนำอยู่ตรงหน้าก็หยุดฝีเท้าลง ณัฐรินีย์หยุดเท้าตาม พลางมองไปทั่วบริเวณเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน “นั่นบ้านของเธอ” หญิงสาวมองตามสายตาของนายสิงหาไปที่ บ้าน ที่เขาบอก บ้านหลังนั้นมีลักษณะคล้ายกระท่อมที่แข็งแรงระดับหนึ่ง ตัวบ้านตั้งอยู่บนหาดทราย ยกพื้นสูงเผื่อเวลาน้ำขึ้นน้ำลงราวเมตรครึ่ง “ให้ฉันนอนที่นี่เหรอ?” “ทำไม? นอนไม่ได้? แน่สิ ก็เธอ-“ “ได้! ทำไมจะนอนไม่ได้” ณัฐรินีย์รีบร้องขัด เพราะกลัวว่าสิงหาจะเปลี่ยนใจเสียก่อน เธอนอนได้แล้วก็อยากนอนที่นี่มากๆ ด้วย “น่าอยู่จัง ฉันเดินขึ้นไปดูได้ไหม?” สิงหาที่ตั้งรับไม่ทันได้แต่พยักหน้าอนุญาตราวกับถูกสะกด เขามองร่างบอบบางที่วิ่งขึ้นไปบนบ้านหลังนั้นอย่างอารมณ์ดี กว่าที่สติจะกลับเข้าร่างได้นักโทษสาวก็สำรวจบ้านหลังน้อยเสร็จเรียบร้อยแล้ว “สุดยอดไปเลย” ณัฐรินีย์ส่งเสียงออกมาเป็นภาษาอังกฤษเพราะดีใจจนลืมตัว เธอมองรอบบ้านที่สว่างเล็กน้อยจากแสงจันทร์ในคืนเดือนหงายด้วยความชอบใจ “อยากอยู่ที่นี่ตลอดไปจัง” ฝ่าเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหยุดชะงัก สิงหาหยุดฟังเสียงของคนที่เดินย่ำอยู่รอบบ้านไม่ยอมโผล่ไปให้อีกฝ่ายเห็น เขาอยากรู้ว่าเธอจะพูดอะไรต่อ แต่จนแล้วจนรอดณัฐรินีย์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก “ที่นี่ไม่มีไฟเหรอลุง? หมายถึงหลอดไฟน่ะ” หญิงสาวที่สำรวจบ้านจนเพลินเดินกลับมาหาสิงหา เสียงเจี้ยวจ๊าวของเธอทำให้ร่างสูงได้สติ ขายาวก้าวขึ้นไปบนตัวบ้านที่มีใครอีกคนยืนอยู่ เขาปรับสีหน้าให้เรียบเฉยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ไม่มี” ชายหนุ่มมองข้ามสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกไป แม้จะแอบไม่พอใจอยู่ลึกๆ เพราะเขาไม่ได้แก่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ไม่คิดจะแก้ไขเพราะมันไม่มีประโยชน์ เรียกอะไรก็เรียก เขาจำได้ว่าเคยบอกเธอไปแบบนั้น “แล้วอยู่ยังไงล่ะ?” “จุดไฟเอา” “อ๋อออออ” หญิงสาวลากเสียงยาว ดวงตาซุกซนฉายแววตื่นเต้นเหมือนเจอของเล่นที่น่าสนใจกวาดมองไปทั่ว “แล้วไฟอยู่ไหนล่ะ?” “เธอคงเป็นคนที่ถูกจับตัวมาที่อารมณ์ดีที่สุดในโลก” สิงหาประชด ท่าทางของณัฐรินีย์ไม่ได้ตื่นกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว กลับกัน... เธอกลับดูมีความสุขทั้งๆ ที่เขาแกล้งให้เธอมาลำบากอยู่ตรงนี้แท้ๆ เกาะนี้ไม่ใช่เกาะที่ใช้ชีวิตได้ลำบากขนาดนั้น หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ฝั่งทิศตะวันออกมีไฟฟ้าปกติ มีเครื่องปรับอากาศ รวมถึงมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ใช้ด้วยซ้ำ สัญญาณมือถือก็มี อินเตอร์เน็ตก็ใช้ได้ เกาะนี้เป็นเกาะปิดที่สมบูรณ์และเพรียบพร้อมมากที่สุดในระแวกนี้ เพราะแบบนี้สิงหาถึงได้พานักโทษมาที่นี่แทนที่จะเป็นส่วนของหมู่บ้าน เขาไม่ต้องการให้ณัฐรินีย์อยู่อย่างมีความสุข แต่ก็เหมือนว่าเขาจะประเมินผู้หญิงคนนี้ผิดไปมาก “หนูอารมณ์ดีกับทุกเรื่องแหละ” หนู? สิงหาขมวดคิ้วแน่น ตอนที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าลุงน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอแทนตัวเองว่าหนูแบบนี้แล้วมัน.... แปลกๆ “โลกใบนี้มันโหดร้ายจะตายไป ถ้ามัวแต่คิดถึงเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ แบบนั้นคงใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มเท่าไหร่” “เพราะแบบนี้...” เธอถึงได้ลืมเรื่องที่ตัวเองทำไว้เสียสนิทสินะ ทั้งๆ ที่คนถูกกระทำแบบเขาต้องจมอยู่กับฝันร้ายมาตลอดแท้ๆ สิงหามองผู้หญิงที่กำลังเหม่อมองทะเลด้วยความโกรธแค้นที่เพิ่มมากขึ้น ผู้หญิงคนนี้ทำลายชีวิตเขา แต่กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไกลถึงอเมริกา มีลูกชายเจ้าของบริษัทผลิตเครื่องมือทางการแพทย์เทียวไล้เทียวขื่ออยู่ไม่ห่าง ส่วนเขากลับถูกคนรักทิ้งไปเพราะครอบครัวของเธอกลัวว่าเขาจะกลับมาเดินไม่ได้อีก และจะทำให้ลูกสาวของพวกเขาต้องลำบากถ้าหากยังดึงดันจะคบกันต่อ โลกใบนี้มันโหดร้าย แต่สิงหากลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้โหดร้ายกว่าหลายเท่านัก หัวใจของเธอดำมืดจนมองไม่เห็นสีอื่นใดอีก ฝ่ามือใหญ่กำแน่นจนเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นสิงหาก็ไม่ร้องออกมาสักแอะ ดวงตาคมเฝ้ามองแผ่นหลังเล็กบางอย่างอดทนอดกลั้น เขาจะไม่ทำร้ายเธอด้วยมือของตัวเอง แต่เธอจะทรมานจากการต้องอยู่ห่างจากครอบครัวและคนรัก... ทรมานมากกว่าที่เขาเคยเจอ “เอ๊ะ!” ณัฐรินีย์นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ร่างบางหมุนตัวกลับมาหาคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ลุงจะนอนที่นี่ หรือว่าจะนอนที่ไหน หนูเห็นมันมีห้องเดียวนะ” “ฉันไม่นอนที่นี่” “อ๋อ... ค่อยยังชั่ว หนูไม่ถนัดนอนกับผู้ชายแปลกหน้าเท่าไหร่” “งั้นเหรอ?” สิงหายกยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนใจ “งั้นฉันจะนอนที่นี่” “ได้ยังไง? ฟูกมีอันเดียวเอง” "ได้สิ ฉันนอนฟูก ส่วนเธอก็นอนพื้น” “ล้อเล่นแน่ๆ” ณัฐรินีย์พยายามจ้องไปในดวงตาคู่นั้นเพื่อหาว่าเขากำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า แต่เธอกลับไม่พบเจอสิ่งที่กำลังค้นหาเลย “อะ...เอาจริงเหรอ?” สิงหาตอบคำถามด้วยการเดินเข้าไปในห้องนอนแทน เขาทิ้งตัวนอนบนฟูกขนาดเล็กและปิดตาลงทันที ไม่ได้สนว่าอีกฝ่ายจะเดินตามมาหรือไม่ เขาขอหลับเอาแรงซักหน่อย พรุ่งนี้ยังมีอะไรให้ต้องทำอีกตั้งเยอะ.
.
สิงหาไม่ได้คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะกล้าเข้ามานอนในห้องที่มีเขานอนอยู่ อย่างน้อยๆ ผู้หญิงทั่วไปก็มักจะมีสัญชาติญาณระวังตัวเองจากเพศตรงข้ามอยู่บ้าง แต่เขาก็ควรจะจำให้ขึ้นใจเสียทีว่าผู้หญิงอย่างณัฐรินีย์ไม่ได้คาดเดาได้ง่ายขนาดนั้น ชายหนุ่มหนวดยาวตื่นขึ้นมาตามเวลาปกติที่ตื่นทุกวัน เสียงน้ำกระทบฝั่งดังเป็นจังหวะทุกครั้งที่คลื่นลมพัดมา สิงหารู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายชาไปทั้งแถบเหมือนถูกกดทับเป็นเวลานาน และได้กลิ่นหอมสดชื่นของอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้ปลายจมูกจนเผลอสูดดมเข้าไปจนเต็มปอด “อืม...” อะไรบางอย่างนั้นขยับเข้าซุกกับอกของเขา ในตอนนั้นเองที่สิงหาเริ่มมีสติ ดวงตาคมเปิดออกกว้าง ก่อนจะมองหาสิ่งที่นุ่มนิ่มและอบอุ่นคล้ายร่างกายของมนุษย์เพื่อพาคำตอบให้ตัวเอง “เฮ้ย!” ตุ๊บ! “โอ้ย!” สิงหาขยับไปชิดฝาบ้านหลังจากดันร่างที่ถือวิสาสะขึ้นมานอนทับแขนเขาจนชาตกฟูกไป แม้ความสูงของฟูกจากพื้นจะไม่ได้มาก แต่เพราะอีกฝ่ายยังหลับอยู่ หน้าผากของเธอจึงกระแทกเข้ากับพื้นไม้ไผ่เต็มแรง “ลุง นี่มันไม่ใช่การปลุกที่ดีเลยนะ” ณัฐรินีย์ลุกขึ้นนั่งน้ำตาคลอ เธอยกมือทั้งสองข้างปิดหน้าผากของตัวเองไว้ เธอเจ็บมาก ผู้ชายอะไรแรงเยอะเหมือนช้างแมมมอธ “ใครใช้ให้ขึ้นมานอนบนนี้!” “ไม่มี” มือเล็กลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ “แต่มันหนาว พื้นก็แข็ง นอนได้ชั่วโมงเดียวก็ไม่ไหวแล้ว พอหนูขึ้นไปนอน ลุงก็ขยับแบ่งที่ให้ หนูก็คิดว่าลุงไม่ว่าสิ” สิงหานึกไม่ออกว่าตัวเองไปทำแบบนั้นตอนไหน เขาขยี้ผมรุงรังจนจนฟูฟ่องกว่าเดิม ก่อนจะรีบลุกออกจากบ้านไปไม่หันกลับมามองคนที่นั่งอยู่บนพื้นอีกเลย “แค่นี้ก็จะไม่โดนแย่งที่นอนอีกแล้วหนูนิด” ร่างอรชรทิ้งตัวลงนอนบนฟูกหนานุ่มที่ได้เวลาจับจองเป็นเจ้าของเสียที เธอเกลือกกลิ้งร่างกายกับที่นอนอย่างมีความสุข “ผู้ชายอะไรกลัวผู้หญิงยิ่งกว่าพระ แต่อยากแกล้งหนูนิดก่อนเอง... ช่วยไม่ได้” คนที่ถูกกล่าวหาว่ากลัวผู้หญิงหยุดฝีเท้าลงเมื่อออกห่างจากบ้านหลังนั้นพอสมควร ถ้าใครมาเห็นหน้านายสิงหาตอนนี้คงคิดว่าเขาเพิ่งเห็นผีมา สิงหาหันกลับไปมองบ้านที่ตั้งโดดเดียวอยู่บนหาดที่ตอนนี้น้ำทะเลขึ้นสูงประมาณเข่าอย่างไม่สบอารมณ์ แผนที่เขาวางไว้พังไม่เป็นท่า เขาไม่คิดว่าผู้หญิงที่หน้าตาสะสวยแบบนั้นจะบ้าบิ่นได้ถึงขนาดนี้ สิงหาไม่ได้กลัวผู้หญิง เพียงแต่เขาไม่อยากเข้าใกล้เธอเกินความจำเป็น เขาไม่ได้จับเธอมาปล้ำเหมือนในละคร เขาแค่ต้องการทำให้ครอบครัวเธอร้อนใจและอยู่ไม่สุขก็เท่านั้น แค่วันแรกสิงหาก็พ่ายแพ้ให้นักโทษของตัวเองอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว ร่างสูงใหญ่ก้าวไปอีกทางเพื่อกลับที่พัก วันนี้เขาขอกลับไปตั้งหลักก่อน แต่หลังจากนี้เขาจะไม่พลาดอีกเด็ดขาดกลับมาที่เกาะได้ไม่ถึงเดือน สองสามีภรรยาก็ต้องขึ้นฝั่งอีกครั้ง ทั้งคู่บินตรงไปกรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลโดยไม่หยุดพัก เมื่อเช้าสิงหาได้รับสายจากนิโคลัส แต่นิโคลัสไม่ได้เป็นคนคุย เขายื่นโทรศัพท์ให้คุณหญิงสุดา เธอรับไว้แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวและลูกเขยรู้ “พ่อเขาหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเลยกู้ชีพกลับมาได้ แต่หมอบอกว่าพ่อเขาต้องทำบายพาสหัวใจ เพราะตรวจเจอเส้นเลือดตีบสามเส้น” ณัฐรินีย์ใจหายวาบ เร่งเร้าให้สิงหาหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด ก่อนจะพากันกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลช่วงบ่ายแก่ เปิดประตูห้องพิเศษเข้าไปก็เจอกับคุณหญิงสุดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง ถัดไปเป็นนิโคลัส และใกล้กันกับนิโคลัสคือณัฐริกา “พี่นิ่ม” “หนูนิด” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง ณัฐริการ้องไห้ออกมาเพราะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวมาหลายปี เธอคิดถึงหนูนิด แต่ยิ่งคิดถึงเธอก็ยิ่งละอายใจ เพราะถ้าหนูนิดไม่ช่วยเธอไว้วันนั้น น้องสาวเธอคงไม่ถูกส่งไปไกลจากบ้านแบบนี้ “คิดถึง” “นิดก็คิดถึงพี่นิ่ม” แฝดน้องผละออก มองสำรวจพี่สาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นด้วยสายตารักใคร่ “ดูผุดผ่องขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา”
“พี่สิงห์” ร่างบอบบางถลาเข้าหาอ้อมกอดของสามี พออ้อมแขนอบอุ่นโอบรัด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นทาง ณัฐรินีย์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธอเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอร้องไห้หลายครั้งแต่ไม่มีใครเห็น เธอเจ็บปวดเป็นพันครั้งแต่ไม่มีใครมาสนใจ ความเจ็บปวดซ้ำๆ ทำให้เธอต้องสร้างกำแพงขึ้นมา ทำเหมือนว่าตัวเองคือคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าใคร เจ็บแค่ไหน เสียใจแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป ถ้ามีอ้อมกอดที่พร้อมกอดก็อย่าลังเลที่จะรับมัน ถ้ามีอกกว้างให้ซับน้ำตาก็อย่าลังเลที่จะร้องไห้ออกมา บางทีการร้องไห้อาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย “ไม่เป็นไรนะ” คำพูดสั้นๆ พร้อมกับมือที่ลูบเส้นผมเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์ปล่อยโฮ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอร้องไห้ขนาดนี้ ร้องเหมือนว่าโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย ร้องเหมือนว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ให้ร้องอีก เธอร้องจนปวดหัว ร้องจนหูอื้อ ร้องจนเสื้อที่สิงหาใส่เปียกชื้น แต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนแกร่งก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างกาย คุณหญิงสุดามองภาพนั้นทั้งน้ำตา นานแค่ไหนแล้
เพี๊ยะ!! ใบหน้างดงามหันตามแรงฟาดของฝ่ามือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งค้าง สิงหาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพความรุนแรงแบบนี้ ส่วนคนเป็นแม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายอีกครั้ง “ลูกไม่รักดี!!!” “คุณคะ!” “เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกมันไม่รักดี ไม่เคยทำให้ฉันกับแม่แกภูมิใจเลย! ต้องให้ฉันตบตีแกอีกกี่ครั้งแกถึงจะคิดได้ห้ะ!” สิงหากำมือแน่น เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ต้องมาเห็นเมียถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกแบบนี้... ถึงเขาจะเลวแต่เขาไม่เคยคิดลงมือทำร้ายผู้หญิงเลยซักครั้ง แม้แต่ณัฐรินีย์เองเขาก็ไม่เคยตบตี ต่อให้ตอนที่ยังไม่ได้รักเขาก็ไม่คิดจะทำ แล้วทำไมพ่อแท้ๆ ถึงทำกับลูกได้ขนาดนี้ “คุณพ่อครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น สิงหาหันกลับไปมอง ดวงตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ให้พ่อใจเย็นได้ยังไงนิค ลูกนิ่มก็หายตัวไป ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์” ท้ายประโยคคุณหมอกระแทกกระทั้นใส่ลูกสาวที่ตนเองเพิ่งลงมือทำร้ายร่างกายไป ณัฐรินีย์ไม่ต่างจากถูกทำร้ายร่างกายและเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำๆ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ
“นิโคลัสมันแต่งงานกับพี่สาวฝาแฝดของเมียแก” “พี่สาวฝาแฝด!?” สิงหาตกใจจนคำพูดของเพื่อนเกือบไม่เข้าหู พี่สาวฝาแฝด เขาเพิ่งรู้ว่าเมียตัวเองมีพี่สาวฝาแฝด “อืม หน้าเหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน ฉันเกือบสับสนไปแล้ว” “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ตอนที่สิงหาสืบข้อมูลของณัฐรินีย์เพื่อแก้แค้นเขาไม่ได้สนใจครอบครัวของเธอเลย เขาสนแค่ถ้าจับเธอมาได้ครอบครัวเธอจะต้องเสียใจจนกระอักเลือดเพราะยังไงณัฐรินีย์ก็คือลูก และเพราะความไม่รอบคอบของเขานี่เอง เขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าการจับตัวณัฐรินีย์มามันทำอะไรครอบครัวนั้นไม่ได้เลย และที่สำคัญ...หนูนิดของเขามีพี่สาวฝาแฝด บางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเหมือนถูกปลดล็อก สิงหาถึงบางอ้อทันทีเมื่อรู้ว่าณัฐรินีย์มีพี่สาวฝาแฝด ถ้าหากคืนนั้นเธอไม่ได้ขับรถชนเขา คนที่ชนก็น่าจะเป็นพี่สาวเธอ เพราะวันนั้นเขาเห็นหน้าคนขับ และเขาจำได้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับณัฐรินีย์ราวกับแกะ “แล้วยังไงต่อ” “เมียแกกลับไปอยู่บ้าน ฉันไม่รู้มากกว่านี้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ราฟาเอลสะอึกเมื่อเห็นแววตาวาววับของเพื่อนสนิท เขากระแอมไอ รีบแก้คำพูดก่อนจะโดนดีดออกจากห้องโทษฐานบอกว่าเมียของมันไม่สำคัญ “ที่จริงแล้วเรื่อ
สิงหาฝัน... เขาฝันว่าตัวเองทะเลาะกับณัฐรินีย์ด้วยเรื่องที่เธอโกหกเขา เธอไม่ได้เป็นคนขับรถชนเขาเพราะเธอขับรถไม่เป็น แม้แต่พวงมาลัยเธอยังไม่เคยจับมันมาก่อน ลึกๆ แล้วสิงหาดีใจที่รู้แบบนั้น แต่เขาก็เสียใจอยู่ดีที่เธอเลือกที่จะปกปิดและโกหกมาตลอด เพราะถ้าหาก... ถ้าหากว่าเขาเลวกว่านี้อีกซักนิด แล้วเผลอทำอะไรรุนแรงกับคนบริสุทธิ์ลงไป เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นในความฝันก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ยินคำบอกรักจากเธอเป็นครั้งแรก ที่จริงจะเรียกว่าครั้งแรกก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเคยได้ยินคำนั้นในวันแต่งงานของเรา เพียงแต่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าเธอพูดมันจากความรู้สึกจริงๆ บรรยากาศในวันนั้นมันเป็นใจเกินไป ณัฐรินีย์อาจจะพูดเพียงเพราะสถานการณ์พาไป ทว่าครั้งนี้สิงหาเชื่อสนิทใจ แม้จะเป็นแค่เพียงคำพูดในความฝัน แต่สิงหากลับรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้ยินมัน และมันก็ทำให้หัวใจที่ปิดตายมานานสั่นคลอน ความรู้สึกภายในมันร่ำร้องบอกออกมาว่าตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารักหนูนิด น่าเสียดายที่ในฝันนั้นสิงหาไม่ได้บอกกลับไป เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จ
บรรยากาศภายในรถเงียบงันเมื่อสิงหาไม่ได้พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะเปิดเพลงคลอเหมือนขามาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มใช้มือเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลัย ไม่ถึงสองนาทีรถราคาไม่แพงนักก็เลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ “ที่จริงเราน่าจะพักที่โรงพยาบาล” ณัฐรินีย์ออกความเห็น แต่ก็เข้าใจว่าสิงหาไม่ได้เจ็บป่วยหนักอะไร ถ้าต้องพักที่โรงพยาบาลมันก็เหมือนกระต่ายตื่นตูมไปหน่อย สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขาลงจากรถ หยิบของจากเบาะหลัง ก่อนจะส่งกุญแจให้พนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมกับทิปจำนวนหนึ่ง ณัฐรินีย์ก้าวลงจากรถอย่างงุนงง เธอเดินตามหลังสิงหาเข้าไปในโรงแรมก็พบว่าเขาเช็กอินเรียบร้อยแล้ว “ห้องอยู่ชั้นสาม ห้อง 303 นะคะ ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาได้เลยค่ะ” สิงหารับคีย์การ์ดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตอบอะไร เมื่อได้ของที่ต้องการก็เดินจ้ำอ้าวไม่แม้แต่รอเมียที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา “พี่สิงห์!” ณัฐรินีย์หอบแฮ่ก “ปวดแขนมากเหรอถึงได้รีบเดินขนาดนี้” “...” “พี่สิงห์ ทำไมไม่พูดกับนิด” “...” “พี่สิ-“ ติ๊ง “ไว้ไปคุยกันในห้อง” ณัฐรินีย์ชาไปทั้งตัวเมื่อน้ำเสียงของสิงหาไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย หรือถ้าพูดให้ถูกคือน้ำเสียงข