Share

บทที่ 2

Penulis: กากบาทเย่
การตกน้ำย่อมเป็นเรื่องลวง ทว่าการสั่งสอนอนุชิวต่างหากที่เป็นเรื่องจริง

ยามที่เซวียฉงและคนอื่น ๆ รีบรุดมาถึง ก็ได้เห็นเซวียหว่านอี้ที่ใบหน้าซีดเผือดนอนหลับตาแน่น

โทสะพลันปะทุขึ้นกลางอก

“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”

สายตาอันเย็นยะเยือกกวาดมองบ่าวไพร่สองสามคนที่อยู่ในห้อง

แม้ตำแหน่งรองเสนาบดีจะเป็นเพียงขุนนางขั้นสาม ทว่าในจวนสกุลเซวียแห่งนี้ เซวียฉงคือแผ่นฟ้าที่ปกคลุมอยู่เหนือศีรษะ

นอกจากฮูหยินเจียงแล้ว คนรอบข้างต่างพากันหวาดกลัวจนตัวสั่น รีบคุกเข่าลงกับพื้น

เฝ่ยชุ่ยดวงตาแดงช้ำ ร้องไห้ไปพลางกล่าวไปพลาง “นายท่าน คุณหนู คุณหนูเจ้าขา…”

นางสะอึกสะอื้น คล้ายมีความกริ่งเกรงบางอย่าง อึกอักมิกล้าเอ่ยถึงต้นเหตุ

อนุชิวที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทีเช่นนั้น ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว

นางคาดไม่ถึงว่าเซวียหว่านอี้จะกล้าไปหาที่ตายจริง ๆ จึงรีบใช้หางตาถลึงมองเฝ่ยชุ่ยอย่างดุร้าย

หากนางกล้าพูดจาเหลวไหล ย่อมไม่มีจุดจบที่ดีแน่

ทว่ายามนี้ไม่เหมือนกาลก่อน

เซวียหว่านอี้จะต้องแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงตามราชโองการ หากเวลานี้คิดสั้นฆ่าตัวตาย ถ้าเรื่องแพร่งพรายออกไป ย่อมต้องถูกฝ่าบาทลงโทษในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ขัดราชโองการเป็นแน่

“มัวอึกอักอันใดอยู่ พูดมา”

เขาตวาดเสียงขรึม

เฝ่ยชุ่ยตกใจจนตัวสั่นเทา ร่างหมอบราบ หน้าผากจรดพื้น

“ตอนที่คุณหนูกลับมาถึงห้อง อนุชิวมารออยู่ที่นี่เจ้าค่ะ พอทราบว่าคุณหนูจะต้องแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง นางก็เคียดแค้นที่คุณหนูแย่งงานแต่งของคุณหนูใหญ่ไป จึงบอกให้คุณหนูไปตายเจ้าค่ะ...”

อนุชิวได้ยินดังนั้น จะยังมัวหวาดกลัวอยู่อีกหรือ

นางเงยหน้าขึ้น สายตาราวกับอาบยาพิษจ้องเขม็งไปที่เฝ่ยชุ่ย

“นังบ่าวชั่ว ไฉนจึงพูดจาโกหกนายท่านเยี่ยงนี้” จากนั้นนางก็หันไปมองเซวียฉงอย่างตื่นตระหนก “นายท่าน ที่นางพูดมิใช่เรื่องจริงนะเจ้าคะ คุณหนูรองเป็นลูกในไส้ของบ่าว บ่าวจะพูดจาผิดทำนองคลองธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร...”

“เจ้าหุบปาก” เซวียฉงตวาดลั่น

คำพูดขอความเมตตาและแก้ต่างของอนุชิวจุกอยู่ที่ลำคอ ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง

เซวียฉงก้มหน้าลง มองเฟยชุ่ยด้วยสายตาเย็นชา “พูดต่อ”

เฝ่ยชุ่ยกล่าวเสียงสั่นเครือ “อนุชิวบอกว่า ในจวนมีทั้งสระน้ำและบ่อน้ำ ย่อมมีที่ให้คุณหนูตายได้เจ้าค่ะ บอกว่าใครที่ขวางเส้นทางวาสนาของคุณหนูใหญ่ คนผู้นั้นก็ต้องตาย”

อนุชิวในยามนี้เรียกได้ว่ามีปากก็ไม่อาจแก้ต่าง นางเคยพูดวาจาเช่นนี้ที่ไหนกัน

ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าดำทะมึนของเซวียฉง สมองของนางก็ขาวโพลนไปด้วยความหวาดกลัว

แม้แต่ฮูหยินเจียงก็ยังมองอนุชิวด้วยแววตาเคลือบแคลง

เพื่อบุตรสาวของนาง ถึงกับบีบบังคับให้บุตรสาวของตนไปตาย

เรื่องนี้ คิดอย่างไรก็ดูจะ…

เซวียฉงข่มกลั้นโทสะในใจ สายตาที่ตกกระทบร่างอนุชิวหนักอึ้งราวกับขุนเขาพันชั่ง

“นางได้รับพระราชทานสมรสกับเจิ้นกั๋วกง เจ้ากลับบีบบังคับให้นางไปตาย คิดจะฉุดตระกูลเซวียของข้าให้ตกต่ำจนไม่อาจฟื้นคืนหรืออย่างไร?”

ข้อหานี้หนักหนาจนอนุชิวมึนงงไปหมด

ก่อนจะมาเป็นอนุของเซวียฉง นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายนายหญิงผู้เฒ่า จะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร

“...”

ฮูหยินเจียงมองอนุชิวที่ค่อย ๆ เป็นลมหมดสติไป รู้สึกขัดตายิ่งนัก

“นายท่าน”

นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”

เซวียฉงกำลังมีโทสะ แม้ยามปกติจะเอ็นดูอนุชิวเพราะความงามอยู่บ้าง แต่ยามนี้คงทำไม่ได้แล้ว

อย่างน้อยในระยะสั้นเขาก็ไม่อยากเห็นหน้านาง

“ก่อนที่คุณหนูรองจะออกเรือน ห้ามก้าวออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว”

ฮูหยินเจียงลอบกำหมัด จิกเล็บลงกลางฝ่ามือ

ก่อเรื่องถึงเพียงนี้ บทลงโทษกลับขอไปทีเสียจริง

……

“ท่านพ่อ ท่านแม่...”

เมื่อ “หมดสติ” ไปนานพอสมควรแล้ว เซวียหว่านอี้ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

เมื่อเห็นคนทั้งสองที่ข้างเตียง แววตาก็ฉายความตกใจ

รีบฝืนยันกายลุกขึ้น แต่กลับล้มลงไปบนตั่งอีกครั้ง

“เจ้าเพิ่งจะตกน้ำ กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ มิต้องมากพิธี”

ฮูหยินเจียงแสดงความห่วงใยออกมาได้อย่างเหมาะสม

ไม่ว่าจะอย่างไร เซวียหว่านอี้ในตอนนี้ก็ดูขัดหูขัดตาน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก

การที่อนุชิวถูกกักบริเวณ นับว่าเป็นผลงานของนางโดยแท้

นางหลุบตาลง ซ่อนความผิดหวังในแววตา

เพียงแค่กักบริเวณ ยังนับว่าเบาเกินไปสำหรับผู้หญิงคนนั้น

ทว่า…

เซวียหว่านอี้จำต้องยอมรับว่า ตนเองประเมินความสำคัญของอนุชิวในใจบิดาต่ำไป

ค่อยเป็นค่อยไปเถิด

วันนี้สั่งกักบริเวณได้ วันหน้าย่อมทำให้ฆ่าตัวตายได้

ทางที่ดีควรรีบกำจัดผู้หญิงที่ทำลายชีวิตของนางทิ้งเสียก่อนจะออกเรือน

นางเงยหน้ามองเจียงซื่อด้วยความซาบซึ้ง แววตาเปี่ยมด้วยความเคารพรัก

“ลูกทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ”

นางมีท่าทางอิดโรย ใบหน้าเล็กซีดเผือด ดูอ่อนแอแบบบาง ชวนให้ผู้คนนึกเวทนา

ฮูหยินเจียงนึกดูแคลนในใจ แต่ปากกลับต้องเอ่ยปกป้อง

“เจ้าเด็กคนนี้ก็จริง ๆ เชียว เพียงแค่ถูกมารดาต่อว่าไม่กี่คำ ไฉนจึงกล้ากระโดดน้ำจริง ๆ เกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียแล้ว”

เมื่อได้ยินวาจานี้ ขอบตาของเซวียหว่านอี้ก็แดงเรื่อขึ้นทันที

นางขบเม้มริมฝีปากเบา ๆ คล้ายมีความน้อยเนื้อต่ำใจท่วมท้น ทว่าไม่อาจเอื้อนเอ่ยให้คนนอกรับรู้

“ท่านแม่สั่งสอนได้ถูกต้อง เป็นลูกที่เอาแต่ใจเองเจ้าค่ะ”

เจียงซื่อสามารถกดข่มอนุชิวผู้เป็นที่โปรดปรานมาได้หลายปี ย่อมมิใช่คนโง่เขลา

เห็นดังนั้นจึงก้าวเข้าไปกุมมือเซวียหว่านอี้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ดูเจ้าสิ ในใจมีความน้อยเนื้อต่ำใจอันใดหรือไม่? บอกแม่มาเถิด แม่จะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าเอง”

เซวียหว่านอี้แสร้งหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ซ่อนเร้นความเจ้าเล่ห์ในแววตา

ปล่อยให้น้ำตาใสกระจ่างไหลรินอาบแก้ม

“ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง ลูก... ไม่มีความน้อยใจเจ้าค่ะ”

ตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่จะเปิดเผยไพ่ในมือ

เจียงซื่อผิดหวังในใจ แต่ก็มิได้ซักไซ้ต่อ

เซวียฉงเห็นดังนั้น จึงเตรียมจะจากไป

“ดูแลคุณหนูรองให้ดี หากกล้าเกียจคร้านอีก จะขายทิ้งให้หมด”

เขาห่วงใยบุตรสาวงั้นหรือ?

อาจจะมีบ้างเพียงเล็กน้อย

แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะกังวลว่านางจะคิดสั้นฆ่าตัวตายเสียมากกว่า

ถึงเวลานั้น คนที่จะต้องแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง ก็คงเหลือเพียงบุตรสาวสายตรงของเขา

บรรดาศักดิ์นั้นสำคัญก็จริง แต่ตอนนี้จวนเจิ้นกั๋วกงก็เหลือเพียงแค่บรรดาศักดิ์นี้เท่านั้น

เมื่อเจียงซื่อออกมา เซวียฉงก็แหงนมองเมฆคล้อยบนท้องนภา

กล่าวว่า “หักเบี้ยหวัดอนุชิวครึ่งหนึ่ง”

“เจ้าค่ะ นายท่าน” เจียงซื่อรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง

เมื่อกลับมาถึงเรือนทิงหลาน เซวียหมิงเฟยกำลังลองผ้าโดยมีความช่วยเหลือจากช่างตัดเย็บเสื้อผ้า

นางเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลเซวีย ย่อมต้องออกเรือนก่อนเซวียหว่านอี้ก้าวหนึ่ง

ทางตระกูลฉู่ อีกสองวันก็จะมาวางของหมั้นแล้ว

แม้เจียงซื่อจะยังไม่พอใจนัก แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของแม่ทัพเย่ บุตรชายตระกูลฉู่ผู้นั้นก็เพียงแค่มีชาติกำเนิดด้อยไปสักหน่อย

อย่างที่บุตรสาวนางว่าไว้ มีตระกูลเซวียคอยเกื้อหนุน จะแย่สักเพียงใดเชียว

จะให้นางทนดูบุตรสาวที่ฟูมฟักมาอย่างดี ต้องไปเป็นม่ายทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงได้หรือ?

“ท่านแม่ ทางเรือนว่างซูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

เซวียหมิงเฟยไม่ชอบหน้าน้องสาวต่างมารดาผู้นั้น แต่ก็ไม่เคยคิดร้ายรังแกอีกฝ่าย

ตอนนี้ยิ่งหวังให้น้องสาวต่างมารดาผู้นี้มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี

หากตายไปจริง ๆ นางอาจจะต้องซ้ำรอยเดิมเหมือนชาติที่แล้ว

ชาติก่อน นางคิดว่าการได้เป็นฮูหยินเจิ้นกั๋วกงจะสุขสบายมีเกียรติยศไม่สิ้นสุด

แต่เมื่อแต่งเข้าไป จึงได้รู้ว่าที่นั่นคือนรกชัด ๆ

สามีของนางเสียโฉมจนน่าเกลียด

คืนวันส่งตัวเข้าหอ เพียงแวบแรกที่ได้เห็นเขา เซวียหมิงเฟยก็ตกใจจนเป็นลมล้มพับไป

แม้จะมีชีวิตหรูหราสุขสบาย มีบ่าวไพร่เป็นฝูง แต่กลับถูกสั่งห้ามก้าวออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงแม้แต่ครึ่งก้าว

วันสองวัน หรือเดือนสองเดือนยังพอทน

แต่หลายปีผ่านไป ด้วยนิสัยของนางจะทนได้อย่างไร

ท้ายที่สุด ก็ถูกองครักษ์ในจวนล่อลวงจนตกต่ำถึงที่สุด

เมื่อนึกถึงทัณฑ์ทรมานแสนสาหัสที่ได้รับหลังความแตก

วันที่นางสิ้นใจ เป็นวันที่เซวียฉู่ยวนได้ขึ้นเป็นมหาอำมาตย์ของราชสำนักพอดี

ชาตินี้ เซวียหมิงเฟยไม่กล้าโลภมากหวังในจวนเจิ้นกั๋วกงอีกแล้ว

ชีวิตที่สิ้นหวังไร้อาลัยเช่นนั้น สมควรปล่อยให้เซวียหว่านอี้ไปเสพสุขเถิด

ตำแหน่งฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่งอันมีเกียรติยศไม่สิ้นสุด กับมหาอำมาตย์ฉู่ยวนผู้ดุจสายลมบริสุทธิ์จันทรากระจ่าง เป็นของนางแล้ว
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 30

    ราตรีเยียบเย็นดุจสายน้ำเซวียหว่านอี้นั่งอยู่ในศาลา ตรงหน้ามีเตาอุ่นขนาดเล็กจุดอยู่กาน้ำดินเผาสีแดงบนเตา มีกลิ่นหอมหวานโชยเอื่อยออกมานางยกจอกสุราข้างกายขึ้นมา เอนกายพิงพนักอย่างเกียจคร้าน ทอดมองเหล่าปลาจิ่นหลี่ที่กำลังแหวกว่ายอย่างสบายอารมณ์อยู่ใต้แสงโคมบัวยามค่ำคืน“คุณหนู บ่าวได้ยินมาว่าพิธีปักปิ่นที่ในจวนจะจัดให้คุณหนู ครานี้จะยิ่งใหญ่กว่าของท่านผู้นั้นเสียอีกนะเจ้าคะ”เฝ่ยชุ่ยถือเครื่องเคียงสองอย่างเดินเข้ามา วางลงบนโต๊ะหินอย่างแผ่วเบา“บางทีอาจเป็นเพราะต้องการเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของคุณหนูแล้วกระมังเจ้าคะ”เซวียหว่านอี้มิได้เอ่ยตอบ นางจิบสุราเพียงเล็กน้อย พวงแก้มก็พลันระเรื่อสีชมพูจาง ๆเฝ่ยชุ่ยเองก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบจากคุณหนู จึงพูดต่อไปตามลำพัง“ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นจะคิดอย่างไรบ้างนะเจ้าคะ”เมื่อตอนบ่าย เรือนทิงหลานส่งของมาให้มากมาย ทำให้เรือนว่างซูที่แต่เดิมโล่งกว้าง กลับโอ่อ่าหรูหราขึ้นมาในทันทีแม้ว่าหากเทียบกับจวนอ๋องจวนโหวเหล่านั้น อาจจะไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็ตามสายลมวูบหนึ่งพัดผ่าน เหล่าแมกไม้ใบหญ้าพลันส่งเสียงเสียดสีกัน“พิธีปักปิ่นของท่านผู้นั้นจะจั

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 29

    นางยิ้มบางเบา “หากท่านไม่เต็มใจ พวกเราสลับตัวเจ้าสาวกันก็ได้”นางกำลังเดิมพัน เดิมพันว่าชาตินี้เซวียหมิงเฟยไม่กล้าแต่งให้เย่จั๋วอีกเป็นอันขาดหากเดิมพันชนะ นางก็สามารถยืมอำนาจของจวนเจิ้นกั๋วกงมาจัดการฉู่ยวนให้ตายตกไปเดิมพันแพ้ ก็แค่แต่งออกไป ในคืนวันเข้าหอ ก็ไปสู่ปรโลกพร้อมกับเขาไม่ฉู่ยวนตาย ก็พวกเขาตายด้วยกันเซวียหมิงเฟยตัวสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมนางส่ายหน้า ไม่แยแสต่อสีหน้าตื่นเต้นยินดีของอนุชิว พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล เจ้ากับเจิ้นกั๋วกงมีพระราชทานสมรสตามราชโองการของฝ่าบาท หากเรื่องสลับตัวเจ้าสาวถูกเปิดโปง ตระกูลเซวียของพวกเราเกรงว่าจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติล้างตระกูล”ชาติก่อนนางถูกเย่จั๋วทรมานจนตายด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมที่สุด ชาตินี้จะยังกล้าแต่งไปหาเขาได้อย่างไรอย่าว่าแต่แต่งเลย แค่ได้ยินชื่อของเย่จั๋ว นางก็รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งร่างแล้วแสงสว่างในแววตาของอนุชิวดับวูบลงอย่างสิ้นเชิง“ข้าเกิดก่อนเจ้าเล็กน้อย ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าน้องหญิงอีกเลย”นางไม่รู้ว่าเซวียหมิงเฟยมีสีหน้าเช่นไร จึงกล่าวต่อ “หากเจ้าเรียกไม่ถนัดปาก เช่นนั้นต่อไปพวกเราก็เรียกชื

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 28

    เซวียหว่านอี้ทอดมองอย่างเย็นชาชาติก่อน การถูกทรมานให้เป็นมนุษย์หมูตลอดหลายปี ทำให้นางสูญเสียการรับรู้ทางอารมณ์ไปเกือบหมดสิ้นนางถึงกับสัมผัสได้ว่า ฮูหยินเจียงมิได้เห็นนางสำคัญถึงเพียงนั้นที่มากกว่านั้นคือความอัปยศอดสูจากการถูกอนุชิวสับเปลี่ยนตัวบุตรไปหากบัดนี้ให้ฮูหยินเจียงเลือก ระหว่างนางกับเซวียหมิงเฟยมิต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาทุกคนย่อมเลือกเซวียหมิงเฟยฮูหยินเจียงอยากให้อนุชิวตาย ทว่านั่นมิได้หมายความว่าจะทอดทิ้งบุตรสาวคนนี้ความผูกพันฉันแม่ลูกตลอดสิบห้าปี ไหนเลยจะตัดขาดกันได้โดยง่ายเซวียมู่เจาในยามนี้ไม่คิดจะเอ่ยปากทว่าก็อดมิได้ที่จะสงสารยามเห็นเซวียหมิงเฟยร่ำไห้จนควบคุมตนเองไม่อยู่ท่านพ่อไม่สะดวกเอ่ยปากนัก เพราะจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของท่านพ่อและท่านแม่ทว่าคนผู้นี้…“น้องหญิงรอง เจ้าไม่มีสิ่งใดอยากพูดบ้างหรือ?” เขาเอ่ยปากขึ้นจนได้ทุกสายตาจับจ้องไปยังเซวียหว่านอี้เป็นจุดเดียวอนุชิวมิได้เอ่ยปาก ทว่าแววตาที่มองมากลับเปี่ยมไปด้วยความเวทนาและอ้อนวอนส่วนเซวียหมิงเฟย กลับลุกขึ้นวิ่งไปทรุดกายคุกเข่าลงเบื้องหน้าเซวียหว่านอี้อีกคราเมื่อสัมผัสได้ว่ามือที่กำลังอด

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 27

    นางมองคนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าโถงด้วยความโกรธ ก่อนจะเหยียดยิ้ม “ช่างเป็นภาพพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันดียิ่งนัก”เซวียมู่เจา: “...”เมื่อเห็นแววตาเย็นชาเมินเฉยของฮูหยินเจียง ในใจของเซวียมู่เจาก็วูบไหวด้วยความตื่นตระหนกเขาไม่รู้ว่าตนไปทำสิ่งใดให้ท่านแม่ไม่พอใจ ถึงขั้นทำให้นางต้องมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ฮูหยินเจียงกล่าวเสียงเย็นเยียบ “หลายปีมานี้ หว่านอี้ต้องอยู่อย่างไรในจวนแห่งนี้ พวกเจ้าย่อมรู้แก่ใจดี”“พวกเราไม่รู้เรื่องที่สลับตัวลูกก็จริง แต่อนุชิว...”นางชี้ไปยังสตรีที่คุกเข่าอยู่หน้าโถง “นางที่เป็นตัวการเรื่องนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไร?”“สับเปลี่ยนลูกสาวของข้าแล้ว ยังเหยียบย่ำข่มเหงนางไม่หยุดหย่อน”นางลุกขึ้น เดินไปหยุดอยู่หน้าอนุชิว ก่อนจะก้มลงเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นมาทอดมองอีกฝ่ายจากมุมสูง แล้วกล่าวว่า “เจ้าคงลำพองใจมากกระมัง ที่ลอบใช้ลูกสาวของข้ามาดูความน่าสมเพชของข้า ทำให้เจ้ารู้สึกว่าปั่นหัวข้าไว้ในกำมือได้”“เป็นเพียงอนุภรรยา แต่กลับอาศัยลูกสาวแท้ ๆ ของข้า มาหลอกปั่นหัวข้าที่เป็นนายหญิงแห่งตระกูลเซวียจนโง่งมงายอยู่เบื้องหลัง เจ้าช่างเก่งกาจเสียจริง”นางสะบัดใบหน้าของอน

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 26

    เซวียมู่เจาพยายามอย่างยิ่งที่จะเค้นความทรงจำ หรือควรกล่าวว่ากำลังพยายามล้างสมองตนเองอยู่ในความทรงจำของเขาน้องหญิงรองผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรคงเป็นเด็กขี้ขลาด หวาดกลัว และไร้ซึ่งความสดใสมีชีวิตชีวาส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตา ดูเหมือนจะไม่เคยอยู่ในความทรงจำของเขาเลยแม้แต่น้อยก็ไม่น่าแปลกใจขนาดคนรับใช้ในจวนยังกล้ามองข้ามเซวียหว่านอี้ได้อย่างสิ้นเชิง หรือควรกล่าวว่าไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเลยต่างหากนี่สะท้อนให้เห็นเพียงว่า ทั่วทั้งตระกูลเซวีย หามีเจ้านายคนใดให้ความสำคัญต่อนางไม่ขอเพียงมีสักคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติต่อนางดีสักสามส่วน พวกบ่าวไพร่ในจวนก็ย่อมไม่กล้าแสดงท่าทีเช่นนี้ฉะนั้น การที่เซวียมู่เจาจำรูปลักษณ์ของเซวียหว่านอี้ไม่ได้ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่งเซวียหว่านอี้ย่อกายคารวะ “คารวะท่านพี่เจ้าค่ะ”กิริยาท่วงท่าของนางนับว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติความสมบูรณ์แบบนี้ หากพูดให้ฟังดูดีคือนางเป็นแบบอย่างของสตรีสูงศักดิ์ แต่หากพูดให้ฟังดูแย่ ก็คือความห่างเหินจนเกินไปไม่ทราบเพราะเหตุใด เซวียมู่เจาพลันรู้สึกขัดตาอยู่บ้าง“พี่น้องกันแท้ ๆ ไม่จำเป็นต้องมากพิ

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 25

    เมื่อเห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงกันตรงหน้าทั้งสอง แม้จะไม่อยากยอมรับเพียงใด แต่ในใจของเซวียหมิงเฟยก็บังเกิดความคิดอันน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาอนุชิว คือมารดาผู้ให้กำเนิดของนางชีวิตสิบห้าปีที่ผาสุกในจวนซึ่งนางได้รับมา แท้จริงแล้วควรเป็นของเซวียหว่านอี้ฮูหยินเจียงมองคนทั้งสองในโถงด้วยสายตาเรียบเฉยไม่อยากยอมรับก็ไร้ประโยชน์อนุชิวและเซวียหมิงเฟย ช่างเหมือนกันเสียจริงนางปรายตามองเซวียฉงที่อยู่ข้างกายนางแวบหนึ่งไม่ว่าเขาจะรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ฮูหยินเจียงก็บังเกิดความแค้นเคืองต่อเขาแล้วเป็นเพราะความโปรดปรานที่บุรุษผู้นี้มีต่ออนุภรรยา จึงทำให้อนุชิวบังเกิดจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้แต่ตัวนางและบุตรสาวแท้ ๆ ช่างเป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่งนักพลันนึกขึ้นได้ว่า เซวียหว่านอี้ได้รับพระราชทานสมรสกับจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วหากเป็นเมื่อสองวันก่อน ฮูหยินเจียงย่อมไม่พอใจอยู่แล้วเรื่องสมรสของบุตรีอนุ ไฉนเลยจะสูงส่งกว่าบุตรสาวของนางได้แต่บัดนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้วนางเป็นถึงคุณหนูใหญ่จากจวนโหวโดยแท้ความรู้สึกนั้นจะมองว่าสำคัญก็ได้ หรือไม่สำคัญก็ได้ ทุกอย่างล้วนผูกพันกับผลประโยชน์ของตระกูล“นับแต่นี้ไป เบ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status