ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หลินหลีเหว่ยนับเวลาถอยหลังจะได้ร่ายอาคมถลกหนังนักพรตผู้นี้
“อ๊าก!” เหลียนเฟินร้องเสียงดังจนทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นสะดุ้งด้วยความแปลกใจ เหตุใดคนที่ควรจะนอนหลับใหลถึงฟื้นสติได้เร็วปานนี้
“เจ้า...” เขาไม่รู้จะเอ่ยคำใด
“คันจริง ๆ เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” เหลียนเฟินจ้องหน้าชายขอทานพลางใช้มือลูบใบหน้าและร่างกายของตนเอง รอยแดงเป็นวงกลมปรากฏขึ้นบนผิวขาวของเขา
“โอสถละลายร่าง” เขาเผลอตอบเพราะยังตกใจไม่หาย ใครก็ตามที่กินยานี้เข้าไปมักจะหนีไม่รอดสักราย ฤทธิ์ของมันจะค่อย ๆ กัดกร่อนหนังหุ้มร่างกาย ทำให้คนผู้นั้นทรมานปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ได้ วันนี้เข้าเพิ่มกำยานเข้าไปด้วยเพราะไม่อยากสู้กับเหลียนเฟิน ชะรอยไม่คิดว่าจะผิดแผนจนได้
“เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” เหลียนเฟินร่ายกระบี่จ่อคอเขาในทันที
“ท่านนักพรต ทำไมถึงจ่อกระบี่มาทางข้าเล่า” มารยาร้อยเล่มเกวียนยังคงถูกนำมาใช้ต่อเนื่อง
“เจ้าเป็นคนทำร้ายชาวบ้าน ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้” เหลียนเฟินกล่าวต่อ “ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นทำอะไรกับร่างของชาวบ้าน แต่เจ้ากลับรู้ว่าจะมีคนเอาหนังหน้าเจ้าไป หากต้องการสิ่งนั้นจริง ๆ เหตุใดถึงได้กล้าฟันกลางใบหน้าเล่า”
หลินหลีเหว่ยคิดตามเห็นด้วยกับสิ่งที่เหลียนเฟินพูด เขาผิดเองที่ไม่คิดให้ดี หากต้องการใบหน้าเพื่อสวมรอยต้องค่อย ๆ เลาะจากด้านข้าง การฟันผ่ากลางหน้าจะทำให้เนื้อหนังเสียหายมากเกินไป
รอบยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของคนที่แอบดู เขาไม่รอช้ากระโดดเข้ามาข้างในห้องของเหลียนเฟิน
“หวังเยี่ยนหลง!” เสียงของหลินหลีเหว่ยดังขึ้น พลางถอยหลังกรูดเข้าประชิดผนังห้องอีกฝั่ง
ยามนี้มีศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้าหนึ่งคน อีกคนก็ศิษย์วังธาราเหมันต์ เขาจะเอาตัวรอดไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร ครั้นนึกทบทวนเรื่องราวอีกรอบก็คิดว่าไม่น่าลงมือกับเหลียนเฟินเช่นนี้เลย อย่างน้อย นักพรตผู้นี้ก็คงจะกันหวังเยี่ยนหลงให้ห่างจากเขาได้พักหนึ่ง จนพอมีเวลาหาหนทางหนีที่ดีกว่านี้
สายตาของหวังเยี่ยนหลงจับจ้องมาที่ใบหน้าและร่างกายของเหลียนเฟิน รอยแดงกลม ๆ ทำให้เขานึกขัน
“อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ” หลินหลีเหว่ยตะโกน มองซ้ายมองขวาหาทางหนีไปให้พ้น แต่กระบี่ของหวังเยี่ยนหลงเร็วกว่า มันลอยพุ่งเข้าไปหาหลินหลีเหว่ยโดยไม่ทันตั้งตัว
เหลียนเฟินร่ายอาคมหยุดกระบี่ของหวังเยี่ยนหลงเอาไว้ “ฆ่าเขาไม่ได้ ข้าต้องสืบสวนหาความจริงก่อน”
“หลักฐานมากมายเช่นนี้ จะรออันใดอีก” หวังเยี่ยนหลงชักกระบี่กลับมาแล้วร่ายอาคมอัดใส่หลินหลีเหว่ยแทน
กระนั้น เหลียนเฟินก็ร่ายอาคมปัดเป่าพลังของเขาไปจนสิ้น
การต่อสู้ย่อม ๆ ในห้องนอนโรงเตี๊ยมเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง แม้เสียงข้างในและข้าวของกระจัดกระจายเละเทะแต่ผู้คนด้านนอกกลับไม่รู้สึกหรือได้ยินสิ่งใดเพราะหวังเยี่ยนหลงร่ายอาคมปิดเรือนเอาไว้
ขณะที่ทั้งสองกำลังห้ำหั่นกันเอง หลินหลีเหว่ยร่ายอาคมหนึ่งคิดจะจัดการเหลียนเฟินที่กำลังหันหลังให้เขา ไร้ซึ่งการป้องกันใด ๆ
ฉึก!
เสียงกระบี่ของหวังเยี่ยนหลงพุ่งทะลุร่างของเขาในพริบตา ตามด้วยอาคมรุนแรงสะเทือนถึงวิญญาณ
ครั้งนี้เหลียนเฟินไม่อาจห้ามได้ทัน หลินหลีเหว่ยจึงโดนพลังปราณของหวังเยี่ยนหลงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง เขาทรุดตัวลงที่พื้น เลือดกบปาก แววตาล่องลอยมีเลือดหลั่งไหลออกมา ก่อนจะฟุบหน้าลงกับพื้น
“เจ้า...” เหลียนเฟินมองหน้าหวังเยี่ยนหลง เขาต้องการหลินหลีเหว่ยตัวเป็น ๆ เพื่อสอบสวนเรื่องราวต่อหน้าอ๋องเมืองเฟิงแล้วให้คนผู้นี้รับโทษตามสมควร ทว่า หวังเยี่ยนหลงกลับดึงดันจะฆ่าเขาให้ได้
“เจ้าก็เห็นว่ามันเป็นคนทำเรื่องพวกนั้น ยังจะต้องการสิ่งใดอีก” เขาไม่สบอารมณ์เพราะมีคนดื้อดึงไม่ฟังคำ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นนั้นทำไม” เหลียนเฟินถามบ้าง
“ไม่”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามาเมืองเฟิงทำไม” เหลียนเฟินถามอีกครั้ง
“ไม่” หวังเยี่ยนหลงยังคงตอบสั้น ๆ “เรื่องเหล่านั้น รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด”
“แต่...” เหลียนเฟินรู้สึกเหนื่อยที่ต้องพูดกับคนผู้นี้ ครั้นเห็นว่าเขาเดินมาใกล้จึงยกกระบี่ห้าม
“ข้าเพิ่งจะช่วยเจ้าไว้ เหตุใดยังยกกระบี่ชี้มาทางข้า” หวังเยี่ยนหลงเลิกคิ้ว สบตาเหลียนเฟิน
อีกแล้ว หัวใจของข้า ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เขาคิดในใจแล้วเดินเข้าไปใกล้กว่าเดิม
“ข้าช่วยเจ้าไว้ ยังจะทำร้ายข้าอีกครั้งหรือ”
“เจ้าไม่น่าไว้ใจ” เหลียนเฟินตอบตามตรง จู่ ๆ มีคนอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวจะทำร้ายเขาเดี๋ยวจะช่วยเขาอยู่ตรงหน้า นึกไม่ออกเลยว่าจะมาไม้ไหน
“ข้าบาดเจ็บเพราะเจ้าเข้าใจข้าผิดแต่ข้าก็ยังเลือกที่จะช่วยเจ้าไว้ คำขอบคุณสักคำก็ไม่มีหรือ” หวังเยี่ยนหลงเริ่มตัดพ้อ สีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนคนกำลังเศร้าเสียใจ
“ข้าน่ะหรือเข้าใจผิด เรื่องอันใดที่ข้าเข้าใจผิด” เหลียนเฟินรู้สึกงุนงง คนตรงหน้ากล้าพูดว่าเขาเข้าใจผิดได้อย่างไร ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาตั้งใจบังคับกระบี่ทำร้ายตนเองหลายกระบวนท่าปานนั้น
หวังเยี่ยนหลงยังคงไม่ลดละ เดินใกล้เข้าปลายกระบี่เรื่อย ๆ จนคมของมันทิ่มทะลุเสื้อผ้าของเขาเลือดไหลซึมออกมา
“ครั้งแรกที่เจอเจ้า ข้าแค่คิดว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกันเลยแสดงออกไปแบบนั้น ข้าตามคนผู้นี้มานานมากแล้ว มันสังหารคนในครอบครัวข้า ใช้วิชามารทำร้ายผู้คน ข้าไม่อาจปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ได้จริง ๆ”
“หยุดก่อน” เหลียนเฟินห้ามปรามแต่ยังไม่ลดกระบี่ลง
“ต้องให้ข้าพิสูจน์อันใดอีก เจ้าจึงจะเชื่อว่าข้าไม่ได้ต้องการทำร้ายเจ้า” หวังเยี่ยนหลงยังคงเล่นละครหลอกเหลียนเฟิน คิดในใจว่าศิษย์วังธาราเหมันต์หลอกยากจริง ๆ
เลือดบนหน้าอกเขาไหลซึมออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ปลายกระบี่แทงเข้าไปลึกจนเหลียนเฟินต้องลดกระบี่ตนเอง
“หากข้าไม่เชื่อ เจ้าจะปล่อยให้กระบี่ข้าแทงหัวใจเจ้าอย่างนั้นหรือ” เหลียนเฟินโพล่งออกมา
“ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรให้เจ้าเชื่อใจ”
“พอเถิด” เหลียนเฟินจำใจต้องยอมทำเป็นเชื่อเขา ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วในใจระแวงมากกว่าเดิม
“บาดแผลที่มือเจ้า เจ็บมากหรือไม่” หวังเยี่ยนหลงถือวิสาสะจับข้อมือของเหลียนเฟินขึ้นมาดู
“ข้าไม่เป็นไร” เหลียนเฟินรีบดึงมือกลับ แต่ถูกคนที่ตัวใหญ่กว่ารั้งเอาไว้
“เลือดไหลยังไม่หยุด ให้ข้าช่วย” ดูเผิน ๆ หวังเยี่ยนหลงคล้ายเป็นคนมีน้ำใจห่วงใยผู้อื่น แต่จริง ๆ แล้วเมื่อครู่เขาเพิ่งจะร่ายอาคมโลหิตมารเข้าไปในตัวของเหลียนเฟิน
ครั้นพยายามบังคับให้มันขยายตัวเป็นหนามแหลมคมบาดร่างกายของเหลียนเฟิน คนตรงหน้ากลับไม่แสดงอาการใดออกมาจึงคิดลองร่ายอาคมอีกครั้งให้แน่ใจ
ทว่า ยามได้จับมือเหลียนเฟิน ร่างกายของเขาดูแปลกไป ปราณมารร้อนรุ่มเหมือนค่อย ๆ อบอุ่นไหลเวียนนุ่มนวลมากขึ้น เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว
ผ่านไปหนึ่งอึดใจ หวังเยี่ยนหลงยักยิ้มมุมปาก โลหิตมารของข้าใช้กับศิษย์วังธาราเหมันต์ไม่ได้ผล หมิงฮวา ข้าชักเสียใจที่วันนั้นปล่อยให้เจ้ารอดไปได้
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ