ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หลินหลีเหว่ยนับเวลาถอยหลังจะได้ร่ายอาคมถลกหนังนักพรตผู้นี้
“อ๊าก!” เหลียนเฟินร้องเสียงดังจนทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นสะดุ้งด้วยความแปลกใจ เหตุใดคนที่ควรจะนอนหลับใหลถึงฟื้นสติได้เร็วปานนี้
“เจ้า...” เขาไม่รู้จะเอ่ยคำใด
“คันจริง ๆ เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” เหลียนเฟินจ้องหน้าชายขอทานพลางใช้มือลูบใบหน้าและร่างกายของตนเอง รอยแดงเป็นวงกลมปรากฏขึ้นบนผิวขาวของเขา
“โอสถละลายร่าง” เขาเผลอตอบเพราะยังตกใจไม่หาย ใครก็ตามที่กินยานี้เข้าไปมักจะหนีไม่รอดสักราย ฤทธิ์ของมันจะค่อย ๆ กัดกร่อนหนังหุ้มร่างกาย ทำให้คนผู้นั้นทรมานปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ได้ วันนี้เข้าเพิ่มกำยานเข้าไปด้วยเพราะไม่อยากสู้กับเหลียนเฟิน ชะรอยไม่คิดว่าจะผิดแผนจนได้
“เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” เหลียนเฟินร่ายกระบี่จ่อคอเขาในทันที
“ท่านนักพรต ทำไมถึงจ่อกระบี่มาทางข้าเล่า” มารยาร้อยเล่มเกวียนยังคงถูกนำมาใช้ต่อเนื่อง
“เจ้าเป็นคนทำร้ายชาวบ้าน ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้” เหลียนเฟินกล่าวต่อ “ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นทำอะไรกับร่างของชาวบ้าน แต่เจ้ากลับรู้ว่าจะมีคนเอาหนังหน้าเจ้าไป หากต้องการสิ่งนั้นจริง ๆ เหตุใดถึงได้กล้าฟันกลางใบหน้าเล่า”
หลินหลีเหว่ยคิดตามเห็นด้วยกับสิ่งที่เหลียนเฟินพูด เขาผิดเองที่ไม่คิดให้ดี หากต้องการใบหน้าเพื่อสวมรอยต้องค่อย ๆ เลาะจากด้านข้าง การฟันผ่ากลางหน้าจะทำให้เนื้อหนังเสียหายมากเกินไป
รอบยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของคนที่แอบดู เขาไม่รอช้ากระโดดเข้ามาข้างในห้องของเหลียนเฟิน
“หวังเยี่ยนหลง!” เสียงของหลินหลีเหว่ยดังขึ้น พลางถอยหลังกรูดเข้าประชิดผนังห้องอีกฝั่ง
ยามนี้มีศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้าหนึ่งคน อีกคนก็ศิษย์วังธาราเหมันต์ เขาจะเอาตัวรอดไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร ครั้นนึกทบทวนเรื่องราวอีกรอบก็คิดว่าไม่น่าลงมือกับเหลียนเฟินเช่นนี้เลย อย่างน้อย นักพรตผู้นี้ก็คงจะกันหวังเยี่ยนหลงให้ห่างจากเขาได้พักหนึ่ง จนพอมีเวลาหาหนทางหนีที่ดีกว่านี้
สายตาของหวังเยี่ยนหลงจับจ้องมาที่ใบหน้าและร่างกายของเหลียนเฟิน รอยแดงกลม ๆ ทำให้เขานึกขัน
“อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ” หลินหลีเหว่ยตะโกน มองซ้ายมองขวาหาทางหนีไปให้พ้น แต่กระบี่ของหวังเยี่ยนหลงเร็วกว่า มันลอยพุ่งเข้าไปหาหลินหลีเหว่ยโดยไม่ทันตั้งตัว
เหลียนเฟินร่ายอาคมหยุดกระบี่ของหวังเยี่ยนหลงเอาไว้ “ฆ่าเขาไม่ได้ ข้าต้องสืบสวนหาความจริงก่อน”
“หลักฐานมากมายเช่นนี้ จะรออันใดอีก” หวังเยี่ยนหลงชักกระบี่กลับมาแล้วร่ายอาคมอัดใส่หลินหลีเหว่ยแทน
กระนั้น เหลียนเฟินก็ร่ายอาคมปัดเป่าพลังของเขาไปจนสิ้น
การต่อสู้ย่อม ๆ ในห้องนอนโรงเตี๊ยมเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง แม้เสียงข้างในและข้าวของกระจัดกระจายเละเทะแต่ผู้คนด้านนอกกลับไม่รู้สึกหรือได้ยินสิ่งใดเพราะหวังเยี่ยนหลงร่ายอาคมปิดเรือนเอาไว้
ขณะที่ทั้งสองกำลังห้ำหั่นกันเอง หลินหลีเหว่ยร่ายอาคมหนึ่งคิดจะจัดการเหลียนเฟินที่กำลังหันหลังให้เขา ไร้ซึ่งการป้องกันใด ๆ
ฉึก!
เสียงกระบี่ของหวังเยี่ยนหลงพุ่งทะลุร่างของเขาในพริบตา ตามด้วยอาคมรุนแรงสะเทือนถึงวิญญาณ
ครั้งนี้เหลียนเฟินไม่อาจห้ามได้ทัน หลินหลีเหว่ยจึงโดนพลังปราณของหวังเยี่ยนหลงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง เขาทรุดตัวลงที่พื้น เลือดกบปาก แววตาล่องลอยมีเลือดหลั่งไหลออกมา ก่อนจะฟุบหน้าลงกับพื้น
“เจ้า...” เหลียนเฟินมองหน้าหวังเยี่ยนหลง เขาต้องการหลินหลีเหว่ยตัวเป็น ๆ เพื่อสอบสวนเรื่องราวต่อหน้าอ๋องเมืองเฟิงแล้วให้คนผู้นี้รับโทษตามสมควร ทว่า หวังเยี่ยนหลงกลับดึงดันจะฆ่าเขาให้ได้
“เจ้าก็เห็นว่ามันเป็นคนทำเรื่องพวกนั้น ยังจะต้องการสิ่งใดอีก” เขาไม่สบอารมณ์เพราะมีคนดื้อดึงไม่ฟังคำ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นนั้นทำไม” เหลียนเฟินถามบ้าง
“ไม่”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามาเมืองเฟิงทำไม” เหลียนเฟินถามอีกครั้ง
“ไม่” หวังเยี่ยนหลงยังคงตอบสั้น ๆ “เรื่องเหล่านั้น รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด”
“แต่...” เหลียนเฟินรู้สึกเหนื่อยที่ต้องพูดกับคนผู้นี้ ครั้นเห็นว่าเขาเดินมาใกล้จึงยกกระบี่ห้าม
“ข้าเพิ่งจะช่วยเจ้าไว้ เหตุใดยังยกกระบี่ชี้มาทางข้า” หวังเยี่ยนหลงเลิกคิ้ว สบตาเหลียนเฟิน
อีกแล้ว หัวใจของข้า ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เขาคิดในใจแล้วเดินเข้าไปใกล้กว่าเดิม
“ข้าช่วยเจ้าไว้ ยังจะทำร้ายข้าอีกครั้งหรือ”
“เจ้าไม่น่าไว้ใจ” เหลียนเฟินตอบตามตรง จู่ ๆ มีคนอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวจะทำร้ายเขาเดี๋ยวจะช่วยเขาอยู่ตรงหน้า นึกไม่ออกเลยว่าจะมาไม้ไหน
“ข้าบาดเจ็บเพราะเจ้าเข้าใจข้าผิดแต่ข้าก็ยังเลือกที่จะช่วยเจ้าไว้ คำขอบคุณสักคำก็ไม่มีหรือ” หวังเยี่ยนหลงเริ่มตัดพ้อ สีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนคนกำลังเศร้าเสียใจ
“ข้าน่ะหรือเข้าใจผิด เรื่องอันใดที่ข้าเข้าใจผิด” เหลียนเฟินรู้สึกงุนงง คนตรงหน้ากล้าพูดว่าเขาเข้าใจผิดได้อย่างไร ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาตั้งใจบังคับกระบี่ทำร้ายตนเองหลายกระบวนท่าปานนั้น
หวังเยี่ยนหลงยังคงไม่ลดละ เดินใกล้เข้าปลายกระบี่เรื่อย ๆ จนคมของมันทิ่มทะลุเสื้อผ้าของเขาเลือดไหลซึมออกมา
“ครั้งแรกที่เจอเจ้า ข้าแค่คิดว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกันเลยแสดงออกไปแบบนั้น ข้าตามคนผู้นี้มานานมากแล้ว มันสังหารคนในครอบครัวข้า ใช้วิชามารทำร้ายผู้คน ข้าไม่อาจปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ได้จริง ๆ”
“หยุดก่อน” เหลียนเฟินห้ามปรามแต่ยังไม่ลดกระบี่ลง
“ต้องให้ข้าพิสูจน์อันใดอีก เจ้าจึงจะเชื่อว่าข้าไม่ได้ต้องการทำร้ายเจ้า” หวังเยี่ยนหลงยังคงเล่นละครหลอกเหลียนเฟิน คิดในใจว่าศิษย์วังธาราเหมันต์หลอกยากจริง ๆ
เลือดบนหน้าอกเขาไหลซึมออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ปลายกระบี่แทงเข้าไปลึกจนเหลียนเฟินต้องลดกระบี่ตนเอง
“หากข้าไม่เชื่อ เจ้าจะปล่อยให้กระบี่ข้าแทงหัวใจเจ้าอย่างนั้นหรือ” เหลียนเฟินโพล่งออกมา
“ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรให้เจ้าเชื่อใจ”
“พอเถิด” เหลียนเฟินจำใจต้องยอมทำเป็นเชื่อเขา ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วในใจระแวงมากกว่าเดิม
“บาดแผลที่มือเจ้า เจ็บมากหรือไม่” หวังเยี่ยนหลงถือวิสาสะจับข้อมือของเหลียนเฟินขึ้นมาดู
“ข้าไม่เป็นไร” เหลียนเฟินรีบดึงมือกลับ แต่ถูกคนที่ตัวใหญ่กว่ารั้งเอาไว้
“เลือดไหลยังไม่หยุด ให้ข้าช่วย” ดูเผิน ๆ หวังเยี่ยนหลงคล้ายเป็นคนมีน้ำใจห่วงใยผู้อื่น แต่จริง ๆ แล้วเมื่อครู่เขาเพิ่งจะร่ายอาคมโลหิตมารเข้าไปในตัวของเหลียนเฟิน
ครั้นพยายามบังคับให้มันขยายตัวเป็นหนามแหลมคมบาดร่างกายของเหลียนเฟิน คนตรงหน้ากลับไม่แสดงอาการใดออกมาจึงคิดลองร่ายอาคมอีกครั้งให้แน่ใจ
ทว่า ยามได้จับมือเหลียนเฟิน ร่างกายของเขาดูแปลกไป ปราณมารร้อนรุ่มเหมือนค่อย ๆ อบอุ่นไหลเวียนนุ่มนวลมากขึ้น เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว
ผ่านไปหนึ่งอึดใจ หวังเยี่ยนหลงยักยิ้มมุมปาก โลหิตมารของข้าใช้กับศิษย์วังธาราเหมันต์ไม่ได้ผล หมิงฮวา ข้าชักเสียใจที่วันนั้นปล่อยให้เจ้ารอดไปได้
ย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น หวังเยี่ยนหลงก็คลุ้มคลั่งเพราะควบคุมปราณมารไม่ได้ เขาถูกมันควบคุมความคิดจิตใจพยายามยึดร่างของเขา ยามที่สงบสติลงหวังเยี่ยนหลงก็เอาแต่นิ่งเงียบสับสน ครั้นปราณมารปะทุ อารมณ์รุนแรงอ่อนไหวยิ่งทวีมากขึ้น เขาเผลอร่ายอาคมโลหิตมารโดยไม่รู้ตัว จนทำให้คนที่มีโลหิตมารในร่างพลอยได้รับลูกหลงไปด้วย ในเวลานั้น หลิงซีแทบไม่มีทางเลือกอื่นใดแต่พอจะได้ยินเรื่องของละอองบุปผาโลหิตมาบ้างจึงส่งซวงและหลุนเข้าไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม ระหว่างรอข่าวดี นางพยายามช่วยให้หวังเยี่ยนหลงควบคุมตนเองให้ได้ หากเขาไม่ถูกปราณมารโจมตี นางและพวกพ้องที่เหลือก็จะปลอดภัยไปด้วย บางครั้งหลิงซีคิดฉวยโอกาสสังหารหวังเยี่ยนหลงในเวลาที่อ่อนกำลังลง ทว่าไม่เป็นผลเลยสักครั้ง ไม่ว่าหวังเยี่ยนหลงจะมีสติหรือไม่ ปราณมารมักไม่ปล่อยให้ใครแตะต้องเขาได้ง่าย ๆ ร่างนี้เป็นของมัน ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ ละอองบุปผาโลหิตเป็นของวิเศษของพรรคบุปผาทมิฬ สวงนไว้ให้ประมุขพรรคและครอบครัวเท่านั้น หลิงซีรายงานเรื่องที่ได้รับจากซวงและหลุนให้หวังเยี่ยนหลงได้
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลินหลีเหว่ยนับเวลาถอยหลังจะได้ร่ายอาคมถลกหนังนักพรตผู้นี้ “อ๊าก!” เหลียนเฟินร้องเสียงดังจนทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นสะดุ้งด้วยความแปลกใจ เหตุใดคนที่ควรจะนอนหลับใหลถึงฟื้นสติได้เร็วปานนี้ “เจ้า...” เขาไม่รู้จะเอ่ยคำใด “คันจริง ๆ เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” เหลียนเฟินจ้องหน้าชายขอทานพลางใช้มือลูบใบหน้าและร่างกายของตนเอง รอยแดงเป็นวงกลมปรากฏขึ้นบนผิวขาวของเขา “โอสถละลายร่าง” เขาเผลอตอบเพราะยังตกใจไม่หาย ใครก็ตามที่กินยานี้เข้าไปมักจะหนีไม่รอดสักราย ฤทธิ์ของมันจะค่อย ๆ กัดกร่อนหนังหุ้มร่างกาย ทำให้คนผู้นั้นทรมานปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ได้ วันนี้เข้าเพิ่มกำยานเข้าไปด้วยเพราะไม่อยากสู้กับเหลียนเฟิน ชะรอยไม่คิดว่าจะผิดแผนจนได้ “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” เหลียนเฟินร่ายกระบี่จ่อคอเขาในทันที “ท่านนักพรต ทำไมถึงจ่อกระบี่มาทางข้าเล่า” มารยาร้อยเล่มเกวียนยังคงถูกนำมาใช้ต่อเนื่อง “เจ้าเป็นคนทำร้ายชาวบ้าน ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้” เหลียนเฟินกล่าวต่อ “ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นทำอะไรกับร่างของชาวบ้าน แต่เจ้ากลับรู้ว่าจะ
หลินหลีเหว่ยในคราบชายขอทานวิ่งเร็วรี่มาหาเหลียนเฟิน ดวงตาเบิกโต สีหน้าหวาดกลัว แกล้งตบตา แม้เหลียนเฟินและหลวนเล่อปลอมตัวเป็นชาวเมืองเฟิง แต่หากเรียกกระบี่เงินสลักลายคู่กายออกมาแล้ว ทุกคนย่อมรู้ว่าพวกเขาเป็นศิษย์วังธาราเหมันต์ “ท่านนักพรตช่วยข้าด้วย” เขาตะโกนเสียงดัง แล้วรีบวิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าเหลียนเฟิน “เกิดอันใดกับเจ้า” หลวนเล่อถามชายขอทาน “คนผู้นั้น จู่ ๆ ก็เข้ามาทำร้ายข้า พยายามถลกหนังหน้าข้าออกไป ท่านนักพรตช่วยข้าด้วยเถิด ข้ากลัวไปหมดแล้ว” หลินหลีเหว่ยใช้มารยาของตนหลอกล่อให้ศิษย์วังธาราเหมันต์ตายใจ “ถลกหนังหน้าเจ้าน่ะหรือ มีดีตรงไหนกัน” หวังเยี่ยนหลงที่เพิ่งมาถึงหยุดอยู่ตรงหน้าทุกคนหัวเราะร่า สมเพชละครหลอกเด็กของหลินหลีเหว่ย “ข้าไม่รู้ คนดี ๆ ที่ไหนจะมาทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นปีศาจที่ผู้คนเล่าลือกันหรือ” หลินหลีเหว่ยได้ทีใส่ความเติมเชื้อเพลิงความเลวร้ายของหวังเยี่ยนหลง “ต้องใช่แน่ ๆ เจ้าต้องเป็นปีศาจตัวนั้นแน่ ๆ” เขาทำท่าทางกลัวจนตัวสั่นรีบวิ่งมาเกาะขาของเหลียนเฟิน หลบสายตาไม่มองหน้าหวังเยี่ยนหลง
ท่าเรือเมืองเฟิง “เหลียนเฟิน เจ้ารีบออกมาได้แล้ว ข้าหิว” หลวนเล่อตะโกนบอกเขา สายตาจ้องไปยังร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ไกลลิบ “เรียบร้อยแล้วขอรับ” เขาเดินออกมาหานาง ก้มมองดูเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่าทางไม่ค่อยคุ้นชิน เหลียนเฟินเปลี่ยนมาสวมชุดเสื้อผ้าพื้นเมือง เดิมทีมักจะมัดผมสูงสวมกวานสีเงินเด่นสง่า เวลานี้เกล้าผมจุกเล็ก ๆ ถักเปียห้อย มีลูกปัดสีทองสะบัดไปมายามลมพัดไหว “ทำไมศิษย์พี่แต่งเป็นบุรุษเล่า” เขาเพิ่งจะเห็นว่าหลวนเล่อแต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน “อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เกรงว่าเปิดเผยตัวตนมากไปจะเกิดอันตราย” หลวนเล่อยิ้มกว้าง “แต่เหลียนเฟิน เอาหนวดไปติดดีหรือไม่ เจ้าแต่งเป็นบุรุษเหมือนกับข้าก็จริง เหตุใดถึงดูราวกับเป็นน้องสาวข้าไปได้ หรือว่าเจ้าจะลองเปลี่ยนโฉมเป็นสตรีแสนงดงามแทน” “ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นอีกแล้ว รีบเข้าไปข้างในตัวเมืองกันก่อนฟ้าจะมืดเถิด” ทั้งคู่ตรงดิ่งไปที่ร้านขายบะหมี่ สั่งอาหารมาคนละสองชาม นั่งซดน้ำซุปแสนอร่อยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป คล้อยหลังตะวันลับฟ้า บ้านเรือนร้านค้าในตัวเมืองทย
รุ่งเช้าวันต่อมา สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด “ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์ “ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต “นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก “เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น” “เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย คนผู้นี้ไ
สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก “เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร “เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย “ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย “อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่าศิษย์น้องผ