หลินหลีเหว่ยในคราบชายขอทานวิ่งเร็วรี่มาหาเหลียนเฟิน ดวงตาเบิกโต สีหน้าหวาดกลัว แกล้งตบตา
แม้เหลียนเฟินและหลวนเล่อปลอมตัวเป็นชาวเมืองเฟิง แต่หากเรียกกระบี่เงินสลักลายคู่กายออกมาแล้ว ทุกคนย่อมรู้ว่าพวกเขาเป็นศิษย์วังธาราเหมันต์
“ท่านนักพรตช่วยข้าด้วย” เขาตะโกนเสียงดัง แล้วรีบวิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าเหลียนเฟิน
“เกิดอันใดกับเจ้า” หลวนเล่อถามชายขอทาน
“คนผู้นั้น จู่ ๆ ก็เข้ามาทำร้ายข้า พยายามถลกหนังหน้าข้าออกไป ท่านนักพรตช่วยข้าด้วยเถิด ข้ากลัวไปหมดแล้ว” หลินหลีเหว่ยใช้มารยาของตนหลอกล่อให้ศิษย์วังธาราเหมันต์ตายใจ
“ถลกหนังหน้าเจ้าน่ะหรือ มีดีตรงไหนกัน” หวังเยี่ยนหลงที่เพิ่งมาถึงหยุดอยู่ตรงหน้าทุกคนหัวเราะร่า สมเพชละครหลอกเด็กของหลินหลีเหว่ย
“ข้าไม่รู้ คนดี ๆ ที่ไหนจะมาทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นปีศาจที่ผู้คนเล่าลือกันหรือ” หลินหลีเหว่ยได้ทีใส่ความเติมเชื้อเพลิงความเลวร้ายของหวังเยี่ยนหลง “ต้องใช่แน่ ๆ เจ้าต้องเป็นปีศาจตัวนั้นแน่ ๆ”
เขาทำท่าทางกลัวจนตัวสั่นรีบวิ่งมาเกาะขาของเหลียนเฟิน หลบสายตาไม่มองหน้าหวังเยี่ยนหลง
“ถอยไป!” หวังเยี่ยนหลงตวาดเหลียนเฟินที่ยังคงยกปลายกระบี่ชี้มาทางเขา
“ไม่!” ศิษย์ผู้นี้ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ตอบกลับเขาสั้น ๆ
“ข้ามีเรื่องต้องสะสางกับมัน ถอยไป!” สีหน้าหวังเยี่ยนหลงดูหงุดหงิดจนใครที่เห็นอย่าได้คิดจะเข้ามาขวาง พลอยทำให้หลวนเล่อสะดุ้งตกใจไปด้วย
“ใจดำอำมหิตเพียงนี้ยังเรียกว่าเป็นคนได้หรือ ท่านนักพรตช่วยข้าด้วย คนผู้นั้นอาจจะเป็นปีศาจเปลี่ยนโฉมล่อลวงท่านอยู่ก็ได้”
เหลียนเฟินฟังสิ่งที่หลินหลีเหว่ยพูดแล้วคิดตาม หากเป็นปีศาจอย่างที่เขาบอก เหตุใดจึงมองไม่เห็นปราณมารในตัวคนตรงหน้า หากเป็นเช่นนั้นคงพอจะคิดได้ว่ายังเป็นมนุษย์อยู่กระมัง
“เจ้ามีเรื่องอันใดกับเขาถึงขั้นต้องทำร้ายร่างกาย” เหลียนเฟินเอ่ยถามคนหน้าบึ้ง
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่ามาขวางข้า” สายตาหวังเยี่ยนหลงเปลี่ยนไป พลันกระบี่ของเขาปรากฏอยู่ข้างกายคิดจะปลิดชีพทุกคนในที่นั้น
“ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย” หลินหลีเหว่ยหันไปเกาะขาของหลวนเล่อบ้าง ตั้งใจให้คนทั้งสองช่วยสังหารศัตรู
“ศิษย์พี่” เหลียนเฟินเอ่ยปากเพียงเท่านี้ หลวนเล่อก็รู้ว่าเขาหมายถึงสิ่งใดจึงพาชายขอทานจำแลงถอยออกมาทางด้านหลัง มือกำด้ามกระบี่ไว้แน่น
หวังเยี่ยนหลงไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่ายอาคมบังคับกระบี่พุ่งไปที่หัวใจของเหลียนเฟินในพริบตา ทว่า ศิษย์สำนักผู้มีฝีมือเก่งกาจลำดับที่สามย่อมไม่แพ้ง่าย ๆ
ทั้งสองคนผลัดกันรับผลัดกันโจมตีอยู่พักหนึ่ง จนหวังเยี่ยนหลงเริ่มหมดความอดทนกับเด็กเมื่อวานซืนอย่างเหลียนเฟินเต็มแก่ จึงร่ายอาคมอ่านความคิดของเขาเพื่อหาหนทางจัดการสิ่งเกะกะไปให้พ้นหูพ้นตา
ง้างกระบี่ฟาดลงทางด้านขวา แล้วเอี้ยวตัวไปทางด้านหลัง เล็งที่ข้อเท้าด้านซ้ายแล้วฟันเข้าที่หน้าท้อง เสียงความคิดของเหลียนเฟินกำลังวางแผนจัดกระบวนท่า
หวังเยี่ยนหลงเลิกคิ้วยักยิ้ม ความโมโหหายไปเกือบครึ่งเพราะรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
กระนั้นแล้ว สิ่งที่เขาคิดกลับไม่เป็นเช่นนั้น แทนที่เหลียนเฟินจะง้างกระบี่ฟาดลงด้านขวา เขากลับฟาดลงทางด้านซ้ายแทน กระบวนท่าต่อจากนั้นควรจะเป็นเล็งข้อเท้าก่อนฟันหน้าท้อง เขาดันเลือกฟันเข้าที่หน้าท้องก่อนข้อเท้า
เจ้าเด็กนี่กำลังปั่นหัวข้าอยู่หรือ จากที่เมื่อครู่เริ่มยิ้มได้บ้างเพราะคิดว่าจะจัดการตัวปัญหาได้ เวลานี้หวังเยี่ยนหลงเริ่มมีน้ำโหขึ้นกว่าเท่าตัว
เขาตั้งใจอ่านความคิดของเหลียนเฟินอีกครั้ง และลองทำเช่นเดิมอย่างเมื่อครู่ เหตุการณ์ต่อมากลายเป็นว่า เหลียนเฟินไม่ได้ทำตามที่คิดแม้แต่อย่างเดียว มิหนำซ้ำรอบนี้ร่างกายของเขายังได้แผลจากคมกระบี่ของเหลียนเฟินอีกหลายแห่ง
หลินหลีเหว่ยกระหยิ่มยิ้มคิดในใจว่านักพรตผู้นี้เก่งกาจเสียจริง สามารถทำให้หวังเยี่ยนหลงเลือดตกยางออกได้ เขาจึงคิดเกาะติดเหลียนเฟินจนกว่าตนเองจะปลอดภัย
หวังเยี่ยนหลงรู้สึกเจ็บใจที่พลาดท่าให้เหลียนเฟิน เวลานี้พลังปราณของเขาไม่กล้าแข็งเท่ายามปกติเพราะคอยระบายออกไปก่อนหน้านี้ อีกทั้งคืนก่อนยังปลดปล่อยปราณมารไปบางส่วนเพื่อหลอกล่อหลินหลีเหว่ย เขาไม่คิดว่าจะมีใครกล้ามาประจันหน้ากับเขาด้วยซ้ำ
ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นจนไม่อาจเก็บสีหน้าเอาไว้ได้ หางตาเหลือบเห็นหลินหลีเหว่ยกำลังเย้ยหยันเขาอยู่ก็ยิ่งทวีความโมโห กระบวนท่าและอาคมต่าง ๆ ถูกร่ายออกมาไม่หยุดแต่กระนั้นเหลียนเฟินกลับปัดป้องการโจมตีได้ทั้งหมด จากนั้นจึงถึงคราวที่เหลียนเฟินจะสู้กลับบ้าง กระบวนท่ากระบี่อันอ่อนช้อยแต่พลังรุนแรงกระหน่ำใส่หวังเยี่ยนหลงไม่ขาดสาย
เหลียนเฟินเองก็รู้สึกสงสัยว่าเหตุใดคนตรงหน้าถึงรับการโจมตีของเขาได้ราวกับว่าเคยประมือกันมาก่อนหน้านี้
กระบี่เงินสลักลาย กระบวนท่าเช่นนี้ หวังเยี่ยนหลงคิดถึงใครบางคนที่เขาเคยสู้ด้วย มารดามันเถอะ! ศิษย์วังธาราเหมันต์
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับผู้ใด แต่เมื่อสังเกตเหลียนเฟินอย่างละเอียดแล้ว อย่างไรฝีมือของศิษย์ตรงหน้าก็ยังไม่เท่าคนผู้นั้น ดูเผิน ๆ เหมือนเพิ่งจะผ่านขั้นกลาง ดังนั้นแล้วหวังเยี่ยนหลงจึงเริ่มใช้กระบวนท่าที่สูงกว่านั้น
หวังเยี่ยนหลงร่ายอาคมสั่งการกระบี่ให้โจมตีหลวนเล่อกับหลินหลีเหว่ย ส่วนตัวเขาใช้วิชาที่เคยฝึกมาเข้าประชิดสู้กับเหลียนเฟินตัวต่อตัว
“ศิษย์พี่!” เหลียนเฟินส่งกระบี่ของเขาเข้ามาขวางเพื่อปกป้องนาง แล้วร่ายอาคมสายสีขาวกั้นเป็นเกราะกำบัง
จังหวะที่เขาไม่ทันได้ระวังตัวจึงมีคนฉวยโอกาสเข้าใกล้มากกว่าเคย ปลายนิ้วของเขาเผลอแตะแก้มเหลียนเฟิน ยามที่เจ้าตัวหันหน้ามาสบสายตากับเขาพอดิบพอดี
แววตาของหวังเยี่ยนหลงวูบไหว เปิดโอกาสให้เหลียนเฟินร่ายวิชาอัดพลังใส่ร่างของเขาเต็มเหนี่ยวจนกระอักเลือด
หัวใจที่เคยด้านชาราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด หวังเยี่ยน หลงไม่เข้าใจว่าตนเองมีสิ่งใดผิดปกติไปจึงถอยหนึ่งก้าวแล้วหลบหนีไปจากที่นั่น
เหลียนเฟินรีบไปหาหลวนเล่อ “ศิษย์พี่ บาดเจ็บที่ใดหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าได้กังวล” หลวนเล่อยิ้มให้เขา
“แต่ข้าบาดเจ็บ หูย แสบไปหมดแล้ว” เสียงของชายขอทานดังขึ้นเรียกร้องความสนใจ
“เช่นนั้นรักษาแผลให้เขา แล้วพาไปส่งศาลาว่าการดีหรือไม่” หลวนเล่อถามความเห็นของศิษย์น้อง
“ดีขอรับ อย่างน้อยที่นั่นก็มีทหารอารักขาพอสมควร ข้าอยากถามเบาะแสเพิ่มเติมด้วย” เหลียนเฟินครุ่นคิด
“ท่านนักพรต ข้าอยู่กับท่านไม่ได้หรือ ข้ากลัวคนผู้นั้นจะกลับมาทำร้ายข้าอีก หากเขาเป็นปีศาจเล่า ข้ายังไม่อยากตาย ช่วยพาข้าไปด้วยเถิดขอรับ ข้ากลัวจริง ๆ” หลินหลีเหว่ยแสดงละครให้สมบทบาทเพราะมีแผนใหม่ในใจ
ครั้นเห็นว่าทั้งสองคนไม่ตอบตกลงเสียทีจึงทำท่าจะร้องไห้กราบแทบเท้าให้เห็นใจ
“ก็ได้ ๆ คืนนี้เจ้าไปกับพวกข้าก็ได้” หลวนเล่อรีบบอก
จากนั้นทั้งสามคนก็พากันเดินกลับโรงเตี๊ยม หลินหลีเหว่ยได้นอนในห้องว่างใกล้กับห้องเหลียนเฟิน
“ศิษย์พี่ ท่านนอนหลับให้สบายเถิด ข้าจะเฝ้ายามต่อเอง” เหลียนเฟินบอกนางก่อนจะแยกย้ายกันเข้าห้อง
เขาร่ายอาคมป้องกันแล้วนั่งฟื้นพลังปราณที่เสียไปอย่างเงียบ ๆ
ห้องเล็กทางด้านซ้ายมีเสียงกุกกักเบา ๆ หลินหลีเหว่ยกำลังร่ายอาคมจุดกำยานส่งผ่านมาที่ห้องของเหลียนเฟิน
กลิ่นของมันชวนให้ง่วงเหงาหาวนอนจนเหลียนเฟินต้องเอนกายนอนบนเตียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ครั้นแน่ใจแล้วว่าเป้าหมายหลับลึก เขาจึงแอบย่องเข้ามาในห้อง ในมือถือยาเม็ดสีสันประหลาดมาด้วย
คนผู้หนึ่งที่ล่วงล้ำเข้ามาอ่านความคิดของหลินหลีเหว่ยถึงกับยิ้มมุมปาก
“เจ้าหนูสกปรกคิดจะเปลี่ยนร่างตบตาข้าอีก?” เขาพึมพำกับตัวเอง
หวังเยี่ยนหลงนึกสนุกกระโดดเข้าไปดูเหตุการณ์ใกล้ ๆ อยากเห็นยามที่หลินหลีเหว่ยเลาะเนื้อหนังของนักพรตผู้นั้นออกมา
ยาเม็ดประหลาดถูกกรอกเข้าปากของเหลียนเฟิน สีหน้าของหลินหลีเหว่ยตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว
“หน้าตาดียิ่งนัก” เขาพึมพำพลางลูบใบหน้าของเหลียนเฟิน ในใจโลดเต้นจะได้สวมร่างของศิษย์วังธาราเหมันต์ จากนั้นเขาจะรีบซ่อนร่างจริงของเหลียนเฟินแล้วเผ่นหนีก่อนที่หวังเยี่ยนหลงจะรู้ตัว
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ