“ใครส่งพวกเจ้ามา?” เริ่นหรงฮวาถามเสียงเข้มข้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ฮวาอี้ซึ่งอยู่ในกระถางต้นหญ้า มองเห็นสองแม่ลูกที่ยังไม่ลงมือเสียที นางจึงส่งเสียงเตือน “เหว่ยหยาง เจ้าควรรีบจัดการพวกมัน เดี๋ยวฤทธิ์เกสรจะเสื่อมเสียก่อน” เสียงจากต้นหญ้าทำให้เริ่นหรงฮวาหันขวับไปมอง สลับสายตาระหว่างต้นหญ้ากับลูกชาย นางอยากจะเอ่ยถามแต่สถานการณ์ตรงหน้าเร่งด่วนเสียยิ่งกว่า “ข้ารู้ว่าท่านแม่คงมีคำถามมากมาย เอาไว้จัดการพวกมันก่อนเถิด แล้วลูกจะอธิบายให้ฟังทุกอย่าง” เหว่ยหยางรีบพูดพลางส่งสายตาขอความเชื่อมั่น เริ่นหรงฮวาพยักหน้าแน่น พลันกระชับมีดในมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปปาดคอชายคนหนึ่งอย่างเยือกเย็น เหว่ยหยางเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่ามารดาผู้แสนอ่อนโยนจะสามารถฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล เขาจึงเร่งจัดการกับชายที่เหลือตามด้วยความเด็ดขาด ชายชุดดำที่ยังพอรู้สึกได้มองเพื่อนของตนตายไปทีละคนด้วยความหวาดกลัว เขาพลาดไปแล้ว เขาควรระวังตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ เริ่นหรงฮวาหันไปเห็นสายตาหวาดหวั่นของอีกคนที่ยังเหลืออยู่ นางแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้ากลัวหรือ? เจ้าคงไม่รู้สินะว่าการฆ่าสามีของข้า ทำลายบ้านที่ข้าเคยอยู่ มันต้องชดใช้มากแค่ไหน… แค่นี้ยังไม่สาสมเลยด้วยซ้ำ!” นางดึงผมชายชุดดำนั้นขึ้น เงื้อมีดปาดคอจนเลือดทะลักออกมาเป็นสาย ชายผู้นั้นขาดใจตายทันที ฮวาอี้เฝ้ามองอยู่ด้วยความสะพรึง ใจสั่นระรัว ‘ต่อไปข้าจะไม่ทำให้มารดาของเหว่ยหยางโกรธเป็นอันขาด…’ นางครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด เหว่ยหยางเองก็ไม่ต่างกัน เขาตกตะลึงไม่น้อยกับการกระทำของมารดา ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนโยนและอ่อนหวาน บัดนี้กลับเด็ดขาดราวกับนักฆ่าผู้ช่ำชอง เมื่อคลายความโกรธลงบ้าง เริ่นหรงฮวาหันมองลูกชาย สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้าเห็นแม่เป็นเช่นนี้… ยังจะรักแม่อยู่หรือไม่?” เหว่ยหยางเดินเข้าไปโอบกอดนางไว้แน่น “ลูกเข้าใจขอรับ พวกเราจะช่วยกันแก้แค้นให้ท่านพ่อและปกป้องครอบครัวนี้ให้ได้” “เพราะความอ่อนแอของแม่ในวันนั้น… บิดาเจ้าจึงต้องตาย ต่อไปนี้แม่จะไม่ยอมอยู่เฉยอีก” เสียงของนางแน่นหนัก ก่อนจะเสริมต่อด้วยความเด็ดขาด “แต่ตอนนี้ เราต้องจัดการร่างพวกมันก่อน แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกแม่ใช่หรือไม่?” “ข้าคิดว่าเราควรนำศพพวกมันไปทิ้งบนเขา ให้สัตว์ป่าจัดการ ส่วนเรื่องของต้นหญ้าน้อย ข้าจะเล่าให้ท่านแม่ฟังแน่นอนขอรับ” เหว่ยหยางกล่าวด้วยความหนักแน่น แม้จะรู้ว่าฟังดูเหลือเชื่อ แต่นั่นคือเรื่องจริง และเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยตาตนเองเท่านั้น… ทั้งสองช่วยกันแบกร่างไร้วิญญาณของทั้งห้าคนไปทิ้งยังภูเขาในจุดที่ไม่มีใครสามารถค้นพบได้ง่าย เมื่อจัดการลบเลือนร่องรอยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เริ่นหรงฮวาก็พาบุตรชายมานั่งลงเพื่อสอบถามในเรื่องที่ยังคงติดค้างในใจ นางจ้องหน้าของเหว่ยหยางอย่างนิ่งสงบ “เจ้ามีสิ่งใดอยากบอกแม่หรือไม่” น้ำเสียงของนางเรียบเฉย หากแต่แฝงแววจริงจัง เหว่ยหยางเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของมารดา ก็ไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป เขารีบอธิบายออกไปทันที “เรื่องที่ท่านแม่สงสัย… ลูกมิได้ต้องการปิดบัง เพียงแต่กลัวว่าหากพูดออกไป ท่านอาจไม่เชื่อขอรับ” “ตอนนี้แม่เชื่อเจ้าแล้ว พูดมาเถอะ อย่ามัวอ้อมค้อมอยู่เลย” หรงฮวาเอ่ยพร้อมทั้งเหลือบมองต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่หน้าชานบ้าน เหว่ยหยางมองมารดาด้วยรอยยิ้มบาง “ข้าเองก็ไม่รู้จะเริ่มเล่าอย่างไรดี เพราะแม้แต่นางเองก็มิอาจบอกได้ว่านางคือสิ่งใดแน่ชัด แต่เท่าที่ลูกพอรู้… นางสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ และยังมีพลังเวทรักษาได้ อาการป่วยของท่านแม่ ก็เป็นนางที่ช่วยรักษาให้” เขาอธิบายเท่าที่ตนพอเข้าใจ หวังเพียงให้มารดาเข้าใจได้ง่ายขึ้น เริ่นหรงฮวารับฟังทุกถ้อยคำจนจบ แม้ความสงสัยยังคงไม่มลายหายไปทั้งหมด แต่บางเรื่องก็เริ่มกระจ่างในใจ นางไม่รู้เลยว่าต้นหญ้าวิเศษเช่นนี้มาอยู่ที่บ้านได้อย่างไร เพราะตอนที่นางย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ยังไม่เคยเห็นต้นหญ้านี้มาก่อน สายตาของนางเหลือบมองลูกชายที่มีแววตาเปล่งประกายเมื่อเอ่ยถึงต้นหญ้านั้น ‘หรือว่าลูกชายของนางจะตกหลุมรักต้นหญ้าน้อยเข้าเสียแล้ว…ไม่ได้การ นางต้องพบต้นหญ้าน้อยในร่างมนุษย์สักครั้ง เพื่อดูว่านางเป็นคนดีหรือไม่’ เมื่อเหว่ยหยางเห็นสีหน้าของมารดายังเต็มไปด้วยความคิด เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ยังมีเรื่องใดอยากถามลูกอีกหรือไม่ขอรับ” เสียงเรียกของเขาดึงสติหรงฮวากลับมา นางหันไปสบตาบุตรชายอีกครั้ง “มีสิ… แม่อยากพบต้นหญ้าน้อยของเจ้าสักครั้ง” นางกล่าวพลางจับจ้องสีหน้าของลูกชาย “ท่านแม่อยากพบนางหรือขอรับ? เรื่องนี้ไม่ยากเลย แต่ขอให้ลูกได้ถามความสมัครใจของนางเสียก่อน เพราะนางสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เฉพาะคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงยินดี “เจ้าลองไปพูดกับนางก่อน ในเมื่อพวกเราอยู่บ้านเดียวกัน ก็ควรทำความรู้จักกันบ้าง จะได้ไม่เคอะเขิน” หรงฮวาพูดพลางยิ้มบาง ๆ ในใจเริ่มจินตนาการถึงต้นหญ้าน้อยในร่างคนที่น่าจะน่ารักไม่เบา “ได้ขอรับ ท่านแม่เข้าไปพักผ่อนเถิด ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่างดีเลย” เหว่ยหยางกล่าวพลางมองฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี คืนนี้พวกเขาทั้งลากศัตรูมาจัดการ และนำร่างไปซ่อน ทำเอาเหนื่อยแทบหมดแรง กว่าจะมานั่งพูดคุยเรื่องต้นหญ้าน้อยก็เป็นยามดึกเสียแล้ว “เช่นนั้นก็ได้ แม่จะไปนอนพักก่อน เจ้าก็อย่าฝืนตัวเองนัก ไว้ค่อยคุยกันอีกทีตอนเช้า” หรงฮวากล่าวจบก็ลุกเดินเข้าห้องของตน ใช้น้ำสะอาดเช็ดเนื้อตัวอีกครั้งก่อนเปลี่ยนชุดใหม่ นางไม่ต้องการนอนหลับไปพร้อมกับคราบเลือดที่ยังติดอยู่กับเสื้อผ้า… ทางด้านเหว่ยหยาง หลังจากส่งมารดาเข้านอนแล้ว เขาเดินไปยังจุดที่ต้นหญ้าน้อยตั้งอยู่ตามปกติ ยังไม่คิดจะรบกวนนางในคืนนี้ คงไว้รอเช้าแล้วค่อยเอ่ยถาม เมื่อกลับเข้าห้อง เขาเช็ดเนื้อตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวลงนอน ความเหนื่อยล้าจากการลากศพทั้งห้าขึ้นภูเขา ทำให้เขาหลับสนิททันที แม้จะมีร่างกายแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน แต่เมื่อใช้แรงมากเกินไป ย่อมต้องอ่อนล้าเป็นธรรมดา รุ่งเช้า เหว่ยหยางตื่นขึ้นด้วยเสียงบางอย่างที่ดังมาจากนอกห้อง ‘ท่านแม่คงตื่นแล้ว ข้านอนหลับไปนานเพียงใดกันนะ’ เขาหันมองแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดหน้าต่าง ตอนนี้คงสายมากแล้ว เขาเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องครัว แล้วจึงพามารดาไปยังจุดที่ต้นหญ้าน้อยตั้งอยู่เช่นทุกวัน แต่เมื่อเดินมาถึง กลับพบว่ามีคนกำลังรดน้ำให้นางอยู่ก่อนแล้ว คงจะเป็นท่านแม่แน่ ๆ ที่อุตส่าห์ลุกมารดน้ำให้แต่เช้า“ต้นหญ้า… เจ้าตื่นหรือยัง?” เหว่ยหยางเอ่ยถามเสียงไม่ดังนักทางด้านฮวาอี้ ต้นหญ้าน้อย นางตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ครานี้นางไม่จำเป็นต้องหลับใหลในสภาพต้นไม้เหมือนแต่ก่อนอีก เพราะนางมีมิติส่วนตัวให้เข้าไปพักผ่อน ทั้งยังสามารถสร้างพื้นที่เพาะปลูกของตนเองภายในนั้นได้ด้วย สมุนไพรและพืชหายากล้วนเจริญเติบโตได้ดีขึ้นภายในมิติของนาง…เช้าวันใหม่อากาศสดชื่น ฮวาอี้เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงความชื้นบริเวณรอบลำต้นของตนเอง นางเงี่ยหูฟังแล้วรับรู้ทันทีว่ามีใครบางคนกำลังรดน้ำให้นางอยู่ แต่เมื่อมองขึ้นไปกลับพบว่าเป็นมารดาของเหว่ยหยางที่ยืนอยู่ตรงนั้น‘หรือว่า… เหว่ยหยางเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังแล้ว?’ ฮวาอี้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ทันใดนั้น เสียงเรียกจากเหว่ยหยางก็ดังขึ้นข้างต้นหญ้า ทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย“ข้าตื่นแล้ว มีเรื่องอันใด ถึงเรียกเสียงดังเช่นนี้?” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ“เจ้าตื่นนานหรือยัง? อย่าเพิ่งโกรธข้าเลย ข้ามีเรื่องจะถามความเห็นของเจ้า… พระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า ท่านแม่ของข้าอยากพบเจ้า” เขาพูดพลางจับจ้องรอคำตอบฮวาอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างแผ่ว
“ใครส่งพวกเจ้ามา?” เริ่นหรงฮวาถามเสียงเข้มข้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นฮวาอี้ซึ่งอยู่ในกระถางต้นหญ้า มองเห็นสองแม่ลูกที่ยังไม่ลงมือเสียที นางจึงส่งเสียงเตือน“เหว่ยหยาง เจ้าควรรีบจัดการพวกมัน เดี๋ยวฤทธิ์เกสรจะเสื่อมเสียก่อน”เสียงจากต้นหญ้าทำให้เริ่นหรงฮวาหันขวับไปมอง สลับสายตาระหว่างต้นหญ้ากับลูกชาย นางอยากจะเอ่ยถามแต่สถานการณ์ตรงหน้าเร่งด่วนเสียยิ่งกว่า“ข้ารู้ว่าท่านแม่คงมีคำถามมากมาย เอาไว้จัดการพวกมันก่อนเถิด แล้วลูกจะอธิบายให้ฟังทุกอย่าง” เหว่ยหยางรีบพูดพลางส่งสายตาขอความเชื่อมั่นเริ่นหรงฮวาพยักหน้าแน่น พลันกระชับมีดในมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปปาดคอชายคนหนึ่งอย่างเยือกเย็นเหว่ยหยางเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่ามารดาผู้แสนอ่อนโยนจะสามารถฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล เขาจึงเร่งจัดการกับชายที่เหลือตามด้วยความเด็ดขาดชายชุดดำที่ยังพอรู้สึกได้มองเพื่อนของตนตายไปทีละคนด้วยความหวาดกลัว เขาพลาดไปแล้ว เขาควรระวังตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้เริ่นหรงฮวาหันไปเห็นสายตาหวาดหวั่นของอีกคนที่ยังเหลืออยู่ นางแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้ากลัวหรือ? เจ้าคงไม่รู้สินะว่าการฆ่าสามีของข้า ทำ
ลูกน้องทั้งสี่พยักหน้ารับคำ ต่างแยกย้ายปลอมตัวเข้าไปสืบข่าวตามบ้านเรือน เมื่อได้ข้อมูลที่อยู่ของสองแม่ลูกชัดเจนแล้ว ทั้งห้าคนก็กลับมารวมตัวและซุ่มดูอยู่หน้าบ้านเงียบ ๆ อย่างมีพิรุธด้านฮวาอี้ ขณะนั้นนางเริ่มชินกับพลังเวทที่สามารถใช้สอดส่องสิ่งรอบตัวผ่านต้นหญ้าชนิดเดียวกัน เมื่อนางตรวจสอบพื้นที่รอบหมู่บ้าน ก็พบกับชายแปลกหน้าห้าคนที่กำลังแอบซุ่มดูบ้านของเหว่ยหยางอย่างน่าสงสัย กลิ่นอายของพวกมันเต็มไปด้วยเจตนาร้าย นางขมวดคิ้ว รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนความกังวลเริ่มกัดกินใจ ฮวาอี้รู้ว่าเหว่ยหยางคงไม่สามารถต่อกรกับคนทั้งห้าได้ หากพวกมันบุกเข้ามาจริง นางจึงตั้งใจจะเตือนเขาให้เตรียมตัวรับมือ และคิดหาทางช่วยอีกแรงหนึ่งระหว่างที่นางกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น เหว่ยหยางก็กลับมาจากการล่าสัตว์บนเขา เขาเดินมาหาต้นหญ้าน้อยเหมือนเช่นทุกวัน เมื่อเห็นว่าต้นหญ้าเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความห่วงใย“เจ้าต้นหญ้าน้อย วันนี้ดูเจ้าจะไม่สดใสเลยนะ”ฮวาอี้ไม่รอช้า นางรีบบอกสิ่งที่พบให้เขารับรู้ทันที “เหว่ยหยาง รอบ ๆ บ้านของเจ้าตอนนี้ ข้าตรวจพบชายแปลกหน้าห้าคน ข้าเชื่อว่า
ผ้าแพรแทบกลั้นยิ้มไม่ได้ นางดีใจยิ่งนักที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้เสียที “เจ้าช่วยขุดข้าไปปลูกที่อื่นได้ไหม ข้าเบื่อเจ้าไก่พวกนี้เต็มที!”เมื่อได้ยินคำขอร้องแรก เหว่ยหยางหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ “ได้สิ ข้าจะย้ายเจ้าไปปลูกในกระถางดี ๆ สักใบ…แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นอะไร?”“เจ้าขุดพร้อมกับดินที่ข้าอยู่ด้วยก็แล้วกัน ข้าอาจจะเงียบไปสักพักหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าพลังของข้ากำลังอ่อนลง” เสียงของผ้าแพรเบาลงตามแรงวิญญาณที่ค่อย ๆ ถดถอยเหว่ยหยางไม่รอช้า เขารีบหากระถางพร้อมตักดินโดยรอบต้นหญ้ามาด้วยอย่างระมัดระวัง ในขณะที่มือขุดดินอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังอบอุ่นบางอย่างจากต้นหญ้า หรือเขาจะคิดไปเอง?เมื่อจัดการย้ายต้นหญ้าเสร็จแล้ว เขานำกระถางไปวางไว้ใต้ชายคา ให้แสงแดดอ่อนส่องถึงอย่างพอดี ขณะนั้นเอง มารดาเดินผ่านมาเห็นเข้าโดยบังเอิญเริ่นหรงฮวาเลิกคิ้ว มองกระถางในมือของลูกชายด้วยความฉงน “เจ้าปลูกต้นหญ้าไปทำไมกัน?”เหว่ยหยางหันมายิ้มบาง ๆ “ต้นหญ้าต้นนี้เป็นเพื่อนของข้าน่ะขอรับ ข้ารู้สึกผูกพันกับมันเหลือเกิน ว่าแต่…ท่านแม่รู้จักชื่อของต้นหญ้านี้หรือไม่?”เริ่นหรงฮวาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วพยักหน
“เจ้าช่างโชคดีนัก ที่มีลูกชายกตัญญูเช่นนี้…” ฟ่านหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว สายตามองไปยังแม่ลูกอย่างเงียบงัน ความทรงจำถึงลูกที่จากไปทำให้นางรู้สึกอ้างว้างในหัวใจ ฤดูหนาวปีนี้ นางต้องอยู่เพียงลำพังอีกครั้งเริ่นหรงฮวาจับความรู้สึกของนางได้ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านป้า หากท่านไม่รังเกียจ มาอยู่กับพวกเราก็ได้นะเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เราสองแม่ลูกยินดีต้อนรับท่านเสมอ”ฟ่านหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ และเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วย “ขอบใจในความหวังดีของพวกเจ้านะ… แต่ข้ายังละทิ้งบ้านที่เคยมีครอบครัวอยู่ด้วยกันไม่ลง หากวันใดข้าตัดใจได้ ข้าจะย้ายมาอยู่กับพวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้… ดูแลตัวเองให้ดี หิมะกำลังตกหนักขึ้นทุกวัน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”นางกล่าวลาทั้งสอง และหันหลังกลับไปด้วยแววตาที่ยังมีรอยเศร้าทางด้านผ้าแพรที่ยังคงสิงอยู่ในต้นหญ้า มองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกปนเป ความอบอุ่นระหว่างคนและบ้านใหม่ทำให้นางยิ่งรู้สึกเดียวดาย ‘นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้เกินเดือนแล้วสินะ…’ ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น ทำให้จิตใจของผ้าแพรยิ่งหม่นหมอง ดอกหญ้าสีม่วงที่นางสิงสถิตอยู่ก็พลอยเหี่ยวเฉาลงด้วยอารมณ์ที่แปรเปลี
วันต่อมา เหว่ยหยางทำกิจวัตรเหมือนเดิม เขาพยุงมารดาไปทำธุระส่วนตัว ให้อาหารไก่ แล้วอาบน้ำยามเช้า ก่อนจะมานั่งลงข้างเล้าไก่ เอ่ยทักต้นหญ้าสีม่วงที่เติบโตขึ้นกว่าเดิม“เจ้าต้นหญ้าน้อย เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุด” เขาระบายความรู้สึกในใจอย่างผ่อนคลาย จ้องมองดอกไม้พลางเอื้อมมือแตะปลายใบอ่อนแผ่วเบาเขารู้สึก… สบายอย่างประหลาด ทุกครั้งที่สัมผัสต้นหญ้านี้ผ้าแพรที่สถิตอยู่ในต้นหญ้าเงียบฟังเรื่องราวของเด็กชายอย่างตั้งใจ นางอยากจะปลอบโยน อยากจะโอบกอดเขา แต่ก็ทำไม่ได้ ได้เพียงแค่สั่นไหวใบอ่อนเพื่อตอบรับอย่างสุดกำลังวันแล้ววันเล่า เหว่ยหยางมักจะมานั่งพูดคุยกับต้นหญ้าสีม่วงต้นนี้เป็นประจำ เขาระบายสิ่งต่าง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนผ้าแพรก็เฝ้าฟังและเผลอผูกพันกับเด็กชายมากขึ้นทุกที… และในวันที่ไม่เห็นเขา นางก็รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก…ก่อนที่ฤดูหนาวจะย่างกรายมาถึง เริ่นเหว่ยหยางได้ขอให้ป้าฟ่างหนิงช่วยแนะนำช่างที่ไว้ใจได้เพื่อมาสร้างบ้านหลังใหม่ ท่านป้าจึงพาเขาเข้าเมืองซานเฉิง และในที่สุดก็สามารถว่าจ้างช่างฝีมือคนหนึ่งตกลงราคากันที่สามตำลึงทองฟ่านหนิงถึงกับตาโต เมื่อได้ยินราคาที