LOGINตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน
รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน
“คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้
“เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า”
เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง
“ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร”
นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ
“เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
“ข้าไม่เอาด้วยหรอก ไม่อยากยุ่งเรื่องรักใคร่ของผู้อื่น”
ซูเม่ยกล่าวพลางแกะมือหนาที่จับแขนนางไว้แน่น ทว่าแรงของนางกลับสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้ ยิ่งนางพยายามมากเพียงใด อีกฝ่ายกลับยิ่งกระชับมือหนาไว้แน่นมากขึ้น จนหญิงสาวต้องส่งสายตาตำหนิเตือนคนเบื้องหน้า
“นี่คุณชายเพ่ย ท่านจะปล่อยข้าได้หรือยัง”
“เจ้ารับปากช่วยข้าก่อนสิ”
อี้เฉิงดื้อรั้นเช่นเด็กน้อยจนนางเองระอากับการกระทำชอบบีบบังคับคนอื่นเช่นนี้
“ท่านไม่มีอะไรที่นางชอบเลย แล้วจะทำให้นางชื่นชอบในตัวท่านได้อย่างไร”
“ปล่อยข้าได้แล้ว!”
ซูเม่ยขมวดคิ้วแน่น แขนขาวผ่องของนางเริ่มมีสีแดงจากแรงที่พยายามดินให้หลุดจากมือบุรุษตรงหน้า อี้เฉิงที่มองเห็นเนื้อขาวแดงเป็นปื้นจากความเอาแต่ใจของตนจึงยอมปล่อยแต่โดยดี
“เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไร” แววตาดื้อนั้นแปรเปลี่ยนเป็นขอความเห็นใจในทันที
“ทำเช่นเดียวกับที่พี่ชายท่านทำ” ซูเม่ยตอบส่ง ๆ ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป
“เจ้าจะช่วยข้าด้วยใช่หรือไม่” อี้เฉิงยังไล่ตามหลังมาไม่หยุด
“ไม่!”
“เหตุใดข้าต้องช่วยท่าน?”
ซูเม่ยไม่คิดจะหันกลับไปสนทนาอีก นางเดินจ้ำอ้าวมุ่งหน้าไปยังเรือนสาวใช้ในทันที
“หากคุณหนูเจียงยอมช่วย ข้าจะช่วยขอร้องท่านพ่อเรื่องตราอภัยโทษนั่นอีกแรง”
สิ้นคำพูดของอี้เฉิงฝีเท้าของซูเม่ยหยุดชะงักลงทันที พลางหันไปยังเจ้าของเสียง
“ท่านพูดจริงหรือ”
ดวงตาเป็นประกายของสตรีในชุดสาวใช้ทำอี้เฉิงอดยกยิ้มไม่ได้
“ข้าพูดคำไหนคำนั้น”
“เช่นนั้นข้าตกลง” นางกล่าวด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม
ซูเม่ยเริ่มใช้สายตาสำรวจบุรุษเบื้องหน้า การจ้องมองทุกส่วนของร่างกายของนางทำอี้เฉิงวางตัวไม่ถูก
“ข้าว่าคุณชายเพ่ยควรเริ่มจากการทำตัวให้เหมือนบัณฑิตเสียก่อน”
“ข้าไม่เหมือนบัณฑิตตรงไหน?” อี้เฉิงมองสำรวจตัวเอง
“ข้าว่าท่านควรเปลี่ยนเป็นถามว่า มีส่วนตรงไหนที่ดูเหมือนบัณฑิตน่าจะง่ายกว่า” ซูเม่ยเอียงคอพลางใช้นิ้วชี้วาดวงกลมในอากาศเบื้องหน้าของอีกฝ่าย
“คุณหนูเจียงกล่าวหนักไปหรือไม่” อี้เฉิงดูไม่สบอารมณ์
“แล้วข้าควรทำเช่นไร”
“ทำเหมือนคุณชายใหญ่ แต่งกายเหมือนเขา พูดจาเหมือนเขา รู้ตำราเช่นเขา ท่านทำได้หรือไม่”
“พี่ชายข้าแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำทุกวันเช่นนี้เจ้าชอบหรือ” อี้เฉิงไม่ชอบการแต่งกายเช่นนั้นเป็นทุนเดิม
“ไม่ชอบ แต่คุณหนูมู่ชอบนี่”
“เอาเถอะ เราเริ่มจากรู้ตำราจะดีกว่า” ซูเม่ยเปลี่ยนบทสนทาเมื่อเห็นอี้เฉิงมีท่าทีคิดหนักไม่น้อย
“ได้! จากนี้ข้าจะอ่านตำราให้หนักขึ้น เช่นนั้นข้ากลับเรือนก่อน” อี้เฉิงกล่าวจบก็หันกายกลับเรือนในทันที ปล่อยให้อีกฝ่ายมองตามหลังเขาไป
“เจ้ากับน้องชายข้าเข้ากันได้ดีไม่น้อย”
เสียงปริศนาดังขึ้นทำซูเม่ยที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งตกใจ ก่อนจะรีบหันหาที่มาของเสียง กลับพบหยางอี้เดินออกมาจากด้านหลังของเรือนเก็บของ
“คุณชายใหญ่” ซูเหม่ยยอบกายเคารพ
“เหตุใดถึงอยู่ที่นี่ได้เจ้าคะ” นางถามอย่างสงสัย
“ข้าเอาของมาเก็บ กลับเจอเด็กสองคนกำลังนินทาข้าอยู่จึงไม่กล้าเดินออกมา ยืนรออยู่นานจนเหมื่อยขาไปหมด”
หยางอี้จ้องหมองสตรีเบื้องหน้าด้วยสายตาเอาเรื่อง พลางเคาะพัดในมืออย่างคาดโทษ ทำซูเม่ยที่ถูกจับได้ยิ้มแห้งโดยไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ
“เหตุใดต้องการตราอภัยโทษจากท่านพ่อ เจ้าไปทำความผิดใหญ่หลวงมาหรือ”
คำถามของบุรุษตรงหน้าทำให้ซูเม่ยหุบยิ้มในทันที สีหน้าของนางบ่งบอกถึงความเป็นกังวลอย่างชัดเจน
“หากเจ้าไม่ยอมบอก ข้าจะนำเรื่องที่เจ้ากับอี้เฉิงกำลังจะทำบอกกับฮูหยินเอกเอง” หยางอี้ยกคิ้วอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
“นี่!” แม้อยากต่อว่าแต่นางกลับไม่มีอำนาจพอ
“บิดาข้าอาจารย์เจียงแห่งซานหลิน แต่งกวีดูแคลนฮ่องเต้จึงถูกจับเข้าคุกหลวง ข้าเลยอยากได้ตราอภัยโทษเพื่อช่วยเขา จึงบากหน้ามาขอร้องฮูหยินใหญ่ที่เคยเป็นสาวใช้ของท่านแม่”
ซูเม่ยไม่มีทางเลือกจึงต้องอธิบายทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง โดยที่หยางอี้มีท่าทีตกใจไม่น้อย
“เจ้าหมายถึงบัณฑิตเจียงเหลียนไห่น่ะหรือ”
“เช่นนั้นที่เจ้าเป็นสาวใช้ ก็เพราะรอบิดาข้ากลับมาใช่หรือไม่”
“อือ” นางพยักหน้ารับ
หยางอี้มองสตรีเบื้องหน้าด้วยอารมณ์หลากหลาย เขานับถือในความใจกล้าของนางที่เดินทางมาไกลถึงเพียงนี้เพื่อขอร้องคนที่ตนเองไม่รู้จัก ทั้งยังสงสารที่แม้ว่านางจะรั้งรออยู่นานเพียงใด บิดาของตนก็มิยอมยกตรานั่งให้แน่
“คุณหนูเจียง เช่นนั้นข้าอยากเตือนเจ้าบิดาข้าไม่ใช่คนที่จะใจอ่อนเห็นใจผู้อื่น การรอของเจ้าจะเสียแรงเปล่า”
หยางอี้เห็นใจความพยายามของนาง จึงตัดสินใจให้นางรับรู้ความจริงตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไม่เสียเวลาเปล่า
ซูเม่ยจ้องมองชายที่ปกติมักเย็นชา ทว่าวันนี้กลับรู้จักเป็นห่วงผู้อื่น
“ขอบคุณคุณชายใหญ่ที่เตือน ข้ารู้ดีว่าเรื่องจะเป็นเช่นไรแต่ก็ยังอยากลองดู” ซูเม่ยกล่าวจบก็ยอบกายจากไปทันที
หยางอี้ได้แต่มองตามหลังร่างบาง แต่ภายในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งเมื่อเห็นท่าทางเศร้าหมองของนาง
ภายในท้องพระโรงเจิ้งหมิงยังคงประทับอยู่บนบัลลังก์ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างไม่เห็นด้วยกับการกังขังเหลียนไห่ไว้แต่ไม่ทำการใดเลย
“ทูลฝ่าบาท ทรงจะให้ตัดสินโทษนักโทษเจียงเหลียนไห่อย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมยุติธรรมอดสงสัยไม่ได้
“ข้าไม่คิดจะตัดสินโทษใด ๆ เรื่องเท่านี้จับขังไว้สองสามเดือนแล้วก็ปล่อยกลับไปเถอะ หากข้ายิ่งลงมือราษฎรยิ่งจะเชื่อตามบทกวี”
ดำรัสเรียบง่ายของฮ่องเต้กลับทำให้ขุนนางใหญ่หลายคนไม่พอใจ ด้วยคนที่ถูกว่าหลายรวมพวกตนอยู่ด้วย เจ้ากรมยุติธรรมลอบสังเกตสีหน้ามหาราชครูโจวในทันที
“ฝ่าบาทหากทำเช่นนี้ยิ่งจะทำให้เหล่าบัณฑิตได้ใจ คิดจะแต่งบทกวีหรือบทความวิจารณ์ราชสำนักอย่างไรก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้ากรมยุติธรรมยังค้านหัวชนฝา ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วไม่น้อยใบหน้าที่เคยเรียบเฉย บัดนี้กลับแดงก่ำด้วยโทสะ
“พวกท่านจะเรื่องมากไปไยกับบทกวีจากบัณฑิตไร้ชื่อคนหนึ่ง ได้! เช่นนั้นข้าจะนำเขาไปขังในคุกลับของข้าไม่ให้เห็นแสงสว่างสักสามเดือน พวกท่านคงพอใจแล้วนะ”
เจิ้งหมิงกล่าวจบไม่รอให้ขุนนางคัดค้าน กลับลุกจากบัลลังก์ออกจากท้องพระโรงในทันที โดยที่เหล่าขุนนางไม่สามารถขัดขวางได้อีก ได้แต่ก้มรับบัญชาของฝ่าบาท
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







