บทที่ 83: เสียงที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ – เมื่อทุกคนเริ่มอ่านชื่อ
ไม่ใช่เสียงของพระ
ไม่ใช่เสียงของนักสวด
ไม่ใช่เสียงของผู้นำหรือผู้รู้
แต่คือเสียงของ “ทุกคน”
ที่เคยเงียบ และเลือกจะไม่เงียบอีก
มันเริ่มจากหญิงชราผู้ขายข้าวปั้นหน้าวัดร้าง
คืนต่อมา เธอเดินเข้าไปในวัด
“ยูเฮ...ข้ายังรอเสียงเจ้าทุกคืนฝน”
ไม่มีใครตอบ
เสียงต่อมาเป็นของช่างตีเหล็ก
ในคืนพระจันทร์ครึ่งดวง
ไม่มีกฎ
อินะนั่งอยู่ริมวง
ซาโยะเคยถูกสั่งห้ามพูดชื่อน้องชาย
“อิจิโร่...ครั้งนี้ ข้าจะไม่ให้เจ้าถูกลืมในบทที่ไม่มีชื่อเจ้า”
และแม้เสียงเธอจะเบา
“ข้าจะเขียนชื่อนั้นไว้ให้คนรุ่นต่อไปเห็น”
ศาสนจักรเริ่มเสียการควบคุม
เสียงที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ...
และในโลกที่เต็มด้วยเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องผ่านอนุญาต
นักสวดที่เปลี่ยนใจกลางพิธี– เกิดเหตุการณ์คนเทศน์เปลี่ยนคำสวดกลางงานใหญ่**วันนั้นคือวันที่ 5 แห่งฤดูฟื้นฟูแห่งศรัทธาวันพิธีใหญ่ของศาสนจักรกลางพระนับร้อยจากสิบสองแคว้นรวมตัวกัน ณ ลานสวดหลวงใต้ร่มธงขาวอักษรทองผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจนล้นกำแพงวัดธูปถูกจุดพร้อมกันทุกมุมเสียงกลองโบราณที่ไม่เคยตีเกินสามครั้งในรอบสิบปีดังขึ้นห้า... หก... เจ็ดครั้งหมายถึงพิธีนี้ “ไม่ธรรมดา”พระหนุ่มชื่อ เร็นจูเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้อ่าน “คำสวดแห่งการลืม”บทที่สั่งให้ทุกหมู่บ้าน “ลบ” ชื่อคนที่ขัดแย้งเพื่อให้ความสงบกลับมาเขาคือศิษย์เอกแห่งสายธรรมะอาวุโสผู้เคยเทศน์จนกล่อมทั้งเมืองผู้เชื่อในศรัทธาโดยไม่เคยตั้งคำถามแต่ในคืนก่อนวันพิธีเขานั่งอยู่ลำพังกับสมุดเงาเล่มหนึ่งสมุดที่มีแต่ชื่อชื่อของคนที่เคยยิ้มให้เขาตอนยังเด็กชื่อของคนที่เคยสวดร่วมกับเขาแต่วันนี้... ไม่มีในคำสวดแล้วรุ่งขึ้นท่ามกลางผู้คนนับพันเมื่อเขาก้าวขึ้นแท่น“จงเตรียมใจฟังคำแห่งความสงบ”เสียงประกาศของพระอาวุโสดังลั่นแต่เร็นจู…เงียบเขากางสมุดเงาขึ้นแทนบทสวดอ่านชื่อแรก“คิริโกะ...ผู้ที่สวดคำเดิมจนวันสุดท้าย”คนในศาลางุนงงพระอาวุ
บทเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง– เด็กกลุ่มใหม่เริ่มใช้ดนตรีเป็นเครื่องจดจำชื่อ**เสียงแรก...เริ่มจากสายขลุ่ยไม้ไผ่ที่แตกเล็กน้อยไม่ได้ใส แต่นุ่มลึกไม่ได้ไพเราะ แต่สะเทือนใจอย่างอธิบายไม่ได้กลางลานวัดร้างที่ถูกเผาเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่แล้วเด็กหญิงสามคนกับเด็กชายอีกสองนั่งล้อมวงรอบเครื่องดนตรีทำจากเศษไม้ เศษหม้อ เศษกระจกที่ยังสะท้อนแสงจันทร์ไม่มีใครพูดชื่อพ่อแม่ที่ตายไม่มีใครกล้าพูดว่า “จำ”เพราะ “การจำ” ถูกห้ามด้วยศรัทธาแต่ทุกคน...เริ่ม “เล่น” แทนเสียงกลองที่ตีสองครั้งเบา ๆ หมายถึงชื่อ "เซนะ" หญิงชราที่มอบข้าวให้เด็กก่อนตายเสียงดีดไม้สามหนถี่ หมายถึง “คาโอรุ” เด็กชายที่หายไปหลังการสวดเสียงเป่าขลุ่ยช่วงสั้น ๆ ที่แผ่วเบา หมายถึง “ยูอิ” แม่ที่ตะโกนชื่อลูก ก่อนถูกลากออกนอกหมู่บ้านเพลงนี้ไม่มีเนื้อร้องแต่ทุกเสียง...คือตัวแทนของคนและคนที่ได้ยิน...เริ่ม “จำได้” โดยไม่ต้องจำวันนั้นมีพระเร่ร่อนคนหนึ่งชื่อ อุเคียว เดินผ่านเขาไม่ได้หยุดเทศน์แต่หยุดฟังเด็กคนหนึ่งยื่นขลุ่ยให้เขาเขาส่ายหน้า“ข้าไม่เป่า” เขากล่าวเบา ๆเด็กหญิงตอบ“งั้นก็เงียบ แล้วฟังเหมือนที่ข้าฟังบทสวดของพวกท่านมาตลอดชีวิต”
กำแพงที่เริ่มมีเสียง– พระในศาสนจักรกลางเริ่มแอบเขียนสมุดเงา**ภายในหอคำสวดแห่งเท็นเซ็นจิ ศูนย์กลางศาสนจักรของแผ่นดินกำแพงหินสูงกว่าเจ็ดเมตรที่เคยสะท้อนแต่เสียงพระ สวดแต่คำเดิมซ้ำบัดนี้เริ่มได้ยินเสียง...ที่ไม่เคยมีในบทใดมาก่อนในยามค่ำ ที่โคมธูปล้าแสงพระรูปหนึ่งยืนอยู่ลำพังหน้าแท่นบูชาว่างเปล่าเขาชื่อว่า เซียวอิน — พระลำดับที่ห้าในสายการเทศน์ผู้ไม่เคยพูดนอกตำราผู้ไม่เคยมองตาเด็กแต่คืนนั้น เขาเขียนชื่อหนึ่ง...ด้วยหมึกจาง บนกระดาษสมุดธรรมะเก่าชื่อของ “อาคิ” — เด็กหญิงที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้วผู้พูดชื่อพ่อของตนแทนบทสวด“ทำไมเจ้าถึงไม่สวด?”“ข้ากลัว... ว่าถ้าข้าสวด ข้าจะลืมชื่อพ่อ”วันนั้นเขาเงียบแต่วันนี้... เขาไม่เงียบอีกต่อไปเสียงแรกในกำแพงคือเสียงขีดปากกาเล็ก ๆ ที่จดชื่อทีละคนไม่ใช่เสียงสวดไม่ใช่เสียงสั่งเป็นเพียงเสียงของการ “จำ”ไม่นานนัก สมุดเงาเล่มแรกก็เกิดขึ้นในศาสนจักรกลางถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มที่พระชั้นล่างใช้มีชื่อของหญิงชราในหมู่บ้านที่ถูกสังเวยชื่อของชายที่หายตัวหลังเทศน์ขัดคำและชื่อของเด็กชายที่พูดบทกลอนแทนคำสวดไม่มีคำว่า “ผู้สละตน”ไม่มีคำว่า “ศักดิ์สิทธิ
ศาลาที่ไม่มีลำดับ – เมื่อเสียงแรกไม่ต้องรอผู้อนุญาตศาลาไม้ที่หมู่บ้านโยโคะกาวะครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รวมเสียงสวดแบบดั้งเดิมเด็กไม่สามารถพูดหญิงต้องนั่งด้านหลังชายแก่เท่านั้นที่มีสิทธิ์เปิดสมุดแต่ในเช้าวันหนึ่งเด็กชายอายุสิบสองปีลุกขึ้นถือสมุดเล่มบางเขียนคำสั้น ๆ แล้ววางบนเสื่อหน้าเวที“ชื่อแม่ข้า... ข้าไม่รู้จะสวดอย่างไรแต่ข้าไม่อยากให้หายไป”ไม่มีใครสวด ไม่มีใครกล่าวอาเมนมีแต่ความเงียบจนชายชราผู้เคยเป็นประธานพิธีค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินมานั่งข้างเด็กแล้วพูดแค่คำเดียว“ชื่อใคร?”ศาลานั้นไม่มีลำดับอีกต่อไปไม่มีใครรอใบอนุญาตจากวัดไม่มีตารางสวดที่แข็งตายทุกเช้า ใครมา ก็ได้เขียนใครอยู่ ก็ได้ฟังมันไม่ใช่ศาสนามันกลายเป็น ชุมชนในหมู่บ้านข้างเคียงเด็กหญิงผู้ไม่เคยพูดในพิธีเริ่มอ่าน “ชื่อคนที่เธอเห็นตายในสงคราม”ไม่มีใครถามว่าเธอเป็นใครเพราะศาลาไม่มีเวทีมีแต่เสื่อวงกลมที่ใครก็เดินเข้าได้ข่าวไปถึง ตระกูลอาซึกิตระกูลที่เคยยึดมั่นในลำดับพิธีกรรมบุตรชายคนรองถูกส่งมาสังเกตการณ์แต่เขากลับมาด้วยสมุดที่ไม่มีตรามีเพียงประโยคเดียวบนหน้าปก“ข้าเขียน... เพราะไม่อยากให้ใครสวดแทนอีก”เ
ไคเซ็น — พระหญิงที่แปรพักตร์ และ “พิธีฟัง” แห่งแคว้นตะวันตกบนยอดเขาอุเมะโนะอามะซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการสวดขอฝนบัดนี้เปลี่ยนไปโดยไม่มีประกาศจากศาสนจักรไม่มีขบวนไม่มีคัมภีร์มีเพียงเสียงเดียว —เสียงของหญิงที่เคยเป็น “พระ” แต่เลือกจะ “ฟัง”ไคเซ็น คือพระหญิงลำดับสามแห่งวัดอินโบเป็นที่รู้จักในนาม "เสียงแห่งเมฆขาว"เธอเป็นผู้เทศน์บทสวดเงียบผู้สามารถสวดได้โดยไม่มีคำพูดเพียงการเคลื่อนไหวของมือและจังหวะลมหายใจแต่หลัง “พิธีล้างเงา” เริ่มแผ่ขยายเธอเงียบ… และเมื่อเธอพูดอีกครั้งคำแรกของเธอคือ “ขอให้ข้าได้ฟังเจ้า”ณ ลานศาลาร้างแห่งหนึ่งในหมู่บ้านโคคุเระเธอประกาศสิ่งที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ศาสนจักร“ข้าไม่ได้ละทิ้งศรัทธาข้าเพียงเลิกฟังตำราที่ปิดหูคนเป็นและเปิดหูให้เสียงคนตายที่ถูกลืม”เธอเรียกสิ่งนั้นว่า “พิธีฟัง”พิธีฟังไม่ใช่การสวดไม่ใช่การเทศน์และไม่มีคัมภีร์มันคือการนั่งเงียบ ๆ เป็นวงกลมโดยมีผู้หนึ่งลุกขึ้นพูด “ชื่อ” ของผู้ที่เคยถูกเผาลืมอีกคนจะเล่า “ความทรงจำ”และทุกคนจะเงียบไม่ขัด ไม่ถาม ไม่ตีความเพียง “ฟัง”สามวันแรกมีเพียงเด็กสาวคนหนึ่งและชายชราขาพิการที่เข้าร่วมวัน
การตอบสนองของศาสนจักรส่วนกลาง – พิธีล้างเงาภายใน โคโตคุอิน — หอพิธีศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนจักรกลางเสียงฆ้องทองสามชั้นดังก้องสะท้อนกำแพงหินพระอาวุโส 9 รูป รวมตัวในพิธีที่ไม่ได้จัดมานานกว่า 37 ปีบนแท่นสูงกลางหอ — สมุดที่ไม่มีชื่อผู้เขียนถูกวางไว้จดหมายของเด็กจากหมู่บ้านชายแดนบทสวดที่ผิดจากตำราและเศษกระดาษเปื้อนหมึกดินถูกเรียงรายพระเร็นชิน ผู้นำสายเคร่งที่สุด กล่าวนำอย่างหนักแน่น“สิ่งใดที่เติบโตจากรากผิด ย่อมกลายเป็นวัชพืชและแม้เงาจะไร้รูปร่าง — มันก็มีพิษเมื่อเกาะอยู่บนหัวใจผู้คน”เขาเสนอให้ประกาศ "พิธีล้างเงา"เป็นพิธีกรรมใหญ่ประจำฤดูใบไม้ร่วงทำในวัดทุกแห่งที่ได้รับ “ข่าวลือศรัทธานอกบท”พิธีล้างเงา คืออะไร?พระอาวุโสจะเดินทางไปยังวัดที่ต้องสงสัยจะเผา "สมุดที่ไม่มีตรา"จะให้ผู้คนกล่าว "บทสาบานสัจจะ" ต่อหน้าพระใหญ่และทุกชื่อที่ถูกจารโดยไม่ได้รับอนุญาต… จะถูกลบด้วยหมึกดำแห่งการปฏิเสธแม้ภายนอกจะดูเป็นพิธีปลอบขวัญแต่เนื้อแท้คือการลบความทรงจำอย่างเป็นทางการกลุ่มพระสายสายลมเงาถูกขึ้นบัญชีลับวัดชายแดนหลายแห่งถูกสั่งย้ายผู้อาวุโสบางคนหายตัวในคืนก่อนพิธีเสียงสะท้อนเริ่มดังจา