“อื้อ~ อืมมมมมม” เมื่อเราทั้งสองคนจ้องหน้ากันไปสักพักก็เป็นเธอที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวก่อน พุ่งตัวเข้ามาประกบจูบผมอย่างรุนแรงจนปากแทบแตก
“อ๊ะ! อืมมมมมม จ๊วบ จ๊วบ~” ทั้งสองจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม ลิ้นของแต่ละคนก็กวาดต้อนลิ้นของกันเป็นพัลวัน จุ๊ฟ! จ๊วบ! จ๊วบ! อื้ออออออออ ปริ้นซ์ยกมือขึ้นมาประคองแก้มของหญิงสาวบนตัวของตน เพื่อให้เธอปรับใบหน้ารับสัมผัสของกันและกันได้ดียิ่งขึ้น ถึงเธอจะเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนแต่ปริ้นซ์ก็รับรู้ได้หลังจากที่จูบกันทันทีว่าเธอนั้นยังมือใหม่สำหรับเรื่องนี้ เพราะด้วยจูบเงอะๆงะๆที่เธอมอบให้เขามานั้นมันเหมือนเด็กที่พึ่งหัดจูบได้ไม่ถึงวัน ถึงเขาจะยังเด็กอยู่แต่เรื่องนี้เขาก็น่าจะมีประสบการ์ณยิ่งกว่าเธอแน่นอน หึ! เมื่อปรับใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าให้ได้องศาที่ดีต่อการจูบแล้ว ปริ้นซ์ก็ไล่ต้อนลิ้นเรียวเล็กอย่างบ้าระห่ำจนเธอคล้อยตามไปกับสัมผัสที่เขามอบให้เธอ ปริ้นซ์บดขยี้จูบให้กับบังเอิญอย่างดุดันและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มเรียนรู้จากที่เขาพยายามที่จะสอนนั้น ปริ้นซ์ก็จูบบดขยี้ให้สมกับที่คนตัวเล็กอยากลองริเริ่มเหตุการ์ณในครั้งนี้ “อื้ออออ......” บังเอิญที่ตอนแรกเป็นฝ่ายคุมเกมส์บัดนี้ได้กลับกลายเป็นเพียงผู้เล่นที่ไม่ต่างจากผู้โดนกระทำ ก็ทำได้แค่เปล่งเสียงครางอื้ออ๊าประท้วงอยู่ในลำคอเท่านั้น เสียงหอบหายใจที่รุนแรงของทั้งคู่ดังขึ้นมาสลับกับเสียงดูดดึงกลีบปากกันไปมา และกลายเป็นทางด้านของปริ้นซ์เองที่รู้สึกว่าตนนั้นอย่างทำกับคนตัวเล็กมากกว่านี้อีก “อื้ออออออออ อื้อ!!!!!!” บังเอิญเริ่มประท้วงออกมาในลำคอของตนเพราะรู้สึกว่าตัวเธอเริ่มที่จะหมดอากาศในการหายใจแล้ว เพราะผู้ชายที่เธอควงมานั้นยังไม่ยอมถอนจูบที่มอบให้เธออย่างดูดดื่มนานนับหลายนาที แต่แทนที่เขาจะถอนจูบให้เธอเขากลับพลิกตัวของเธอลงมานอนใต้อาณัติของเขาแทนและตราตรึงเธอไว้แน่นกับเตียงเพื่อไม่ให้เธอดิ้นหนี ตอนนี้บังเอิญรู้สึกอึดอัดจนเหมือนจะขาดใจให้ได้ เพราะคนบนร่างของเธอไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระซักที เขายังตะบี้ตะบันมอบจูบอันดูดดื่มให้ตัวของเธออย่างหื่นกระหายเหมือนว่าวันนี้โลกจะแตกแล้วไม่ได้ไปจูบกับใครอีก และก่อนที่เธอจะได้ขึ้นสวรรค์เพราะตายจากการจูบจริงๆคนที่อยู่บนร่างของเธอก็ยอมที่จะริมฝีปากออกให้เธอ ทันทีที่เขาผละออกน้ำลายของเราทั้งสองคนที่เหนียวหนืดก็ได้ไหลยืดเป็นทางยาวออกมาด้านนอก แต่ตอนนี้บังเอิญหาได้สนใจตรงนั้นไม่ เพราะตอนนี้เธอที่ได้อิสระจากการจูบที่กระชากวิญญาณนั้นเธอก็รีบโกยอากาศเข้าปอดตัวเองอย่างไวทันที แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก “นี่! ไอ้หัวฟ้า นายจะฆ่าฉันรึไง ห๊ะ!!!” เมื่อบังเอิญลมหายใจกลับมาเป็นปกติแล้วเธอก็รีบตวาดว่าคนตัวโตกว่าทันที เมื่อกี้เธอคิดว่าตัวเองจะได้ไปสวรรค์จริงๆแล้วซะอีก เพราะพยายามทั้งดิ้นทั้งหยิกคนตัวโตแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเขาจะปล่อยให้เธอได้หายใจเลยด้วยซ้ำ ซิงก็ยังไม่ได้เสียจะมาตายอย่างนี้ก็ไม่ได้ป่ะ เผื่อเทวดาถามว่าทำไมถึงตาย เธอจะไปตอบได้ไงว่ากำลังเสียซิงแต่มาตายเพราะกำลังจูบอย่างดูดดื่ม อายเทวดาตายเลย “ไม่มีใครเขาตายเพาะจูบกันหรอกเจ๊ อย่าเวอร์ แล้วนี้หายเมาแล้วหรอ หึ!” ปริ้นซ์ถามคนตัวเล็กใต้ร่างทันทีที่เห็นอย่างตอนนี้เธอดูไม่ได้มีท่าทีที่เมาเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว “ช...ใช่ ทำไม!!” จะให้บอกว่าสร่างเพราะโดนจูบกระชากวิญญาณไปหรอ คนตรงหน้าได้ล้อเธอทันทีจึงต้องทำเสียงแข็งใส่ไปก่อน “ก็ไม่ทำไม เอาไง จะทำไงต่อล่ะทีนี้” พรึบ! “ว๊ายยยย!!!!” บังเอิญร้องออกมาอย่างตกใจทันที เพราะคนตัวสูงได้ล้มลงมานอนบนที่นอนแล้ว พร้อมกับดึงเธอให้ไปขึ้นคร่อมเขาแทนดังเดิม เมื่อบังเอิญที่ไม่ได้มีความเมาหลงเหลืออยู่แล้วก็เริ่มใบหน้าเห่อร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตอนเมาก็คิดว่าคนตรงหน้าหล่อมากแล้ว แต่นี่อะไร พอหายเมายิ่งมองเขายิ่งหล่อจนเธอเองที่เป็นฝ่ายเสียอาการให้กับความหล่อของคนตรงหน้า “โดนจูบแค่นี้เป็นใบ้ไปแล้วหรอเจ๊ เอาไง! จะเอาไงต่อ จะทำต่อไหม?” ปริ้นซ์ถามคนตัวเล็กที่นั่งคร่อมอยู่บนหน้าท้องแกร่งของตัวเองอีกครั้ง เพราะเธอเอาแต่เงียบแล้วก็หน้าแดงอยู่คนเดียวแต่แต่ที่เขายกตัวเธอขึ้นมาไว้ด้านบนของตัวเอง “อะ...อะไรนะ” ? เพราะว่าเอาแต่จ้องหน้าเขาจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างจึงทำให้บังเอิญสะดุ้งจากแรงสะกิดของคนตัวโตกว่า “ผมถามว่าเจ๊จะทำต่อไหม ทำไมเห็นนิ่งๆเงียบๆ” “เอ่ออออ....มะ..ไม่ ฉันไม่อยากทำแล้ว!” ตอนนี้เธอไม่อยากที่จะทำต่อแล้ว เพราะเธอไม่เมาแล้ว! และใช่ที่เธอทำไปนั้นเพราะเธอเมา เธอใช้น้ำเมาเป็นตัวช่วยในแผนการการเสียซิงในครั้งนี้ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้สำเร็จ เพราะตอนนี้เธอได้สร่างเมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความอายมีเต็มร้อย เธอไม่กล้าที่จะทำหรือลงมือกับผู้ชายตรงหน้าต่อแล้ว ถือว่าแผนการในครั้งนี้ของเธอล่มไม่เป็นท่า “อะไรนะ!!!???” ปริ้นซ์ตะโกนถามคนตัวเล็กบนร่างของตนทันทีที่ได้ยินเขาตอบของเธอที่ตอนตัวเองมา “ก...ก็บอกว่าไม่อยากทำแล้วไง ไม่ได้ยินหรอ ไม่ทำแล้วโว๊ย!!!” บังเอิญที่ตะโกนเสียงดังใส่ปริ้นซ์เสร็จก็รีบกระโดดลงจากร่างของปริ้นซ์และรีบเดินลงไปยืนตัวตรงอยู่ที่ปลายเตียงของตัวเองทันที “เป็นบ้าอะไรของเจ๊เนี่ย!!!” ปริ้นซ์ถามคนตัวเล็กที่วิ่งไปยืนตัวตรงอย่างกันหุ่นยนต์อยู่ที่ปลายเตียงอย่างอารมณ์เสีย จะไม่ให้อารมณ์เสียได้ไงก็ไอ้ที่อยู่ในกางเกงของเขามันจะระเบิดอยู่แล้วแต่คนริเริ่มในครั้งนี้กลับปฏิเสธการให้ความร่วมมือซะงั้น “ก็ฉันไม่อยากทำแล้วนี่น่า นะนายกลับไปเถอะนะ” พูดเสร็จบังเอิญก็เดินไปเปิดประตูห้องให้เรียบร้อยโดยไม่ได้ถามความคิดเห็นจากคนตัวสูงเลยสักนิด “ไม่!!! เจ๊เดินกลับมานี่เลย มานี่มา” ปริ้นซ์ไม่ยอมที่จะลุกออกจากเตียงของคนตัวเล็ก พร้อมกับกระดิกนิ้วเรียกให้เธอปิดประตูและเดินเข้าห้องมาหาตัวเองอีกครั้ง “มะ....ไม่ ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากทำแล้ว!!!” บังเอิญก็ไม่ยอมเขาเหมือนกัน เพราะตอนนี้เธอกำลูกบิดประตูแน่นไว้เพื่อเอาไว้เป็นเกาะกำบัง “ย..อย่าเข้ามานะอีตาบ้า ถอยออกไป ฉันบอกให้ถอยออกไป!!!” บังเอิญที่เห็นปริ้นซ์เดินยิ้มเหมือนคนโรคจิตตรงมาที่เธอ เธอก็กำลูกบิดแน่นขึ้นเท่าตัวจนแทบจะหลุดติดมือมาด้วย “ว๊ายยย กรี๊ดดดดดดด~~~” ปังงงงงงง!!! เสียงปิดประตูดังสนั่นลั่นทั้งชั้นของคอนโดแห่งนี้ เป็นฝี(มือ)ตีนของปริ้นซ์นั่นเอง ส่วนคนที่ให้ประตูห้องเป็นโล่กำบังชิ้นสุดท้ายนั่นได้ไปอยู่บนไหล่ของปริ้นซ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ปล่อยนะไอ้บ้า ฉันบอกว่าไม่อยากทำแล้วไง พูดไม่รู้เรื่องหรอ” บังเอิญดีดดิ้นไปมาอยู่บนไหล่ของคนตัวสูงอย่างบ้าคลั่ง ทั้งหยิก ทั้งทุบ ทั้งตีคนตัวโต แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระเจ็ดปีผ่านไป “พ่อครับผมรักพ่อที่สุดเลยครับ ผมจะเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่ทุกวันเลยนะครับ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ” ปริ้นซ์โน้มหน้าลงไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาที่กำลังบอกรักเขาเนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติอยู่ ก่อนที่เขาจะจุ๊บลูกคืนกลับไปด้วย “ครับลูก ไปจำคำพวกนี้มาแต่ไหนครับ” เขาก็ไม่คิดว่าลูกชายแก่นเซี้ยวคนนี้จะพูดบอกรักพ่ออย่างเขาดีๆเป็น “ผมพูดตามที่ครูบอกครับฮี่ๆ” เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำไม่ว่าใครจะถามอะไรก็เลือกจะพูดความจริงออกมาทุกอย่าง “โถ่ลูก โกหกพ่อหน่อยก็ได้ บอกว่าผมคิดเองครับอย่างนี้ก็ได้น่ะลูก” “ไม่ได้ครับ แม่บอกว่าถ้าใครโกหกจะเป็นเด็กไม่ดีแล้วแม่ก็จะให้นอนนอกบ้านด้วยครับ” “อึก” ปริ้นซ์สะอึกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจอลูกชายของตนพูดแบบนั้นออกมา สงสัยเมียเขาจะสอนลูกมาอย่างดีเลยแหะ เขาไม่สามารถหลอกล่ออะไรได้เลยเพราะเจ้าแสบเอาแต่เชื่อฟังเมียเขาอย่างเดียว “วันนี้ไปไหนดีครับน้องธีร์” ลูกชายของผมและเมียสุดที่รักอย่างบังเอิญมีชื่อว่าน้องธีร์ หรือ เด็กชายอิทธิกร ธัญญธราทรัพย์ โดนนามสกุลนั้นเป็นนามสกุลของครอบครัวของผมเอง “ไปห้างครับคุณพ่อ ผมอยากไปกินเค้ก” นั่นแหละคือสิ่งที่ลูกเขาชอบที
“เฮ้อ พวกกูละช็อคมากเลยน่ะอีเจ๊ มึงหายไปแป๊บเดียวกลับมาก็ท้องซะแล้ว” เพื่อนๆต่างก็บ่นให้เธอฟังหลังจากที่เธอเล่าเรื่องราวต่างๆให้พวกมันฟัง “เอ่อน่า อย่าบ่นกูนักเลย แล้วนี่วันนี้ไม่มีงานหรอ” เธอถามทุกคนออกไปเพราะพวกมันมานั่งคุยกับเธออยู่นี่ก็นานมากพอสมควรแล้ว “ไม่อ่ะ เคลียร์งานลูกค้าเสร็จหมดแล้ว ช่วงนี้น่าจะว่างแหละมั้งถ้าไม่มีลูกค้าเข้า” “อุ๊ย ต๊ายตาย นึกว่าใคร ที่แท้ก็อีบังเอิญนี่เอง มาที่นี่ทำไมไม่ทราบ” “อะไรอีปูขาเป๋ อีเจ๊มาแล้วมึงมาเสือกอะไร ห๊ะ” นัททำท่าจะพุ่งเข้าไปหาปูเป้ที่เป็นคู่กัดของทีมพวกเธอแต่ก็โดนเพื่อนๆดึงตัวห้ามเอาไว้ก่อน “อะไรอีนัท มึงนี่โง่เนาะ กฎเขามีไว้ปฏิบัติตามไม่ใช่หรอ ผู้ใดที่ไม่ใช่พนักงานไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ แล้วอีบังเอิญมันก็ลาออกไปแล้วไม่ใช่หรอ กูว่ากูก็ไม่ได้ความจำเสื่อมน่ะ” “แล้วมึงมายุ่งอะไรด้วยห๊ะ” “ก็ไม่ได้อยากยุ่งเท่าไหร่หรอก แต่ในเมื่อพวกมึงไม่ทำตามกฎที่บริษัทตั้งไว้กูคงต้องไปฟ้องท่านประธานสักหน่อยแล้วมั้ง ฮ่าๆๆๆๆๆ” แกร๊ก “ใครจะฟ้องอะไรฉันไม่ทราบ” “ท….ท่านประธาน” ทั้งนัท อาร์ตี้ เก๋และชมพู่ต่างก็พากันเหงื่อตกเมื่อคนที่เปิดประตูเข้
“ตัวเอง เร็วๆหน่อยไหม” “ครับๆๆ เร็วแล้วครับที่รัก” ปริ้นซ์ใสเสื้อผ้าอย่างรีบเร่ง ก็เมียเขาน่ะสิตื่นขึ้นมาบอกว่าวันนี้จะเข้าไปที่บริษัท เขาเลยต้องมารีบแบบนี้ให้เธอนั่นแหละ แถมยังดื้อไม่กินข้าวด้วยน่ะ บอกจะไปกินที่ร้านประจำข้างๆบริษัทแทน เขากลัวเธอจะหิวเลยต้องรีบใส่เสื้อผ้าให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้พาเมียไปกินข้าวในร้านที่เธออยากกิน “เร็วๆ เขาหิวแล้วตัวเอง” “ป่ะครับ ค่อยๆเดินน่ะที่รัก” “แทบจะต่อเท้ากันเดินแล้วเนี่ยตัวเอง เร็วๆเลย” บังเอิญยังคงเร่งปริ้นซ์ไม่หยุด วันนี้เธอรู้สึกขัดหูขัดตาเขาเป็นพิเศษเพราะเธอบอกให้เขารีบก็ไม่รีบสักที เดี๋ยวแม่ก็งอนให้เข็ดซะหรอก “ครับ เชิญครับคุณผู้หญิง” เมื่อเดินมาถึงรถปริ้นซ์ก็รีบวิ่งไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้เมียอย่างรวดเร็วก่อนที่องค์แม่จะลงประทับมาในร่างของเมียเขา “ขอบคุณค่ะ” บังเอิญรีบสอดตัวเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว วันนี้เธอแต่งตัวน่ารักเป็นพิเศษเพราะเป็นชุดที่คุณแฟนเป็นคนเลือกให้นั่นเอง วันนี้มาในชุดเดรสระบายลูกไม้สีชุมพูอ่อนพร้อมกับเข็มกลัดที่ติดไว้ตรงหน้าท้องเพื่อบ่งบอกให้คนที่เห็นรู้ว่าตัวเธอนั่นกำลังตั้งท้องอยู่ ถึงท้องจะนูนออกมานิดหน่
“อยู่นี่” “อยู่ที่กรุงเทพครับ” “ฉันบอกว่าให้อยู่นี่” “ไม่ได้ครับต้องอยู่กรุงเทพ” “ลูกฉัน ฉันจะให้ลูกอยู่กันฉันที่นี่” “แต่นั่นก็เมียผม ต้องไปอยู่กรุงเทพเท่านั้น” “พอค่ะ!!!!” ทั้งสองที่มีปากเสียงกันอยู่หันไปหาคนที่ตะโกนขัดขึ้นมา “ลูกเลือกมาเลยว่าจะอยู่ที่ไหน / ที่รักเลือกมาเลยว่าที่รักจะอยู่ที่ไหน” ทั้งลูกเขยและพ่อตาต่างก็หันไปขอความคิดเห็นจากบังเอิญที่นั่งทำหน้าเอือมระอาอยู่บนโซฟา นี่เธอนั่งฟังทั้งสองคนเถียงกันมาได้ประมาณสิบนาทีแล้ว ไม่รู้ว่าปริ้นซ์ไปพูดอะไรไม่เข้าหูพ่อของเธอก็ไม่รู้ ถึงได้มาลงเอยด้วยการเถียงกันอย่างที่เห็นนั่นแหละ “พ่อคะ พ่อก็รู้ว่าหนูจะเลือกที่ไหนอยู่แล้วนี่คะ จะมาเถียงกันทำไมอีก” “ลูกอ่ะ ไม่คิดจะเปลี่ยนใจกลับมาอยู่บ้านเราเลยหรอลูก” “พ่อขา~ หนูชอบกรุงเทพมากกว่านี่คะ พ่อก็รู้ว่าหนูชอบช็อปปิ้งจะตาย” บังเอิญเดินไปหาพ่อของตัวเองที่อยู่โซฟาอีกตัว พร้อมกับเข้าไปกอดออดอ้อนคนเป็นพ่อใหญ่ “ก็ได้ลูก เห็นว่าเป็นความชอบของลูกหรอกนะ ไม่งั้นพ่อไม่ยอมแน่ๆ” คุณบดินทร์ลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่ พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเขาไม่สำเร็จในการต่อรองกับลูกสาว บังเอ
สามเดือนผ่านไป วันเวลาเลื่อนผ่าน ความสุขของทั้งสองยังเพิ่มขึ้น “ค่อยๆเดินนะที่รัก” ปริ้นซ์พยายามประคองใต้แขนของบังเอิญอย่างระมัดระวัง วันนี้ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้วหลังจากที่เมียเขาต้องนอนเป็นผักเปื่อยอยู่บนเตียงผู้ป่วยมานาน วันนี้เมียของเขาได้รับอนุญาตให้ขยับร่างกายได้แล้ว และต้องเริ่มมากายภาพบำบัดเล็กน้อยเพราะว่านอนนานเกินไปจนกล้ามเนื้อบางส่วนอ่อนแรง ตอนนี้เขารู้สึกสงสารเมียเขาเหลือเกิน ที่กำลังทำหน้าตางอแงเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นแหละเพราะได้รับอนุญาติทั้งทีแต่ตัวเองดันกลับมาเดินเหินแบบปกติยังไม่ได้ “หงึ ปริ้นซ์ งื้ออออ” “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับที่รัก สู้ๆน่ะ แป๊บเดียวเดี๋ยวที่รักก็เดินได้แบบเดิมแล้ว จุ๊บ” ปริ้นซ์หอมไปที่กลางหน้าผากของบังเอิญอย่างให้กำลังใจ “งื้อก็ได้ แต่ตัวเองต้องพยุงเขาน่ะ ห้ามปล่อยน่ะเดี๋ยวเขาล้ม” เธอกลัวว่าตัวเองจะแข้งขาอ่อนแรงแล้วล้มลงไปเนี่ยสิ ถ้าเธอยังตัวคนเดียวเธอคงไม่กังวลเรื่องนี้หรอก “ครับ ผมไม่มีทางปล่อยให้ที่รักล้มแน่นอน” ปริ้นซ์พยุงบังเอิญเดินกายภาพบำบัดอยู่นานนับชั่วโมงก่อนจะให้คนตัวเล็กนั่งวิวแชร์กลับมาที่ห้องพัก ตอนนี้เขาแทบจะมาอยู่โรงพยาบ
“……….” “ว่าไงครับที่รัก” “ม…เมื่อกี้ตัวเองพูดว่าอะไรน่ะ” บังเอิญยังอึ้งไม่หายกับสิ่งที่คนตรงหน้าเธอพูดออกมาก่อนหน้านี้ “ที่รักเรามาแต่งงานกันน่ะครับ” จะให้เขาพูดอีกกี่สิบรอบก็ยอมได้ ขอแค่เธออย่าปฏิเสธเขาเลย “อื้ออตกลง แต่งสิ ป่องแล้วไม่แต่งได้ไง” ตอนแรกก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้หรอก แต่งตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วไง ในท้องเธอเขาก็เสกปริ้นซ์น้อยเข้ามาใส่แล้ว จะให้โอกาสนี้หลุดมือไปได้ยังไง “จริงหรอ ผมดีใจมากๆเลยนะที่รัก จุ๊บๆๆๆ” “อื้อออ พอแล้วมันจั๊กจี๊” นี่เขาอยู่เฝ้าเธอจนไม่มีเวลาไปโกนหนวดเลยหรอเนี่ย ปกติเธอเป็นคนโกนให้เขาเองแหละ “ผมอยากทำมากกว่านี้อีก แต่มันยังทำไมได้ ผมดีใจมากๆเลยที่ที่รักไม่ปฏิเสธผม” เขาอยากดึงเธอมากอดรัดฟัดเหวี่ยงเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังทำไม่ได้ เลยทำให้ต้องจุ๊บแค่ริมฝีปากบางของเธอเท่านั้น “จะปฏิเสธทำไมล่ะ ปริ้นซ์น้อยก็นอนอยู่ในนี้แล้วไม่ใช่หรอคะคุณพ่อ” “ใช่ครับคุณแม่” ปริ้นซ์นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงก่อนจะยื่นมือมาลูบที่หน้าท้องของเมียเบาๆราวกับขนนก เขาไม่กล้าที่จะแตะต้องตัวของเธอแรงมากเพราะกลัวว่าจะกระทบกระเทือนจนถึงลูกในท้อง “จริงด้วยตัวเอง” อยู่ดีบั