ท่านเทพม่อเกวียนพาหมิงหลันมาที่หน้าเผ่ามาร
เผ่ามารและเผ่ามนุษย์อยู่ไม่ไกลจากดินแดนสวรรค์มากนัก และเมื่อมองเห็นประตูที่จะข้ามเขตแดนไปยังเผ่ามาร ใบหน้าที่แสนจะงดงามของหมิงหลันพลันยกยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจ นางจะได้ไปเที่ยวเล่นที่เมืองมนุษย์บ่อยๆ เวลาที่อยู่เผ่ามาร เพราะในครั้งที่อยู่บนแดนสวรรค์ท่านพี่ไป๋เฉียนมิยอมให้หมิงหลันออกมานอกดินแดนบุปผาเลย ที่ได้ลงมาเที่ยวยังเมืองมนุษย์ก็เพราะได้ความช่วยเหลือจากเทพม่อเกวียนและท่านพี่เทียนจุนที่ช่วยนางให้หลบหนีมา ท่านเทพม่อเกวียนเกือบจะได้ขึ้นเป็นสัจจะเทพแล้ว ใบหน้าของท่านเทพนั้นหล่อเหลาจนบรรดาเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ชอบมาหาหมิงหลัน เพื่อให้นางเป็นแม่สื่อให้ “ข้ามาพบท่านจอมมาร…” “เผ่ามารของเราไม่ยินดีต้อนรับเทพเช่นพวกท่านหรอก มีเพียงเทพบุปผาเท่านั้นที่เข้าไปได้..เพียงผู้เดียว!” “บังอาจนักเจ้ามารชั้นต่ำ!!” หมิงหลันรีบยกมือขึ้นมาห้ามปรามท่านเทพม่อเกวียนเอาไว้ นางไม่อยากจะให้ท่านจอมมารมองว่าตัวเองเป็นคนสร้างปัญหาตั้งแต่เริ่มแรก “ท่านเทพม่อเกวียน ข้าเข้าไปเองได้เจ้าค่ะ ขอท่านเทพโปรดวางใจ” หมิงหลันส่งยิ้มให้ท่านเทพม่อเกวียนอีกครั้ง “ฝากท่านเทพม่อเกวียนดูแลท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะขึ้นไปเยี่ยมท่านเทพพร้อมกับลูกในท้องของข้า” “หมิงหลัน เจ้าเป็นถึงเทพบุปผาแห่งสรวงสวรรค์ เจ้ามาถึงที่นี่ก็เพื่อตั้งครรภ์องค์รัชทายาทให้เผ่ามาร แต่กลับมิมีขบวนมาต้อนรับเจ้าอย่างสมเกียรติ ข้ามิอาจทำใจยอมรับได้ หากจอมมารไม่ออกมารับเทพบุปผา ข้าก็จะพานางกลับไปยังสวรรค์ชั้นฟ้า!!” มารน้อยสองตนหน้าประตูเผ่ามารมองหน้ากัน ท่าจะไม่ดีเสียแล้วเพราะหากพวกเขาปล่อยท่านเทพบุปผากลับไปมีหวังได้ถูกลงโทษเป็นแน่ พวกเขาเลือกที่จะขอตัวไปบอกกล่าวแก่ท่านจอมมาร “ท่านเทพมิควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่…” “มิได้ หากแม้วันแรกที่เจ้าก้าวเข้าไปในเผ่ามารยังถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้ เจ้าจะอยู่ที่นั่นได้อย่างไรกัน มารชั้นต่ำพวกนั้นก็จะพากันดูแคลนเจ้า ข้าหายอมไม่!!” หมิงหลันถอนหายใจ นางเลือกที่จะนั่งลงบนขอนไม้เพื่อรอการมาของท่านจอมมารอย่างตื่นเต้น จะได้พบหน้าเขาแล้ว… ใบหน้าที่สลักลึกลงไปในหัวใจนาง บุรุษผู้เดียวที่หมิงหลันนั้นเฝ้าฝันถึง ท่านจอมมารจะอ่อนโยนกับนางรึเปล่า ยามร่วมเตียงเขาจะทำรุนแรงไหม? ถึงหมิงหลันจะยังถือครองพรหมจรรย์แต่นางอ่านตำราปกขาวมาหลายสิบเล่ม นางศึกษาถึงท่วงท่าและการทำรักในรูปแบบต่างๆ จนหมิงหลันมั่นใจว่านางจะสามารถตั้งรับทุกสัมผัสที่ท่านจอมมารส่งมาได้อย่างไม่มีเคอะเขิน.. หมิงหลันยกยิ้มเมื่อสายตามองเห็นเงาร่างกำลังเดินมาทางนี้ นางลุกขึ้นพร้อมกับปัดกระโปรงที่เปื้อนเศษดินออก ใบหน้าที่งดงามนั้นขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ และหัวใจของนางก็กำลังเต้นแรง “ยินดีต้อนรับสู่เผ่ามาร ขออภัยที่ท่านพี่ไม่อยู่ข้าก็เลยอาสามารับเทพบุปผาแทน หวังว่าท่านเทพม่อเกวียนจะมิถือสา…” ใบหน้าของบุรุษที่เดินมานั้นมิใช่ท่านจอมมารหลี่เจ๋อเชี่ยน แต่ทว่าใบหน้าของบุรุษผู้นี้ก็คล้ายคลึงกับท่านจอมมารอยู่หลายส่วน เมื่อครู่เขาเรียกท่านจอมมารว่าท่านพี่ เช่นนั้นบุรุษผู้นี้ก็คงจะเป็นน้องชายของท่านจอมมารสินะ หมิงหลันจับมือของท่านเทพม่อเกวียนเอาไว้ “ข้าอยู่ได้เจ้าค่ะท่านเทพม่อเกวียน หวังอย่างยิ่งว่าในการพบกันครั้งหน้าท่านจะได้เลื่อนขั้นเป็นสัจจะเทพ” ม่อเกวียนถอนหายใจ นางกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว เขายังจะดึงดันสิ่งใดได้อีก “หวังเช่นกันว่าพบหน้ากันครั้งหน้า รอยยิ้มที่งดงามเช่นนี้จะยังคงเด่นชัดอยู่บนใบหน้าของเจ้า” หมิงหลันยกมือขึ้นมาโบกลาท่านเทพม่อเกวียน นางทอดสายตามองแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ จากไปจนมองไม่เห็นท่านเทพม่อเกวียนในสายตาอีกต่อไป “ข้าชื่อว่าหลี่เจ๋อฮั่น เทพบุปผาเรียกข้าว่าเจ๋อฮั่นก็ได้” หมิงหลันเดินตามเดินที่ยาวสุดลูกหูลูกตาเพื่อเข้าไปสู่เผ่ามาร ที่นี่ไม่แตกต่างจากที่นางคิดเอาไว้สักเท่าไหร่ ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งและพื้นดินที่เป็นสีดำสนิท “เรียกข้าว่าหมิงหลันก็ได้เจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านจอมมารไปไหนงั้นหรือ?” เจ๋อฮั่นยกยิ้ม เขาไม่ได้ตอบนางแต่กลับส่งลูกท้อในมือให้นางแทน…เมื่อหมิงหลันมองเห็นลูกท้อสีแดงสดที่ดูน่าอร่อย นางจึงยกขึ้นมากัด “เมืองมนุษย์มีคำกล่าวว่าหากแต่งงาน เจ้าสาวก็ควรจะถือลูกท้อเข้าบ้านฝ่ายชายเพื่อเป็น…” “ขะ….ขอโทษเจ้าค่ะ ข้ากัดไปแล้ว!!” หมิงหลันไม่แน่ใจว่าควรจะคายลูกท้อในปากออกไปดีหรือไม่ แต่หากว่านางคายออกไปก็ดูจะไร้มารยาท หมิงหลันจึงยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ก่อนที่จะกลืนลูกท้อลงไปในคอ เจ๋อฮั่นไม่กล่าวคำใด แต่เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดัง เขายกมือขึ้นมาจับมือของหมิงหลันที่ถือลูกท้ออยู่ ก่อนจะกัดลงไปที่รอยกัดเก่าของนาง โดยที่สายตาของเจ๋อฮั่นยังคงจับจ้องที่ใบหน้างดงามของหมิงหลัน “หวานใช่ไหมเจ้าคะ ในตอนที่ข้ากัดลงไปคำแรกก็รู้สึกได้ถึงรสชาติความหวานของลูกท้อเลย” ไม่หวั่นไหวเลยงั้นหรือ? ทั่วทั้งเผ่ามารและเมืองมนุษย์ไม่มีใครที่จะไม่หวั่นไหวต่อสายตาของเขา อีกทั้งเมื่อครู่เขาก็จงใจกัดโดนมือของนางอีกด้วย… เจ๋อฮั่นมองดวงหน้าหมิงหลันเงียบๆ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะยกสูงขึ้นมา อ่า..อยากได้แล้วละสิ!! “หากเจ้าชอบ ข้าจะพาเจ้าไปเก็บลูกท้ออีกดีไหม” หมิงหลันส่งยิ้มให้เขาอย่างดีใจ น้องชายเป็นคนใจดีเช่นนี้ ท่านจอมมารก็จะต้องเป็นคนอ่อนโยนมากแน่ๆเลย เมื่อไหร่จะได้พบเขากันนะ! “นี่เป็นที่พักที่เจ้าจะอยู่ต่อจากนี้ ตำหนักของข้าอยู่ด้านหลังตรงนั้น หากว่ามีเรื่องสงสัยตรงไหนก็สามารถไปหาข้าได้แม้จะดึกดื่นขนาดไหนข้าก็ยินดีต้อนรับ…หรือหากว่าการไปหาข้ามันไม่สะดวก เจ้าสามารถส่งข้ารับใช้พวกนั้นไปเรียกข้ามาได้เลย…” หมิงหลันส่งยิ้มให้เจ๋อฮั่น “แล้วตำหนักของท่านจอมมารอยู่ที่ไหนเจ้าคะ ท่านพาข้าไปได้หรือไม่?” “มิได้ พี่ใหญ่นั้นไม่ชอบให้คนอื่นไปยุ่มย่ามในตำหนัก เจ้าไปก็มีแต่จะถูกไล่ออกมา..” “แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็อยากจะทำความรู้จักกับท่านจอมมาร” เจ๋อฮั่นเลิกคิ้วมองหมิงหลัน “เหตุใดถึงได้สนใจพี่ใหญ่ขนาดนั้น?” ใบหน้าที่งดงามของหมิงหลันขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อราวกับลูกเชอรี่ “ข้าถูกส่งมาที่นี่ก็เพื่อมาให้กำเนิดองค์รัชทายาทของเผ่ามาร การจะกระทำเรื่องเช่นนั้นได้ก็ควรจะสร้างความรู้จักและคุ้นเคยกันเสียก่อน” เจ๋อฮั่นยกมือขึ้นมาโอบไหล่ของหมิงหลันเอาไว้ เขาหรี่ตาลงมองหน้าของนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “หมิงหลัน เรื่องอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน ข้าอาจจะได้ขึ้นเป็นจอมมารก็ได้ เจ้าอย่าพึ่งปักใจไปกับท่านพี่นักเลย คนเช่นนั้นมิรู้จักการรักหยอกถนอมบุปผาหรอกนะ แต่ว่าข้านั้นอ่อนโยนมากทีเดียว” “ผลัวะ!!” “เหตุใดถึงกระทำตัวไม่เหมาะเช่นนั้น เจ๋อฮั่น!” สายลมเย็นพัดผ่านใบหน้าหมิงหลันไปจนผมของนางปลิวสยายไปกับสายลม แต่ทว่านางหาได้สนใจ ว่าลมในตอนนี้จะพัดผ่านร่างกายไปแรงมากแค่ไหน ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจและความหลงใหล ใบหน้าของเขายังคงสะกดสายตาเช่นเดิม คิ้วกระบี่ของท่านจอมมารกำลังขมวดกัน ดวงตาคมกริบมองมาที่หมิงหลันอย่างใช้ความคิด เราทั้งสองต่างก็กำลังสบตากัน เป็นครั้งแรกที่เขาสบตานาง และคงจะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้าของหมิงหลัน… “เจ้าคือเทพบุปผาที่ถูกส่งมางั้นหรือ?” หมิงหลันพยักหน้า ริมฝีปากบางหนักยิ้มขึ้นมาด้วยความประหม่า ส่วนมือทั้งสองข้างก็สั่นไหวจนไม่สามารถควบคุมได้ เสียงของเขาเป็นเช่นนี้นี่เอง นางพึ่งเคยได้ยินเสียงของบุรุษที่ไพเราะขนาดนี้!! “อืม เช่นนั้นเจ้าก็พักที่เรือนนี้ไปก่อน เอาไว้ข้าจะจัดงานต้อนรับ….” “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ไม่ต้องมีงานต้อนรับหรือว่าพิธีอะไรทั้งนั้น ข้าสามารถร่วมหอกับท่านจอมมารวันนี้ได้เลยค่ะ!”วันเวลาที่หลี่เจ๋อเชี่ยนรอคอยในที่สุดก็เดินทางมาถึงเสียที เขารอคอยมาเนิ่นนานมากทีเดียวจนกว่าจะถึงวันที่เราได้แต่งงานกัน เขาจะได้ประกาศก้องออกไปให้ดังไกลไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนว่าเทพบุปผาหมิงหลัน นางคือภรรยาของจอมมารผู้นี้“ข้ามิคิดว่าภรรยาจะสามารถงดงามได้มากยิ่งขึ้นไปอีก..”เมื่อกล่าวจบหลี่เจ๋อเชี่ยนก็หอมแก้มหมิงหลันแรงๆ ท่ามกลางพิธีแต่งงานที่พวกเขากำลังคำนับฟ้าดินท่านอดีตจอมมารถึงกับกระแอมออกมาเสียงดัง“เจ๋อเชี่ยน..ทำพิธีให้เสร็จก่อนสิเจ้าลูกคนนี้!!"เสียงหัวเราะดังขึ้นมาในทันที แขกในงานไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะได้เห็นภาพของท่านจอมมารที่ดูอ่อนโยนและทนุถนอมท่านเทพบุปผาเช่นนี้หมิงหลันร้องไห้อยู่สามวันสามคืนเลยทีเดียว ยิ่งใกล้ถึงกำหนดแต่งงานนางยิ่งรู้สึกตื้นตันใจ ทั้งๆ ที่เรามีเจ้าตัวน้อยซึ่งเป็นพยานรักตั้งสองคนแล้ว แต่หมิงหลันก็ยังอดรู้สึกตื้นตันไม่ได้ทุกที“อย่าร้องสิ ในวันแต่งานของเราเจ้าควรจะยิ้มเยอะๆ ให้ผู้คนที่มาร่วมงานลือให้ไกลเป็นพันลี้ว่าท่านจอมมารเป็นคนดียิ่งนัก เขาทำให้ภรรยาแย้มยิ้มได้ตลอดงาน..”เมื่อได้ฟังดังนั้นหมิงหลันก็หัวเราะออกมาเบาๆ“คำสาบานของข้านั้นเรียบง่ายยิ่งนัก ถึงแม
เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เดินหน้าแล้วมักจะไม่มีวันย้อนกลับ และตัวเขา..ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสียเวลาในชีวิตไปนานมากเลยทีเดียว“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะคุณชาย..เชิญนั่งรอที่ชั้นบนได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการนำชาเลิศรสและขนมหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านน้ำชาเราไปส่งให้ท่านถึงที่โต๊ะเลย..”ท่านเทพดวงชะตาบอกกับเขาว่าเขาควรจะทำอะไรที่เป็นการไถ่โทษที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้ชีวิตของสตรีผู้หนึ่งพังลง และในยามนี้จงจิ้งโหวกำลังกระทำการไถ่โทษนางในแบบของเขาอยู่ครั้งหนึ่งเราทั้งสองคนคือสารเลว แต่ทว่าในครั้งนี้เขาจะสอนเสวียนม่านด้วยตัวเอง ว่าการทำความดีมันง่ายดายยิ่งกว่าการว่าร้ายผู้อื่น..“ข้ามาที่ร้านน้ำชาแห่งนี้บ่อยมากทีเดียว แต่กลับไม่เคยเห็นสามีของเถ้าแก่เนี้ยเลย..”เขาถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่านางคือหญิงหม้าย แต่ถึงอย่างนั้นจงจิ้งโหวคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นการสนทนาที่ค่อนข้างดีมากทีเดียวระหว่างเขาและนาง“ข้าไม่มีสามีเจ้าค่ะ จะเรียกว่ายังไม่มีสามีก็ยังไงอยู่ เพราะว่าข้าคือหญิงหม้ายที่พึ่งผ่านการหย่าร้างมา..คุณชายท่านนี้สนใจในตัวหญิงหม้ายผู้นี้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”จงจิ้งโหวมองหน้าของเสวียนม่าน เขายกมุมปากขึ้นสูงเล็
หลี่เจ๋อเชี่ยนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้คือกลิ่นหอมของหมู่มวลบุปผาพร้อมๆ กับกลิ่นไอของแสงแดดนี่เขากำลังฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร เผ่ามารถึงได้ดูแปลกตาเช่นนี้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้ไอขุ่นมัว แสงของดวงตะวันสามารถส่องกระทบมาบนพื้นหญ้าได้อย่างชัดเจน และบนพื้นดินที่เคยเป็นสีดำสนิท ยามนี้มันกลับเขียวขจีไปทั่วทั้งดินแดนมวลบุปผาชูช่ออวดโฉมเบ่งบาน มุมปากของหลี่เจ๋อเชี่ยนหยักยิ้มขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดที่ฝังแน่นในใจ มิใช่ว่ายามนี้หมิงหลันอยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินออกไปจากห้อง หมิงหลันก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับถาดน้ำชาในมือ สาวใช้ที่เดินตามนางเข้ามาสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าพวกนางพยายามอย่างมากในการห้ามท่านเทพบุปผาไม่ให้นางทำงานแต่ด้วยนิสัยของหมิงหลันแล้ว นางไม่ถนัดเรื่องการมีคนรับใช้..เขาส่งยิ้มให้กับภรรยาผู้งดงามยิ่งกว่าผู้ใดในสี่ทะเลแปดดินแดน หลี่เจ๋อเชี่ยนเดินเข้าไปหาหมิงหลันโดนที่นางยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำเขาโอบกอดและฝังใบหน้าลงไปบนเรือนผมด้วยความคำนึงถึง“ภรรยา..ข้าหลับไปนานพอสมควรเลยอย่างนั้นหรือ?”หมิงหลันหลับตาลงช้าๆ นางยกมื
“ตามกฎแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเทพแห่งดวงชะตาแต่ทว่าข้าไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวของเหล่าเซียนได้เลย..”สีหน้าของท่านเทพดวงชะตานั้นเต็มไปด้วยสีหน้าขมขื่น จงจิ้งโหวปรายตามองไปยังสวนที่แสนกว้างใหญ่ของเขา“แต่ท่านก็แหกกฎนั้นเพื่อบอกท่านแม่ของข้านี่”เทพซื่อมิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นางจะแย้มยิ้มขึ้นมาจางๆ“ข้าไม่เคยเข้าหาเจ้าเพียงเพราะว่าในอนาคตเจ้าจะได้เป็นองค์รัชทายาทหรือว่าองค์เง็กเซียนเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ตำหนักดวงชะตาของข้านั้น ข้ามักจะชอบนั่งทำงานที่ริมหน้าต่างและเมื่อมองทอดสายตาออกมาด้านนอกหน้าต่างนั้น มันทำให้ข้าได้เห็นเด็กชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่เงียบๆ หน้าสระบัว..ในยามนั้นข้าเพียงคิดว่านั่นคือเรื่องราวที่แปลกพอสมควรเพราะว่าเด็กในวัยเดียวกันควรจะวิ่งเล่นหรือไม่ก็ท่องเที่ยวไปทั่วสวนของแดนบุปผาแล้ว แต่เด็กชายผู้นั้นกลับไม่กระทำการที่เด็กในวัยเด็กกันทำ ข้ามองเด็กคนนั้นมานานหลายสิบปี จนข้าตัดสินใจเข้าไปพูดคุยเพราะข้าอยากรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เด็กน้อยผู้นั้นดูเศร้าหมองได้ถึงเพียงนั้น การพูดคุยของข้านั้น เป็นการท้าทายความอดทนของข้ามากทีเดียวเพราะว่าเขามิได้ยินยอมพูดกับข้าในทันทีที่ข้าเอ
ท่านเทพซื่อมิ่งเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทจงจิ้งโหวที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า ในมือของเด็กน้อยผู้นั้นถือถ้วยน้ำชาเอาไว้และมันยิ่งกำถ้วยในมือเอาไว้แน่นมากยิ่งขึ้นเมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ครั้งหนึ่งเมื่อยามที่นางยังอยู่บนแดนสวรรค์ นางพบเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารมากกว่าใครๆ ทั้งๆ ที่เขาเป็นหนึ่งในโอรสของสวรรค์แต่ทว่ากลับมิได้รับความเคารพจากผู้ใดเลย จงจิ้งโหวเป็นเด็กที่เก็บตัวเงียบอยู่ในมุมมืดเพียงผู้เดียว ไม่ได้ออกมาวิ่งเล่นดังเช่นเด็กคนอื่น เนื่องจากหอดวงชะตาอยู่ไม่ไกลจากตำหนักชมจันทร์ที่จงจิ้งโหวอาศัย เมื่อมองเด็กน้อยผู้นี้นานๆ เข้า ท่านเทพซื่อมิ่งก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา“เหตุใดถึงมีเพียงองค์ชายผู้เดียวที่มานั่งชมสระบัวอยู่ตรงนี้เพคะ”นางตามตื๊ออยู่นานทีเดียวกว่าจงจิ้งโหวจะยินยอมพูดด้วย“นี่คือบันทึก..เกี่ยวกับดวงชะตาอย่างนั้นหรือขอรับ”เขาใช้มือลูบไล้ลงไปบนแผ่นไม้ที่จารึกดวงชะตาของเหล่ามนุษย์เอาไว้ด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มน้อยๆ ของเด็กที่ไม่เคยพบเจอสิ่งใดนอกจากสระบัวและดวงจันทร์ข้างๆ ตำหนัก มันทำให้ท่านเทพซื่อมิ่งอดรู้สึกเวทนามิได้“พระองค์..อยากอ่านหรือไม่เพคะ”ในแววตาที่ไร้เดียงสาปรากฏร่องรอยค
“ครั้งหนึ่งยามเมื่อหมู่มวลวสันต์ผลิบาน แสงแรกของดวงตะวันฉายชัดลงมา บรรยากาศบนแดนสวรรค์นั้นทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่น อ้อมกอดแรกของสตรีที่มิใช่มารดาโอบกอดลงมาบนร่างกายเล็กๆ ของข้า ในครั้งที่ข้าเป็นเด็ก เพราะว่าข้าคือโอรสที่เกิดจากพระสนมจึงมิมีใครคอยดูแล ยกเว้นเทพที่แสนใจดีผู้หนึ่ง นางสอนข้าเดินหมาก อ่านเขียน แต่งกลอน..”แววตาในยามที่จงจิ้งโหวกล่าวถึงสตรีผู้นั้นมันช่างดูเศร้าหมองจนหมิงหลันอดจะรู้สึกสงสารเขาไม่ได้เลย“ข้าที่ไม่มีใคร รู้สึกดีใจและขอบคุณมากๆ เมื่อท่านเทพผู้นั้นปฏิบัติกับข้าดีเหมือนกับว่าข้าคือบุตรชายของนาง..”คล้ายหัวใจของจงจิ้งโหวถูกทุบจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาหลับตาลงช้าๆ เพื่อข่มความเจ็บปวดเอาไว้“แล้ว..ยามนี้ท่านเทพผู้นั้นอยู่ที่ใดกันเล่าเพคะ”“...นางมิได้อยู่บนแดนสวรรค์ ข้าถูกช่วงชิงนางไปเพราะอดีตจอมมารหลงรักนางตั้งแต่แรกพบ หมิงหลันข้าน่ะไม่เคยมีใครเลยในชีวิต ข้ามีนางที่นับถือราวกับมารดาแท้ๆ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ทว่าเรื่องน่าตลกมันเริ่มฉายชัดในยามที่ข้าเติบใหญ่ เมื่อพี่น้องทยอยล้มตายอย่างไร้สาเหตุและมีข้าเพียงผู้เดียวนั้นที่มีชีวิตรอด ข้าที่เป็นเพียงโอรสที่เกิด