หลายวันผ่านไปหลังจากพบกันที่ตลาดเนี่ยฮุ่ยเฟยยังไม่รู้ว่า…ทุกย่างก้าวของนางกำลังถูกจับตา
แต่ไม่ใช่ด้วยเจตนาร้าย
ในค่ำคืนที่อากาศแห้งเย็น เรือนหลังเล็กที่อยู่ปลายสุดของจวนเนี่ยเงียบงัน แสงตะเกียงเล่มเดียวแทบไม่อาจไล่ความหนาวของฤดูใบไม้ผลิได้พอ
เสื้อผ้าของเนี่ยฮุ่ยเฟยขาดแหว่งที่แขนเสื้อ นอกจากเสี่ยวจูแล้วก็ไม่มีบ่าวรับใช้อีก นางจึงเลือกที่จะทำเอง แม้ว่าจะเย็บผ้าไม่ถนัดนักก็ตาม
เงาของนางสะท้อนอยู่บนหน้าต่างกระดาษน้ำมัน แสดงถึงร่างบางที่พยายามเย็บปะเสื้อผ้าเงียบ ๆ ใต้แสงตะเกียง
หากแต่สิ่งที่นางไม่รู้คือ มีเงาหนึ่งยืนอยู่บนหลังคาเรือนในความมืดมิดนานนับชั่วยาม
หลิงเซ่าเทียนยืนกอดอก จ้องมองแสงไฟในเรือนน้อยนั้นไม่วางตาไม่ใช่เพราะเขาอยากสอดรู้
ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกเวทนา แต่เพราะ
เนี่ยฮุ่ยเฟยนั้น…แม้จะอยู่เพียงลำพัง ทว่าในแววตาของนางไม่เคยอ้อนวอนสิ่งใดจากโลกเหมือนกับมารดาของนาง
เขาเหลือบมองไปทางทิศตะวันตกของจวน ที่เรือนฮูหยินรองและพี่น้องต่างแม่พักอยู่มีเสียงหัวเราะจากงานเลี้ยงหลุดลอดมาเบา ๆ หลิงเซ่าเทียนหันหลังจากหลังคาเรือน และหายตัวไปในความมืดยามราตรี
แสงอรุณลอดม่านกระดาษสีนวลในเรือนของเนี่ยฮุ่ยเฟย ร่างบางในชุดผ้าฝ้ายสีหม่นแต่งกายเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง นางเงยหน้ามองกระจกทองเหลือง ใบหน้าที่ไม่เคยแต่งเติมใด ๆ เหมือนคนทั่วไปในเรือนใหญ่
นางถือกล่องไม้งาช้างใบเล็ก เดินตรงไปยัง “เรือนหลัก” ของบิดา
ขณะผ่านสวนในจวน เสียงหัวเราะของบรรดาบุตรีบุตรชายจากฟู่ซื่อลอยมาเป็นระยะ แต่นางไม่แม้แต่จะชะลอฝีเท้า
หน้าประตูเรือนหลัก มีเพียงบ่าวเฝ้าประตูยืนค้อมศีรษะอยู่
“ข้ามาพบท่านพ่อ” นางกล่าวเรียบ ๆ
บ่าวรับคำแล้วหายตัวเข้าไป ไม่ถึงครู่ก็กลับมาพยักหน้าช้า ๆ
“เชิญด้านในขอรับ …”
ภายในเรือนเนี่ยหย่งซาน นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เขาไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำเมื่อบุตรสาวคนโตยืนอยู่ตรงหน้า
“มีเรื่องอะไร?” เสียงเรียบเย็นถามขึ้น ขณะมือยังพลิกกระดาษไม่หยุด
เนี่ยฮุ่ยเฟยยกมือขึ้นคารวะ “ลูกอยากขออนุญาตออกไปตลาดเจ้าค่ะ”
ปลายนิ้วที่กำลังถือพู่กันของเนี่ยซื่อเหวินหยุดไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นโดยไม่แยแส
“ไปตลาด เมื่อหลายวันก่อน เจ้าก็เพิ่งจะออกไป?”
“มีของใช้ส่วนตัวบ้างประการที่ต้องออกไปซื้อเจ้าค่ะ…และ…ลูกอยากแวะดูร้านผ้าทางทิศใต้ด้วย”
“ร้านผ้า?” เขาเลิกคิ้ว “หรือว่าคิดจะทำกิจการ?” น้ำเสียงเจือเย้ยบางเบา แฝงความประชดลึก ๆ
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ลูกเพียงอยากดูเฉย ๆ เพราะ…ที่นั่นเคยเป็นร้านค้าของท่านแม่มาก่อน จึงอยากเห็นอีกสักครั้ง”
เนี่ยหย่งซานละสายตาจากพู่กันเป็นครั้งแรก สายตานั้นเย็นชาราวน้ำแข็ง แต่ก็ไม่ถึงกับโกรธเกรี้ยว
“เจ้าจะไปก็ไปเถิด แต่ให้บ่าวคนหนึ่งติดตามไปด้วย และอย่าทำตัวแปลกประหลาดให้ผู้คนครหาอีก”
“เจ้าค่ะ…ท่านพ่อ”
สายลมกลางวันพัดพาเอากลิ่นเกาลัดคั่วและน้ำเชื่อมเข้ามาปะทะจมูกของผู้คนในตลาด เมืองลั่วหลิงช่วงยามซื่อ คึกคักเต็มไปด้วยพ่อค้าและคนเดินทาง
เนี่ยฮุ่ยเฟยเดินอย่างเงียบเชียบในชุดเรียบง่ายข้างกายมีบ่าวคนหนึ่งที่บิดาส่งมาคอยเดินตามห่าง ๆ นางไม่สนใจร้านของชำหรืออาภรณ์ลวดลายงามตรงทางเดินเหมือนสตรีทั่วไป สายตาของนางมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว ร้านผ้าทางทิศใต้ ร้านที่เคยเป็นของมารดาเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ขณะเดินมาถึงตรงนั้น หัวใจนางเต้นแผ่ว มือที่กำชายเสื้อแน่น เริ่มเปียกเหงื่ออย่างไม่รู้ตัว
ป้ายร้านเดิมถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “หงฟางผ้าไหม” ตัวอักษรสีแดงสดทาทับชื่อเก่าที่นางเคยเห็นบิดาเขียนไว้ให้มารดา
บรรยากาศภายในคึกคักด้วยลูกค้าไม่มีแม้แต่เงาของอดีต นางยืนอยู่ตรงข้ามร้าน มองผ่านผู้คนราวกับมองผ่านม่านหมอกในอดีต กลิ่นหอมจากผ้าไหมใหม่ไม่อาจกลบกลิ่นดอกเหมยแห้งที่มารดาเคยชอบแขวนไว้หน้าร้าน
“ที่นี่…เคยเป็นของครอบครัวเจ้าหรือ?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านข้างนางหันขวับ พบใบหน้าคมเข้มในชุดนักเดินทางยืนมองร้านเดียวกันกับนาง
“…ท่านรู้ได้อย่างไร?” นางถามเบา ๆ
“ไม่มีใครไม่รู้ แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาลอบมองแบบนี้ ทำไมถึงไม่เข้าไปด้านในร้าน “
เนี่ยฮุ่ยเฟยถอนหายใจ. “ข้าเพียงอยากเห็นมัน…อีกครั้ง ไม่ได้อยากซื้อสิ่งใด”
หลิงเซ่าเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา “บางสิ่งอาจถูกช่วงชิงไปจากมือเรา
แต่ความทรงจำ…ยังคงเป็นของเจ้าเสมอ”
หลังได้ยินคำพูดของเขา เนี่ยฮุ่ยเฟยมองเขาครู่หนึ่ง ดวงตาสีดำเข้มของชายหนุ่มแฝงความแน่วแน่ และอ่อนโยนในคราวเดียวกัน
“…อยากจิบชาหรือไม่?” เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ ราวกระซิบแต่นางก็ไม่ปฏิเสธ และเดินตามเขาไปที่โรงเตี๊ยมเงียบๆ
โรงเตี๊ยม “เมิ่งหลิ่วชุน” ตั้งอยู่ใกล้ประตูเมืองตะวันตก ภายนอกดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่กลับมีแขกประจำเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย
เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย “ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว” เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคมสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!” เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
คลิก… ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้นกล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็นหลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ “นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้” แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด “ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!” หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น “พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้” ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม
เนี่ยฮุ่ยเฟยสบตาเขานางเห็นแววจริงใจในดวงตานั้นแต่ก็ยังไม่ละความระแวดระวัง “ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือข้า” หลิงเซ่าเทียนวางถ้วยชาลงเงียบไปนาน ก่อนตอบช้า ๆ “ในสายตาคนนอก เจ้าอาจเป็นเพียงคุณหนูตกอับของจวนตระกูลเนี่ย แต่ข้า…เห็นเจ้ายืนหยัดด้วยตัวเองมาตลอด ไม่แม้แต่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา” เสียงเขาชะงักเล็กน้อยก่อนพูดคำที่ทำให้นางแทบลืมหายใจ “และที่สำคัญ…ข้าเป็นหนี้คนผู้หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับท่าน” ดวงตาของฮุ่ยเฟยเบิกขึ้น “หนี้? ท่านหมายถึงใครกัน…” หลิงเซ่าเทียนสบตานางใบหน้าเขาเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “ฮูหยินเอกแห่งตระกูลเนี่ย มารดาของเจ้า” มือที่ถือถ้วยชากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยหัวใจเต้นถี่…คล้ายกลัวความจริงที่รออยู่เบื้องหน้านางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เสียงที่เปล่งออกมาแม้เบา แต่ชัดเจนและมั่นคง “ท่านแม่ของข้า นางเกี่ยวข้องอะไรกับท่
เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งมองแผ่นป้ายไม้ที่จางไปตามกาลเวลาร้านนั้นคือ “ร้านผ้าเมฆา” ร้านผ้าที่เคยเป็นของมารดาตนเนี่ยฮุ่ยเฟยมองป้ายร้านอยู่นาน ดวงตาที่ปกติแน่วแน่นั้นสั่นระริกเพียงครู่ จากนั้นจึงหันหลังเดินต่อ โดยมุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลังตลาด จากนั้นซูอวี้ก้เดินตามนางไปซูอี้มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังตรอกนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างตลาดกับโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุนจังหวะที่นางแทรกตัวเข้าไป ทันใดนั้น…เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นด้านหลัง เร็ว และมั่นคงจนผิดสังเกตซูอี้ขมวดคิ้ว รีบหมุนตัวกลับกลับพบเพียงบุรุษในชุดดำ สวมหมวกบังหน้า เดินสวนผ่านเธอไปเงียบ ๆ แต่สัมผัสบางอย่างไม่ถูกต้องกลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ กับแรงกดดันจากแววตาผู้ผ่านไปนั้นทำให้หลังของซูอี้เย็นวาบหลิงเซ่าเทียนยืนมองออกไปจากหน้าต่างเขาสวมเสื้อคลุมสีเข้ม ผ้าคาดเอวหรูหราแต่ไม่อวดอ้างในมือนั้นถือพัดไม้ไผ่ปักชื่อ ‘เมิ่งหลิ่วชุน’ อย่างอ่อนช้อย ข้างหลังเขา คือชายวัยกลางคนในชุดทหารปลอมตัว “จินซาน” อดีตองครักษ์ประจำตระกูลหลิง“สาวใช้นั่นใช่คนของฟู่ซื่อหรือไม่?” หลิงเซ่าเทียนถามโดยไม่หันกลับมา“ใช่ขอรับ ข้าสืบพบว่าเรียกชื่อว่าซูอี้ สนิทกับฮู
ยามสาย แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งที่ไหวตามลม ภายในเรือนของ “ฟู่ซื่อ” กลิ่นธูปหอมอบอวล ปะปนกับกลิ่นชาดอกเหมยหญิงผู้ครองตำแหน่ง “ฮูหยินเอกคนปัจจุบัน” นั่งประณีตอยู่บนอาสนะไม้ลายกลีบบัวงดงามดุจสตรีผู้สูงศักดิ์ หากแต่ในแววตากลับมีเงาของความไม่พอใจแฝงอยู่สาวใช้ที่ไว้ใจได้ “ชุนผิง” เดินเข้ามาคุกเข่าแล้วก้มหน้ารายงานเบา ๆ“อูหยินเจ้าคะ…บ่าวกลับจากตลาดแล้ว แต่…เรื่องที่สั่งเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่…”ฟู่ซื่อเอียงศีรษะเล็กน้อย “ว่าอย่างไร? คนในตลาดว่าอะไรบ้าง”“…ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลย”มือที่กำลังถือถ้วยชาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางลงช้า ๆ“ไม่มีเลย? หมายความว่าอย่างไร…”“เมื่อคืนตลาดปิดเร็วกว่าปกติหลายร้าน แม่ค้าบางคนที่เคยพูดถึงข่าวลือเรื่องคุณหนูใหญ่ ก็เงียบ ไม่กล้ากล่าวแม้คำเดียว แม้บ่าวจะลองจงใจถามนำเรื่อง ก็ถูกปฏิเสธ หรือไม่ก็ถูกเมินค่ะ”ฟู่ซื่อขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ“แปลก…ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกชาวบ้านคงไม่หยุดพูดกันเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าผู้ใด…เข้าแทรกแซง?”“ชุนผิง เจ้าเคยได้ยินชื่อของผู้ใดที่มีผู้คนกล่าวถึงในตลาดเร็ว ๆ นี้บ้างหรือไม่?”ชุนผิงเงยหน้าช้า ๆ คล้ายล