บรรยากาศภายในรถเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดแม้แต่ลูกน้องมือซ้ายและมือขวาจอมกวนประสาทของพายุ ทั้งสองได้แต่ลอบมองพายุและยี่หวาผ่านกระจกมองหลังเท่านั้น ทั้งเธอและเขาต่างหันหน้าไปกันคนละทางเหม่อมองออกไปยังหน้าต่าง คนที่ดูสีหน้าไม่ค่อยดีนักคงไม่พ้นพายุเจ้านายของพวกเขา
“เอ่อ...จะไปที่ไหนครับนาย” เมษที่ขับรถให้เขาเอ่ยถามขึ้น พายุหันไปมองลูกน้องของตนก่อนจะเหลือบไปเห็นป้ายด้านหน้าว่าโฮเต็ลจึงคิดแผนบางอย่างออก
“เลี้ยวเข้าโรงแรมด้านหน้า”
“ครับ?” เมษถามย้ำอีกครั้งก่อนที่พายุจะขมวดคิ้วแน่นจ้องมองลูกน้องของตน เขาจึงพยักหน้าแล้วเลี้ยวเข้าโรงแรมม่านยรูดอย่างที่เจ้านายต้องการ ยี่หวาเห็นรอบข้างแปลกไปก็รีบหันกลับไปมองด้านหน้าแล้วหันค่อยไปมองพายุด้วยสีหน้าตกใจ
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?”
“ทำความรู้จักกันไงครับคุณหนูวาวา”
“มะ...หมายความว่าไง นี่มันโรงแรมม่านรูดไม่ใช่เหรอ?!”
“รู้จักสถานที่แบบนี้ด้วย? ไม่ได้ใสซื่ออย่างที่คิดแฮะ” พายุพูดพร้อมกับจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มร้าย มือหนาลูบริมฝีปากไปมามองจ้องเธออย่างไม่วางตา แม้ในใจจะรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยเพราะคิดว่าเธอคงเคยมาที่แบบนี้กับผู้ชายคนไหนสักคน
ยี่หวามองสายตานั้นของเขาก่อนจะรีบเบือนหน้าหนี มันดูน่ากลัวสำหรับเธออยู่มาก ด้วยความที่เธอไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้ พายุที่เธอรู้จักในตอนนั้นกับตอนนี้มันช่างต่างกันจนใจเจ็บ ราวกับว่าเธอไม่ได้รู้จักเขาดีเลยสักนิดตลอดเวลาที่ผ่านมาสามเดือนระหว่างที่คุยกัน พายุผู้อ่อนโยนในวันนั้นที่เธอปลาบปลื้มได้หายไปแล้ว
ลูกน้องของพายุเดินลงจากรถหลังจากม่านปิด ก่อนจะพากันออกไปยังด้านนอกม่านเพื่อจัดการค่าใช้จ่ายและรอด้านนอกอย่างรู้งาน พายุลงจากรถเตรียมจะเข้าไปเปิดห้องแต่ยี่หวากลับนั่งอยู่ในรถไม่ยอมลงไปด้วยความกลัว ใจเต้นไม่เป็นร่ำเป็นสัน...เธอไม่ชอบแบบนี้เลย เมื่อพายุเห็นอย่างนั้นจึงเดินไปเปิดประตูฝั่งที่เธอนั่งอยู่
“ลงมา” เสียงเข้มพูดขึ้นพร้อมกับหลุบสายตามองไปยังยี่หวา แต่เธอกลับมองหน้าเขาแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอม พายุเงยหน้าขึ้นถอนหายใจก่อนจะคว้ามือของเธอและดึงให้เธอลงจากรถ
“ปล่อย!! คุณพายุ!!” เมื่อลงมาได้เธอก็ยื้อตัวสุดแรงไม่ยอมเดินตามที่เขาลากดึงเธอไป พายุหันไปมองหน้าเธอด้วยสีหน้าดุดันพร้อมกระชากร่างบางเข้าไปใกล้ๆ
“อย่าสะดีดสะดิ้งไปหน่อยเลย ยิ่งได้ฉันเร็วเท่าไหร่มันน่าจะเป็นผลดีกับบริษัทพ่อเธอไม่ใช่หรือไง”
“อึก...ไม่ใช่นะคะ..”
“ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ยอมลดตัวปลอมเป็นสาวร้านกาแฟไปอ่อยฉันถึงหน้าบริษัทตลอดสามเดือนหรอก” พายุพูดแค่นั้นก่อนจะลากดึงเธอสุดแรงให้เดินตามเขาเข้าไปในห้อง ยี่หวาพยายามจะแกะมือหนาที่เกาะกำข้อมือเธอไว้อย่างดิ้นรน แต่ก็ไม่ได้ผล
เธอถูกลากเข้ามาในห้องพ้นประตูก็เป็นเตียงนอน รอบห้องมีกระจกแทบจะทุกทิศแม้แต่บนเพดาน สีไฟห้องเป็นสีแดงสลัวๆ มีทีวีจอใหญ่และห้องน้ำแบบกระจก ยี่หวายิ่งเห็นสภาพแวดล้อมอย่างนั้นใจก็หล่นวูบ เธอจะหันกลับไปยังหน้าประตูเพื่อออกจากห้องที่น่าหวั่นใจนี้แต่พายุกลับไวกว่ารีบพุ่งตัวไปยังประตูแล้วล็อกมันให้เรียบร้อย
“จะไปไหนล่ะ? ไม่ทำตามความต้องการของพ่อเธอเหรอ?” ไม่พูดเปล่า เขาค่อยๆย่างก้าวเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ สายตาจับจ้องมองใบหน้าที่ดูหวาดกลัวของยี่หวาไม่วางตา เขาอุตส่าห์ให้เกียรติไม่ได้ล่วงเกินเพราะคิดจะจริงจังด้วย จะว่าดีที่คู่หมั้นเป็นเธอมันก็ดี...แต่เขารับไม่ได้ที่เธอโกหกเขาตลอดแม้กระทั่งชื่อ เขาไม่ชอบคนโกหกและไม่ชอบความไม่รู้อะไรเลยทำเหมือนเขาเป็นคนโง่อย่างไรอย่างนั้น
“พี่พายุ...ไม่เป็นแบบนี้นะคะ...ยี่หวากลัว” ยี่หวาเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเรียกเขาอย่างที่เธอเคยเรียก และเรียกแทนตัวเองอย่างลืมตัว พายุได้ยินอย่างนั้นก็ยกยิ้ม
“หึ...ยี่หวางั้นเหรอ? โกหกจนลืมว่าตัวเองเป็นใครหรือยังไง?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ...พี่พายุฟังยี่หวาก่อน...ฮึก...เราออกไปคุยกันข้างนอกเถอะนะคะ” เธอพูดทั้งน้ำตาที่รื้นขึ้นมาเอ่อคลอ เขาตอนนี้ช่างกลัวจนเธอตัวสั่น
พายุยังคงก้าวเท้าเข้าไปใกล้ต้อนเธอจนไปติดกับเตียงแต่ก็ยังคงก้าวต่อจนยี่หวาล้มลงไปนั่งอยู่บนเตียงกว้างสีขาว มือหนาเชยคางเรียวสวยของเธอขึ้นให้เชิดมองเขา สายตาอ้อนวอนขอร้องด้วยน้ำตาให้เขาเห็นใจแต่พายุกลับจ้องมองเธอด้วยสายตาว่างเปล่า
“ให้ฉันฟังในสิ่งเธอจะโกหกน่ะเหรอ? เธอเห็นฉันเป็นคนโง่ขนาดนั้นเลย?”
“ยี่หวาไม่เคยคิดว่าพี่พายุโง่เลย...”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว การกระทำกับคำพูดมันสวนทางกัน!”
“พี่พายุใจเย็นๆก่อนนะคะ ยี่หวาอธิบายได้...แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่ยี่หวากลัว..” เธอพูดเสียงสั่นน้ำตาไหลลงอาบสองแก้มแต่ก็ยังพยายามขอร้องให้เขาพาออกไปจากที่นี่ มือเล็กที่สั่นเทาของเธอจับที่มือหนาของเขา พายุนิ่งไปชั่วขณะมองเธอเงียบๆ
“ที่ยี่หวาทำทั้งหมดตลอดสามเดือน...เพราะว่ายี่หวา...”
“เลิกเรียกตัวเองด้วยชื่อปลอมๆนั่นสักทีวาวา!”
“กรี๊ดดดดดด!!”
พายุกพูดจบก็ผลักเธอลงไปนอนราบกับเตียงก่อนที่เขาจะตามไม่คร่อมทับร่างนั้นไว้ มือหนาสองข้างล็อกมือเล็กของเธอไว้ ยี่หวาตกใจจนกรีดร้องออกมาทั้งน้ำตา ร่างบางนอนตัวสั่นอยู่ใต้ร่างของเขา
“หึ...จะกลัวไปทำไม ยังไงก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดีนี่”
“ไม่นะ!! พี่พายุ!! ปล่อย!! ฮึกๆ...ฮือ..”
พายุไม่รอช้าก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาวของเธอ ยี่หวาหันหน้าหนีพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา เธอพลิกตัวยันตัวหนีแต่ก็ถูกเขาจับดึงมาอยู่ใต้ร่างดังเดิมพร้อมกับปลดร่นแขนเสื้อของเธอให้พ้นไหล่ บรรจงจูบสร้างรอยแดงไปทั่วไหล่และเนินอก
“ฮือๆ...หยุดนะ! ขอร้อง...ฮึกๆ ฉันกลัวแล้ว ฮือ” แม้น้ำตาไหลอาบลงสองแก้มแต่พายุกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการกระทำอันป่าเถื่อนลงเลย ยี่หวาร้องไห้หนักพร้อมกับหยุดการดิ้นรนอย่างผิดหวังเพราะถึงยังไงเธอก็หยุดเขาไม่ได้อยู่แล้ว ถึงเธอจะแอบชอบเขาแต่มันต้องไม่ใช่การกระทำที่อุกอาจแบบนี้
พายุยังคงซุกไซร้ไปทั่วเรือนร่างเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอแม้ว่าเธอจะหยุดนิ่งแล้วเอาแต่ร้องไห้ก็ตาม ตอนแรกเขาตั้งใจจะแกล้งให้เธอกลัวเพื่อสั่งสอนให้เธอรู้จักตัวตนของเขาเสียหน่อย แต่ตอนนี้ยิ่งได้ดอมดมกลิ่นกายสาวก็เหมือนกับถูกยาปลุกอารมณ์ยากที่จะยับยั้งใจ
“อื้ม” ริมฝีปากหยักได้รูปของเขาเข้าครอบครองริมฝีปากบางของเธอ ดูดดึงริมฝีปากบางนั้นพร้อมกับชอนไชลิ้นร้อนให้เธอเผยอปากอ้าออก เริ่มควานหาความหวานในโพรงปากเล็กแม้สายตาจะหลุบมองจ้องใบหน้าเธอใกล้ ยี่หวาเผลอเผยอปากรับก่อนจะร้องครางหวานในลำคอเมื่อเขาหยอกล้อเล่นกับเธอ
กึด!
“วาวา!!” พายุผละออกจากรสจูบหลังจากที่โดนหญิงสาวกัดริมฝีปากเข้าเต็มแรง กลิ่นคาวเลือดตีขึ้นจมูกพร้อมรสชาติของเลือกเริ่มคละคลุ้งไปทั่วริมฝีปาก ริมฝีปากของยี่หวาเองก็มีเลือดของเขาติดอยู่ มือเล็กรีบผลักอกแกร่งให้พ้นร่างตน ก่อนจะลุกขึ้นเอามือปิดเรือนร่างตัวเอง
เพี๊ยะ!! ฟาดฝ่ามือเล็กลงบนใบหน้าหล่อของเขาจนหน้าหันไปตามแรงตบ เธอขมวดคิ้วแน่นจ้องมองเขาด้วยความโกรธแม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยน้ำตา พายุอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหันกลับไปมองใบหน้าของเธออย่างช้าๆ
“ฮึกๆ...ตอนแรกฉันชอบคุณเพราะคุณดูเป็นคนดี...”
“.........”
“แต่ตอนนี้ฉันเกลียดคุณที่สุด!!” คำพูดของเธอทำให้พายุรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาที่ใจ แต่นั่นคงไม่มีความหมายเพราะตอนนี้เธอไม่ใช่ยี่หวาคนที่เขารู้สึกชอบพออีกต่อไป เธอคือคุณหนูวาวาที่หลอกลวงเขาเพียงเท่านั้น ความโกรธเข้าครอบงำจิตใจพร้อมกับความไม่เข้าใจหญิงสาวตรงหน้า พายุจ้องมองเธอนิ่งทำสีหน้าไร้ความรู้สึก
“งั้นเหรอ”
“ฮึก...” คำพูดสั้นๆของพายุที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทีเรียบนิ่งทำให้เธออึ้งไม่น้อย ตอนแรกเธอคิดว่าเขาน่าจะคิดแบบเดียวกันกับเธอแต่ตอนนี้เขากลับดูว่างเปล่าแม้แต่สายตาที่มองเธอก็เช่นกัน
“ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าเธอจะใช้ชีวิตยังไงหลังจากแต่งงานกับคนที่เธอเกลียด” เขาพูดพร้อมยกยิ้มก่อนจะลุกออกจากตัวเธอจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องไป ยี่หวามองตามแผ่นหลังนั้นจนลับตาก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแทบจะทันทีทันใดโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว เรื่องราวที่เหมือนว่ากำลังจะไปได้ดีก็พังทลายลง เธอกลายเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์จอมลวงโลกในสายตาของเขาไปเสียแล้ว ยี่หวาปาดน้ำตาก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าของตนอย่างหมดแรง ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้วเธอก็ต้องจำยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้แม้ว่าตัวเธอเองจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม...
พายุกเดินออกมาจากห้องพร้อมกับเดินออกนอกม่านตรงไปยังลูกน้องที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ แฟนต้าและเมษมองเจ้านายตนอย่างสงสัยว่าทำไมเขาถึงได้ออกมาเร็วนัก มือซ้ายและมือขวามองหน้ากันไปมาก่อนจะหันไปขมวดคิ้วมองเจ้านายตน
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอครับนาย?” เมษเอ่ยขึ้น
“ผมว่ามันไม่ใช่วิสัยนายเลยนะครับที่....”
“เอาบุหรี่มาให้กูหน่อย” พายุพูดขัดแฟนต้าที่กำลังจะพูดต่อ มันก็ใช่ที่ไม่ใช่วิสัยเขาจะทำเรื่องอย่างว่าเสร็จแบบนี้ แต่เพราะไม่ได้ทำน่ะสิไม่อย่างนั้นคงไม่โผล่หน้ามาหาลูกน้องเร็วขนาดนี้หรอก
เมษยื่นบุหรี่ราคาแพงให้ผู้เป็นเจ้านายอย่างไม่ขัดก่อนที่แฟนต้าจะจุดไฟให้ด้วยชิปโป้ลายสวย พายุสูดเข้าไปเต็มปอดหวังจะระงับอารมณ์ของตัวเองที่มันพุ่งพล่านตอนนี้
“พวกมึงนี่ขยันสูบนะ มะเร็งจะแดกตายห่าสักวัน” พายุพูดพร้อมกับมองบุหรี่ในมือก่อนจะหันไปมองลูกน้องมือซ้ายและมือขวาทั้งสองของตน
“อ้าว นายก็รู้แล้วนายจะสูบทำไมล่ะครับ” เมษอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างกวนๆ ก็เห็นๆอยู่ว่าเจ้านายของตนพ่นมันจนควันโขมงแบบนี้
“พวกมึงนี่แม่ง ไม่เข้าใจความเป็นห่วงของกู” พายุพูดพร้อมขมวดคิ้วแต่ปากก็ยังคงคาบบุหรี่อยู่ไม่คาย ลูกน้องทั้งสองเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้และไม่ได้โต้เถียงอะไรออกไป ดูก็รู้ว่าเจ้านายของตนตอนนี้เครียดแค่ไหน ไม่อย่างนั้นคงไม่หาเรื่องพวกเขาหรอก
ทั้งสามคนยืนอยู่ได้ไม่นานนักก็เห็นคนร่างบางในชุดเดรสสีชมพูหรือผู้หญิงที่เจ้านายพาเข้าห้องไปเมื่อครู่เดินออกมาพ้นจากม่านก็มองซ้ายมองขวา พายุจึงทิ้งบุหรี่ลงที่เขี่ยแล้วเดินเข้าไปหาเธอพร้อมกับลูกน้องทั้งสองตน
“หึ...เลิกร้องไห้ขี้แยแล้วรึไง?”
“.........”
“กลับ ฉันจะไปส่ง” พายุกพูดขึ้นเสียงเรียบนิ่ง ยี่หวาลอบมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“ฉัน...เรียกแท็กซี่เองก็ได้ค่ะ”
“เกลียดฉันขนาดนั้นเลย?”
“ค่ะ”
“งั้นก็เก็บไว้ อย่าทำให้ฉันเดือดร้อน...เพราะฉันรับปากคุณมุกดาและคุณทรงชัยไว้หรอกนะ” พายุกพูดขึ้นก่อนจะโน้มหน้าเข้าใกล้ข้างใบหูเล็กทำเอายี่หวาเอียงหน้าหลบระยะเล็กน้อยอย่างหวาดหวั่น
“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ อย่าคิดว่าฉันจะเสนอตัวไปส่งผู้หญิงอย่างเธอ” คำพูดที่แสนเย็นชานั้นทำให้ใจเธอหล่นวูบ เจ็บแปล๊บขึ้นมาจนน้ำตารื้นแต่ก็เก็บกลั้นความอ่อนไหวของตัวเองไว้สูดลมหายใจเข้าลึก
“ทิ้งฉันไว้ก็ได้ ฉันหาทางกลับเองได้และฉันจะบอกคุณแม่ให้ว่าคุณมาส่ง”
“อย่ามาตลก คิดว่าฉันต้องโกหกหลอกลวงเหมือนเธอหรือไง?” พายุพูดพร้อมขมวดคิ้วแน่นจ้องมองเธออย่างดุดัน แต่ยี่หวาเองก็ไม่ยอมหลบสายตาคมของเขาเช่นกันแม้ว่าในใจจะรู้สึกกลัวก็ตามแต่เธอไม่อยากเป็นคนอ่อนแออีกต่อไปแล้ว เรื่องดีๆของเธอและเขามันจบไปแล้ว...ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป...
“ไม่ได้ยัดเยียดแค่คิดว่าคุณพายุ...อาจจะชอบวาวามากกว่า” “หืม?” “วาวาก็ลูกสาวคุณพ่อเหมือนกัน ถ้าแต่งงานกับคุณพายุคงไม่มีปัญหาอะไร...” ยี่หวาพูดพลางกเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบเลี่ยงใบหน้าหล่อของเขาที่เลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พายุชะงักกับคำพูดของเธอพลางขมวดคิ้ว เหลือบมองหญิงสาวตรงหน้าที่หลบเลี่ยงเขา “พูดแบบนี้หมายความว่าไง? ฉันแต่งงานกับเธอไปแล้ว จดทะเบียนสมรสแล้วด้วย...เธอจะให้ฉันหย่ากับคนพี่แล้วไปแต่งกับคนน้องอย่างนั้นเหรอ? ตลก...” เขาแสยะยิ้มอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ยันตัวออกห่างจากเธออย่างหัวเสียแล้วเดินนำไปยังล็อบบี้ ยี่หวามองท่าทีของเขาก่อนจะถอนหายใจ แต่ลึกๆก็เป็นห่วงควา
พายุได้แค่ปราดสายตามองยี่หวาครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้แย้งอะไรออกไป ทำยังไงได้ล่ะในเมื่อต้นเหตุมาจากเขาที่ไม่ยอมอยู่บ้านเป็นเดือนๆปล่อยให้เธออยู่คนเดียว ไม่แปลกที่ครอบครัวจะเป็นห่วงถึงแม้ว่าน้องเมียจะไม่ค่อยน่าไว้วางใจก็เถอะ “แล้วแต่เธอเลย...บ้านหลังนี้ก็เป็นของเธอเหมือนกัน” พายุเอ่ยเมื่อเห็นสายตาของยี่หวามองไปทางเขาอย่างเกรงใจ เพราะเขาตอบแบบนั้นเธอจึงทักท้วงไม่ได้ ด้านพายุเองก็คิดว่าเธอคงอยากให้น้องสาวมาอยู่ด้วย คงอยากพามากันเขาออกจากตัวเธอเองถึงได้เรียกให้น้องสาวมาอยู่ที่นี่ คนที่ดูจะดีใจจนออกนอกหน้าไม่พ้นวาวาที่กระโดดเข้าไปเกาะแขนของพายุอย่างดีใจ ยี่หวามองที่แขนของพายุแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น ความคิดที่ว่าเขาคงอยากได้เมียตัวจริงของเขาคืน เมียที่เขาควรจะต้องแต่งงานด้วยที่ไม่ใช่เธอ “เอ่อ...งั้น ฉันขอต
“ไอ้เมษ มึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้ว่าช่วงที่กูไม่อยู่ยี่หวาไปเห็นอะไรมา?” หลังจากที่กินข้าวกินปลากันเรียบร้อย ยี่หวาก็เอาจานไปเก็บและล้างจานอยู่หลังครัว ได้ทีพายุก็รีบหันไปเอ่ยถามเมษทันที เพราะจากเหตุการณ์ที่เธอร้องขอหย่า เขาคิดว่าเธอต้องได้เห็นอะไรมาแน่ๆ และที่เขาเลือกถามเมษก็เพราะเมษคอยดูแลยี่หวาช่วงที่เขาออกไปนอนข้างนอก “ครับ? ก็...ไม่นะครับ” “มึงลองคิดดีๆก่อนตอบกู” พายุยังคงเค้นถามเมษอีกครั้ง เมษก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็เหมือนคิดไม่ออกว่าเรื่องอะไร “เอาดีๆนะไอ้เมษ ถ้าไม่คอขาดบาดตายนายคงไม่ถาม” แฟนต้าพูดพลางหัวเราะในลำคอลอบมองพายุที่ยังคงทำหน้าเครียด เรื่องที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับเจ้านายของเขาคงไม่พ้นเรื่องเมียแน่ๆ “ขนาดนั้นเลยเหรอวะ? เรื่องคอขาดบาดตายของนายเรื่องอะไรเหรอครับ?” เมษเอ่ยถามเชิงหยอกพายุ “นั่นสิ คุณยี่หวาทำไมเหรอครับนาย?” แฟนต้าพูดเปิดประเด็นทันที “ยี่หวา...ขอกูหย่า” พายุเอ่ยเสียงเรียบสีหน้าดูหงุดหงิดที่ต้องมาพูดเรื่องนี้ให้ลูกน้องทั้งสองคนได้รู้ แต่ถ้าไม่ยอมบอกลูก
ราวกับเจอศึกหนักก็ไม่ปาน เธออยู่กับเขาในห้องนอนยันเย็นกว่าจะได้ออกมาจากห้องเพราะสลบเมือดคาอกเขาอย่างน่าอาย คนใจร้ายไม่ยอมปล่อยให้เธอได้พักเลยซ้ำยังเอาแต่พูดว่าเพราะเธอบอกกับเขาว่าจะหย่า ยี่หวาคิดอยู่หลายตลบก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงดึงดันที่จะปฏิเสธการขอหย่าของเธอทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้รักเธอ แถมยังทำทีเกลียดขี้หน้าเธอด้วยซ้ำ มือถือทัพพีมองเหม่อด้วยความที่คิดไม่ตก คิดถึงเรื่องเขาเพราะเธอคิดว่านั่นคือทางที่ดีที่สุดสำหรับเข้าแล้วแท้ๆ “ไหม้แล้วมังแกงน่ะ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้หญิงสาวที่ยืนถือทัพพีอย่างเหม่อลอยถึงกับสะดุ้ง ยี่หวาดเหลียวกลับไปมองด้านหลังยังต้นเสียงก็เห็นพายุยืนกอดอกพิงขอบประตูจ้องมองเธอด้วยสีหน้า
คำพูดของเขาทำให้ยี่หวาหวั่นใจไม่น้อย แววตาที่จ้องมองสั่นไหวราวกับเข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาต้องการ สายตาคมฉายแววโกรธจนรู้สึกขนลุก แค่เมื่อคืนที่เขาโกรธก็ทำให้ร่างกายเธออ่อนล้าไปหมด เธอยังเจ็บไม่ทันหายดีเลยด้วยซ้ำ “ฉันไม่รู้จักคุณหรอกค่ะ และฉันไม่รู้ด้วยว่าคุณต้องการอะไร” ยี่หว่าพยายามตอบเลี่ยงคำถามของเขาเพราะคิดว่าเธอจะหนีเขาพ้น พายุที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับยกยิ้มแล้วพยักหน้าราวกับประชดประชัน “เธอไม่เคยรู้จักฉันเลยสินะ ขนาดไม่รู้จักเมื่อคืนยังตอบรับฉันดีขนาดนั้น” “เลิกพูดเรื่องบ้าๆนี่สักทีเถอะค่ะ! ฉันไม่ต้องการรู้จักคุณอีกต่อไปแล้ว ฉันจะหย่า!” ยี่หวาเน้นย้ำคำพูดนั้นด้วยความรู้สึกโกรธและอับอาย เรื่องเมื่อคืนเธอไม่ได้สมยอมเขาเสียหน่อยแล้วทำไมเขาถึงได้มาพูดราวกับว่าเธอเต็มใจแบบนี้...นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าของเล่น...ยี่หวาคิด “ฉันไม่หย่า!! ต่อให้เธออยากจะหย่าแค่ไหนก็อย่าหวังว่าจะได้ลายเซ็นของฉัน!!” “แล้วคุณเป็นบ้าอะไรถึงไม่ปล่อยฉันไป! ทั้งที่คุณเกลียดฉัน!” “ฉันเป็นผัวเธอไงยี่หวา!!” พาย
“คุณวาวามีธุระอะไรหรือเปล่าคะถึงได้มาหาฉันถึงที่นี่”ยี่หวาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเจ้านายของครอบครัวเดิมที่เธอเคยรับใช้อยู่ได้มาเยี่ยมเยือนเธอถึงที่บ้านเรือนหอ วาวายังคงมองรอบๆบ้านด้วยความตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะหันไปมองยี่หวาแล้วเอามือกอดอกเอนตัวพิงพนักโซฟาห้องรับแขกด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสยี่หว่าเท่าไหร่นัก“ดูเธอคงจะโชคดีน่าดู ราวกับหนูตกถังข้าวสาร...ฉันแค่มาเยี่ยมน่ะ ไม่ได้เหรอ?”พูดพลางปั้นหน้าสร้างรอยยิ้มที่เสแสร้งอย่างจงใจให้ยี่หวารับรู้ ยี่หวาได้แต่นั่งเงียบไม่ได้ตอบโต้คำใดออกไป“ยี่หวา เห็นว่าเธออยู่บ้านนี้คนเดียวคงเหงาแย่ใช่ไหม? เพราะคุณพายุไม่กลับบ้านที่เรียกว่าเรือนหอเลยไม่ใช่เหรอ?”วาวายังคงจงใจพูดจี้ใจดำของยี่หวาอย่างไม่ลดละแม้ยี่หวาจะรู้สึกอึดอัดแต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะไล่ผู้หญิงตรงหน้าให้กลับไปได้ ด้วยความที่เธอคิดเสมอว่าวาวาคือน้องสาว เธอถึงได้ยอมแต่งงานแทนแบบนี้...ถึงแม้ว่าวาวาจะไม่เคยมองเธอเป็นพี่สาวเลยก็ตาม เพราะวาวาไม่อยากนับญาติกับคนใช้อย่างเธอ แต่ถึงอย่างนั้นวา