แชร์

บทที่ 5

ผู้เขียน: หรูซู่
เวินหนานจื่อที่กำลังจมอยู่ในอ่างน้ำเย็นจัดควานมือทาบขอบอ่างด้วยสัญชาตญาณ พยายามดันร่างท่อนบนขึ้นมาเพื่อหายใจเฮือกใหญ่

ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งตัว กงเฉินในชุดสีดำก็ปรากฏตัวตรงหน้า ที่มุมปากของเขายังคงติดตรึงรอยยิ้มอันชั่วร้ายอยู่ตลอดเวลา มันอันตรายจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

กงเฉินยกมือขึ้นกดไหล่ของเวินหนานจื่อ อุณหภูมิฝ่ามือของเขาเย็นยะเยือกไม่ต่างจากน้ำเย็นนั้นเลย กลิ่นเส้นยาสูบที่ติดปลายนิ้วเรียวยาวเย้ายวนชวนให้หลงใหล ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความอันตรายดุจคมมีด

เพียงเขากดนิ้วลงเบา ๆ ก็ทำให้ไหล่ของเธอแดงเป็นปื้น

เวินหนานจื่อลืมตาโพลง มองชายหนุ่มรูปงามดุจปีศาจตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว กว่าจะหายใจเป็นปกติ แต่แล้ววินาทีถัดมา กงเฉินกลับกดเธอกลับลงไปในน้ำอีกครั้ง

เธอกรีดร้องอย่างหมดทางสู้ “อ๊า!”

เมื่อเสียงกรีดร้องของเวินหนานจื่อดังระงมทั่วห้องน้ำ กงเฉินจึงปล่อยมืออย่างพอใจ

ก่อนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ร่างสูงโปร่งทอดยาวราวกับเงาปีศาจที่แฝงไว้ด้วยความอำมหิต

เขาดึงบุหรี่ม้วนหนึ่งออกมาจุด แล้วค่อย ๆ พ่นควันจาง ๆ ออกมา ดวงตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยความสะใจ

“เข้ามาล้างตัวเธอให้สะอาด”

สาวใช้เดินเข้ามาอย่างหุ่นยนต์ ก่อนจะคว้าแขนของเวินหนานจื่อไว้และใช้ผ้าขนหนูเช็ดถูผิวของเธอ

นอกจากรอยเชือกบนแขนของเวินหนานจื่อแล้ว ทั้งเรือนรางยังเต็มไปด้วยรอยจ้ำแดง ซึ่งทั้งหมดนั้นคือรอยการกระทำของกงเฉินที่ประทับให้กับเธอ

“หนาว หนาวเหลือเกิน ขอน้ำอุ่นหน่อยได้ไหมคะ?” เวินหนานจื่อหนาวจนพูดเสียงสั่นงันงก ร่างกายห่อหดเข้าหากัน

สาวใช้ยังคงหน้านิ่ง

แต่กงเฉินกลับยิ้มอย่างสนใจใคร่รู้ “น้ำอุ่น? ทนน้ำเย็นไม่ไหว ถ้างั้นเอาน้ำเดือดไหมล่ะ?”

เวินหนานจื่อจ้องหน้ากงเฉิน ก่อนจะรีบส่ายหน้าทันควัน ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก

ทุกครั้งที่สาวใช้ออกแรงมากขึ้น ก็ทำให้เธอเจ็บจนน้ำตาไหลออกมา

แต่เธอไม่กล้าที่จะร้องไห้ต่อหน้ากงเฉิน จึงทำได้แค่กัดฟันอดทน

“ลุกขึ้น” สาวใช้เอ่ยเสียงแข็ง

เวินหนานจื่อมองกงเฉินอย่างลังเล และไม่ยอมลุกขึ้น

แต่สาวใช้กลับสายตาดุดันขึ้น บิดเข้าที่รอยแผลบนแขนของเวินหนานจื่อ ทำให้เธอต้องลุกขึ้นยืนด้วยความเจ็บปวดทันที

เวินหนานจื่อรีบยกขึ้นมือปิดหน้าอกและท่อนล่างของตัวเองทันที แต่สาวใช้กลับยิ่งบิดเธอแรงขึ้น และใช้มือสัมผัสทั่วร่างกายของเธอตามอำเภอใจ

เวินหนานจื่อหลับตาอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลมาผสมกับน้ำเย็นเฉียบที่หางตา ทั่วทั้งเรือนร่างซีดขาวมากขึ้นจากความหนาวเย็น

ส่วนบริเวณที่น่าอับอายนั้นกลับปวดแสบปวดร้อน การยืนทำให้สิ่งที่หลงเหลืออยู่ภายในร่างกายไหลออกมาจนหมด กระทั่งปนออกมากับเลือดที่เกิดจากการกระทำรุนแรงเกินกว่าจะรับได้

ร่างกายของเวินหนานจื่อสั่นสะท้านหนักยิ่งกว่าเดิม เธอไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา เพราะกลัวที่จะเห็นตัวเองในสภาพที่ยับเยินและบอบช้ำ และยิ่งกลัวที่จะเห็นแววตาเยาะเย้ยปนเกลียดชังของกงเฉิน

ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเธอถึงตกอยู่ในสภาพแบบนี้ได้

หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ สาวใช้ก็พันผ้าเช็ดตัวให้เวินหนานจื่อ แล้วดึงเธอขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำ

เวินหนานจื่อแทบจะยืนไม่มั่นคง ประกอบกับอาการปวดศีรษะยิ่งหนักหนาขึ้นกว่าเมื่อครู่ ร่างกายจึงเอียงเอนไปมา

กงเฉินชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง ดับบุหรี่ในมือแล้วหันหลังเดินออกไป

สาวใช้ผลักเวินหนานจื่อให้เดินตามกงเฉินไป

เส้นผมของเธอยังเปียกโชก น้ำหยดติ๋ง ๆ ลงบนพื้นจนเปียกไปทั่ว เธอรวบผ้าขนหนูให้แน่นแล้วเดินตามกงเฉินไปที่ห้องหนังสือตามทางเดินพื้นไม้

กงเฉินนั่งลงอย่างสบาย ๆ และผ่อนคลาย โดยใช้มือข้างหนึ่งเท้าใบหน้าอันมีเสน่ห์เย้ายวน พลางจ้องมองเวินหนานจื่อที่ยืนอยู่กลางห้องหนังสือด้วยแววตาคลุมเครือ

เวินหนานจื่อหนานสั่นเพราะไข้สูง ทำได้เพียงยืนตัวสั่นระริกอยู่ตรงนั้น การปรากฏตัวของพ่อบ้านชราในห้องยิ่งทำให้เธอหายใจลำบากมากขึ้นไปอีก

กงเฉินชำเลืองมองเรือนร่างที่ซีดขาวของเวินหนานจื่อแล้วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ฉันรู้สึกว่าในห้องมันอับไปหน่อย”

พ่อบ้านรีบหันไปมองสาวใช้ทันที สาวใช้จึงรีบเปิดหน้าต่างทุกบานที่เรียงกันอยู่อย่างรวดเร็ว

ลมหนาวด้านนอกพัดเข้ามาอย่างแรง จนเกือบจะพัดเวินหนานจื่อล้มลงกับพื้น และพัดจนเธอเริ่มสติเลอะเลือน

กงเฉินมองเวินหนานจื่อที่อ่อนแอตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ราวกับได้เห็นสภาพตระกูลเวินที่กำลังจะล่มสลาย

พ่อบ้านยื่นสัญญาประนีประนอมที่ตระกูลเวินส่งมาให้กงเฉิน แต่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองมันเลย

เขาจงใจกดโทรหาผู้ช่วยต่อหน้าเวินหนานจื่อ แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ตระกูลเวินกล้ามากจริง ๆ ที่ส่งขยะชิ้นนี้มาให้ฉันเพื่อแสดงความมีน้ำใจ ดูเหมือนจะคิดว่าฉันใจดีเกินไปที่จะรังแกได้ง่าย ๆ ฉันให้เวลานายหนึ่งชั่วโมง ฉันอยากเห็นตระกูลเวินพังทลายไปครึ่งหนึ่ง”

เมื่อเวินหนานจื่อได้ยินดังนั้นก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง มองกงเฉินด้วยสายตาพร่ามัว

“กลัวแล้วเหรอ? ตอนนี้ตระกูลเวินก็แค่ฝืนทนอยู่เท่านั้น หลังจากโรงงานครึ่งหนึ่งต้องล้มไป ที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องใช้แรงอะไร พวกมันก็จะแตกสลายกลายเป็นผงไปเอง” กงเฉินหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้น

เวินหนานจื่อกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เพื่อทำให้ลำคอที่แห้งผากชุ่มชื้นขึ้น “ทะ ทำไม?”

กงเฉินยิ่งหัวเราะดังขึ้นพลางปรบมือเสียงดัง ใบหน้าเหี้ยมโหดแฝงด้วยความอันตราย “ยังกล้าถามฉันว่าทำไมอีกเหรอ? ตอนที่พ่อผู้แสนดีของเธอใช้วิธีสกปรกทำลายตระกูลกงของฉัน เขายังไม่เคยให้โอกาสพวกเราได้ถามว่าทำไมเลยด้วยซ้ำ”

เวินหนานจื่อยกมือประคองศีรษะที่หนักอึ้ง พยายามทำความเข้าใจสิ่งกงเฉินพูด

เมื่อนึกถึงความเกลียดชังที่เหมือนฝังลึกเข้ากระดูกดำที่ทุกครั้งกงเฉินเอ่ยถึงคำว่า คนตระกูลเวิน เป็นไปได้ว่า พ่อผู้หน้าไว้หลังหลอกของเธอต้องทำอะไรบางอย่างไว้แน่

แต่ทำไมต้องให้เธอมาชดใช้ด้วย?

ทั้ง ๆ ที่คนตระกูลเวินต่างก็ไม่ชอบเธอ และไม่ชอบแม่ของเธอด้วยซ้ำ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเธอก็เริ่มแดงก่ำ เจ็บที่ตัว แต่เจ็บที่ใจมากกว่า

ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าพลันมืดลง แล้วเวินหนานจื่อก็สลบไป

กงเฉินจ้องมองเวินหนานจื่อที่ล้มอยู่บนพื้น ผิวของเธอขาวอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับดูโปร่งแสง ราวกับว่าสายลมที่พัดมาจากนอกหน้าต่างจะพัดพาเธอให้สลายไปได้ทุกเมื่อตามจังหวะการหายใจที่อ่อนแรง

"ได้กลิ่นไหม?" กงเฉินขมวดคิ้ว "กลิ่นหอมจาง ๆ"

พ่อบ้านและสาวใช้ส่ายหน้า

พ่อบ้านคิดว่ากงเฉินกำลังโกรธ จึงรีบส่งสัญญาณให้สาวใช้ "ลากออกไป"

กงเฉินจ้องมองคนที่อยู่บนพื้นไม่กะพริบตา ครู่ต่อมา รอยยิ้มอันเฉียบคมนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เขาพูดอย่างไม่ปรานีว่า "เอาสัญญาไปด้วย แล้วส่งเธอกลับไปที่บ้านตระกูลเวิน ตอนนี้ เดี๋ยวนี้! บอกคนตระกูลเวินด้วยว่า ฉันเอาแล้วไม่มันส์!”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 30

    ยามเห็นพิณผีผาสุดรักถูกฟาดแตกหัก เวินหนานจื่อก็ตะลึงงันไปสามวินาที ทั้งร่างคล้ายถูกความตระหนกเข้าครอบงำจนทำอะไรไม่ถูกเวินหนานจื่อไม่แยแสความเจ็บปวดที่ข้อเท้าอีกต่อไป รีบหยัดกายลุกขึ้น แต่เมื่อทอดตามองพิณผีผาที่ถูกกงเฉินโยนทิ้งไว้บนพื้น ร่างกายก็พลันอ่อนระทวยทรุดฮวบลงคุกเข่า“ผีผาของฉัน! ผีผาของฉัน!” เธอพึมพำเสียงเครือราวคนเสียสติ ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัวเธอโผเข้าไปคว้าซากพิณที่แตกหักมากอดแนบอก พยายามประกอบมันเข้าด้วยกัน นิ้วมือดึงรั้งสายพิณ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันก็ไม่มีวันกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีกแล้วกระทั่งสายพิณเส้นสุดท้ายที่ยังสมบูรณ์อยู่พลันขาดเสียงดังเปรี๊ยะ บาดลึกลงไปในปลายนิ้วของเวินหนานจื่อ ก่อนจะรัดพันนิ้วของเธอเอาไว้ เลือดสดไหลทะลักออกมาจนปลายนิ้วแดงฉานแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด ยังคงกอดพิณผีผาไว้แนบอก นั่งคอตกอย่างคนหมดอาลัยตายอยากเสียงสะอื้นไห้ฮือ ๆ ใกล้ระเบิดเต็มทีกงเฉินยืนตระหง่านอยู่ข้างกายเวินหนานจื่อ หลุบตามองหญิงสาวเบื้องล่าง ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ว่าเขาจะกระทำย่ำยีอย่างไร เวินหนานจื่อก็มักกัดฟันอดทนไม่ยอมหลั่งน้ำตา แต่เวลานี้เธอกลับร้องไห้ฟูมฟายเพี

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 29

    ลุงจงเปิดประตูห้อง พลางส่งสัญญาณให้เวินหนานจื่อเดินเข้าไปภายใต้แสงไฟสลัวที่ชวนให้รู้สึกคลุมเครือ กงเฉินนั่งอยู่บนโซฟาหนังสไตล์อเมริกัน โซฟาหนังทรงคลาสสิกที่ทอประกายมันวาวนั้น ยิ่งขับเน้นความเย้ายวนใจของกงเฉินให้ดูสูงศักดิ์และยากจะเอื้อมถึงมากขึ้นหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขานั้นงดงามหยาดเยิ้ม รูปร่างอวบอัดมีส่วนเว้าส่วนโค้งชวนมองบนโซฟาอีกตัวหนึ่งคือกู้เหยียนอี้ เขาดูราวกับไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกับกงเฉิน ทั้งที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังเนื้อดีเช่นเดียวกัน แต่เขากลับแผ่กลิ่นอายความหล่อเหลาที่ดูสงบเยือกเย็นออกมาเวินหนานจื่อยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา กอดพิณผีผาในอ้อมอกไว้แน่นจนบดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยกู้เหยียนอี้รีบลุกขึ้น ก่อนลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเดินเข้ามา "หนานจื่อ ขาคุณยังไม่หายดี นั่งคุยกันเถอะครับ"เวินหนานจื่อยังคงไม่กล้าขยับตัว เธอแอบชำเลืองมองกงเฉินแวบหนึ่ง เห็นเพียงแววตาของเขามืดมนลง แฝงความเย็นชายากอธิบายเธอไม่ยอมนั่ง แต่กลับถูกกู้เหยียนอี้กดไหล่บังคับให้นั่งลงจนได้หญิงสาวผู้นั้นปรายตามองเวินหนานจื่อ ขณะถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ "นี่ไปหานางคณิกามาจา

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 28

    สุ้มเสียงอ่อนโยนของกู้เหยียนอี้ดังขึ้นเหนือศีรษะเวินหนานจื่อเงยหน้าขึ้น พบว่าสเต๊กในจานของกงเฉินหายไปหลายชิ้น จึงทอดสายตามองกงเฉินเป็นทำนองขอความเห็นกงเฉินกระตุกยิ้มร้ายกาจ พลางจิบไวน์แดงอึกหนึ่ง "นี่เธอจะฟังคำสั่งเขาเหรอ?"เวินหนานจื่อส่ายหน้า "ฉันไม่หิวค่ะ"เธอก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าคิดต่อต้าน เพราะเคยเกือบจะถูกกงเฉินผู้เกรี้ยวกราดกดร่างลงกับโต๊ะอาหารตัวนี้เพื่อย่ำยีศักดิ์ศรีมาแล้ว"กงเฉิน!" กู้เหยียนอี้ขึ้นเสียง ก่อนหันมาพูดกับเธอ "หนานจื่อ คุณไม่ต้องกลัวเขาหรอก กินเถอะ"แต่กงเฉินกลับจ้องมองด้วยสายตาคล้ายหยั่งเชิง คาดคิดว่าเธอคงไม่กล้าเคลื่อนไหวสุดท้าย เวินหนานจื่อก็ยังคงว่านอนสอนง่ายไม่ได้แตะต้องอาหารแม้แต่คำเดียว ได้แต่กลืนความหิวโหยทั้งหมดลงท้องไปพร้อมกับน้ำลายอึกแล้วอึกเล่าภายใต้สายตาของลุงจง เธอปรนนิบัติกงเฉินอย่างระมัดระวังตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อยไปจนถึงของหวาน โดยที่ตัวเองไม่มีของกินตกถึงท้องเลยสักคำเดียวกงเฉินยอมรับการปรนนิบัตินั้น แต่แววเย้ยหยันในดวงตากลับไม่ลดน้อยลง ราวกับเห็นว่าการเอาอกเอาใจของเธอเป็นเรื่องตลกสิ้นดีเมื่อกลับมาถึงห้อง เวินหนานจื่อ

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 27

    เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ ลุงจงก็มาเคาะประตูห้องของเวินหนานจื่อ พอเปิดเข้าไปก็เห็นเธอกำลังลากขาที่หนักอึ้ง คุกเข่าจัดเก็บข้าวของในห้องอันคับแคบ"คุณหนูเวินครับ คุณกงเชิญไปรับประทานอาหารครับ""รับประทานอาหาร?" เวินหนานจื่อเบิกตาโต รีบส่ายหน้าปฏิเสธ "นะ...หนูไม่หิวค่ะ ไม่กินดีกว่า"เธอแสดงความหวาดกลัวที่มีต่อกงเฉินออกมาโดยไม่ซ่อนเร้นแต่ลุงจงกลับย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเวินหนานจื่อด้วยความระมัดระวัง พลางหาอะไรมารองขาของเธอไว้เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นเท่าที่จะทำได้"คุณหนูเวินครับ คุณแต่งงานเข้ามาแล้ว นี่คือความจริงนะครับ"เวินหนานจื่อเข้าใจดี ตนเองถูกคนตระกูลเวินขายเข้ามา แต่เธอก็ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ลุงจงกล่าวต่อ "แม้แต่สิงโตยังต้องลูบขนให้ถูกทาง นิสัยคนเราก็เหมือนกันครับ ยิ่งคุณต่อต้าน ยิ่งไปกระตุกหนวดเสือ ท้ายที่สุดคนที่จะเจ็บตัวก็คือคุณเอง"เวินหนานจื่อมองลุงจงด้วยสีหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจลุงจงเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งออกมา "คุณหนูเวิน คุณยังมีส่วนที่แตกต่างจากคนอื่นอยู่นะครับ อีกอย่าง อย่าลืมเหตุผลของการที่คุณแต่งเข้าตระกูลกงด้วยสิครับ"เหตุผลงั้นหรือ? เป็น

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 26

    ลุงจงสงวนท่าที เหลือบมองสาวใช้ผู้มีสีหน้าริษยาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ "เดี๋ยวผมจะไปเรียนถามคุณกงให้นะครับ"สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงดูถูก ในเมื่อกงเฉินโยนเวินหนานจื่อไปไว้ในห้องเก็บของแล้ว นั่นก็เท่ากับปล่อยเธอไปตามยถากรรมแล้วไม่ใช่หรือ จะมาแยแสอะไรกับเธออีก? คิดได้ดังนี้จิตใจที่ร้อนรุ่มด้วยความริษยาก็พลันสงบลงเมื่อกู้เหยียนอี้สบตามองลุงจง ก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด จึงเพียงยิ้มไม่พูดอะไรลุงจงชี้ไปทางชั้นสาม "คุณกงขึ้นไปพักผ่อนบนชั้นสามแล้วครับ คุณหมอกู้ขึ้นไปหาได้เลย"กู้เหยียนอี้พยักหน้ารับ ก่อนหมุนตัวเดินขึ้นไปบนชั้นสามพื้นที่ชั้นสามถือเป็นเขตหวงห้ามในบ้านตระกูลกง แต่ความจริงมันเป็นเพียงห้องนอนของกงเฉินเท่านั้นนี่คือสถานที่ซึ่งกงเฉินใช้เผชิญหน้ากับฝันร้ายอันตามหลอกหลอนเขามานานหลายปี ภายในห้องว่างเปล่าไร้สิ่งของตกแต่ง ผนังสีขาวโพลนสะอาดตาปราศจากมลทิน มีเพียงเตียงสี่เสาสีดำทะมึน กับเก้าอี้นวมสองตัวและโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมหน้าต่างเท่านั้นกู้เหยียนอี้เคาะประตูสามครั้ง ก็เปิดประตูเดินเข้าไป เห็นกงเฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์แดง ทอดสายตาผ่า

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 25

    กู้เหยียนอี้กับเวินหนานจื่อไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอไม่เป็นอะไร กู้เหยียนอี้ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเมื่อไม่มีใครแล้ว เวินหนานจื่อก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเธอลองกดโทรหาแม่ แต่เสียงสัญญาณดังอยู่นานสองนาน ก็ยังคงไม่มีคนรับสายเช่นเดิมการที่ไม่ทราบเลยว่ามารดาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทำให้จิตใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความหวาดกลัวจึงเริ่มเกาะกุมจิตใจอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นเวินหนานจื่อก็นึกถึงโจวจิน ชายหนุ่มที่เธอเคยคิดว่าจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันไปชั่วชีวิตในเมื่อกงเฉินล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของโจวจินแล้ว โจวจินจะเป็นอะไรไปอีกคนหรือเปล่า?คิดดังนั้น เธอจึงรีบกดโทรหาโจวจินทันทีเธอรักและผูกพันกับโจวจินมาตลอด ช่วงเวลาที่อยู่ในตระกูลเวิน ก็ได้โจวจินคอยปลอบโยนและปกป้องคุ้มครอง แม้วันนี้จะถูกบีบให้ต้องแยกทาง แต่เธอก็ไม่อยากให้โจวจินต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยในใจเฝ้าภาวนาขอให้โจวจินรีบรับสายไว ๆ ขอแค่ได้ยินเสียงเขา เธอก็จะวางใจ หนำซ้ำยังแอบหวังลึก ๆ ว่าเสียงของเขาจะช่วยปลอบประโลมจิตใจเธอได้เหมือนดั่งวันวานเมื่อมีคนรับสาย เวินหนานจื่อก็รีบก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status