LOGIN“แค่ก แค่ก”
เฉินเจียวเหมยสำลักน้ำจนตัวโยนในขณะที่จ้าวจิ่นหลงรีบเอื้อมมือขึ้นปัดปอยผมออกจากวงหน้าของนางพัลวัน เขารีบกอดประคองนางให้ลอยคออยู่ในน้ำทั้งอย่างนั้น พลางเมียงมองหาฝั่งที่ใกล้ที่สุดอย่างเร็วเมื่อเห็นว่านางสำลักน้ำจนหน้าแดง จมูกและริมฝีปากแดงไปหมดอย่างน่าสงสารจับใจ
“ม้าเล่า” เฉินเจียวเหมยถามหาม้าในทันทีที่หายดีจากอาการสำลักน้ำ
“มันว่ายน้ำไปทางนั้น” จ้าวจิ่นหลงตอบคำพลางโอบกระชับเฉินเจียวเหมยให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้นเพื่อจะพานางขึ้นฝั่งทางด้านหนึ่งที่ประเมินดูแล้วใกล้กับพวกเขามากที่สุดในยามนี้
“มันไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เฉินเจียวเหมยยังคงเอ่ยถึงม้าอย่างนึกห่วงใย
“เจ้าห่วงตัวเองก่อนดีหรือไม่” จ้าวจิ่นหลงบ่นออกมา
เฉินเจียวเหมยถึงกับหรี่ตามองใครบางคนที่นางกอดต้นคอของเขาอยู่พลันนึกขัดใจขึ้นมาก่อนเอ่ยเสียงแหลม “ม้าตัวนั้นมันช่วยท่านเอาไว้นะ”
จ้าวจิ่นหลงถึงกับชะงักไปอึดใจก่อนหันหน้ามามองสตรีในอ้อมแขนด้วยสายตาบางอย่าง
แต่ทว่า...เขาเพียงเอ่ยเสียงต่ำออกมาด้วยอารมณ์ขัดเคืองไม่ต่างกัน “แล้วมันต้องตกหน้าผาลงมาในน้ำเพราะใคร”
“...”
เฉินเจียวเหมยถึงกับนิ่งอึ้งไป เพียงอึดใจจึงส่งยิ้มแห้งๆใส่หน้าจ้าวจิ่นหลงเสียอย่างนั้น นางเมามันในการขี่ม้ามากไปหน่อย
“ไม่ต้องมายิ้มกลบเกลื่อน” จ้าวจิ่นหลงเริ่มเข่นเขี้ยวสตรีนางนี้อีกแล้ว
เฉินเจียวเหมยจึงเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น นางเถียงบุรุษน่าตายผู้นี้ไม่ได้จริงๆ
จ้าวจิ่นหลงใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงโอบกอดร่างบางของเฉินเจียวเหมยพาขึ้นมาบนฝั่งจนสำเร็จ ก่อนจะจับร่างของนางพลิกซ้ายพลิกขวาไปมาเพื่อมองหาบาดแผลที่อาจจะเกิดกับเรือนร่างของนาง
เฉินเจียวเหมยถูกจ้าวจิ่นหลงจับพลิกซ้ายพลิกขวาไปมาอย่างนั้นแต่ก็มิได้ปัดป้องแต่อย่างใด นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ คล้ายกับชะงักงันไปเพียงนิดก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด “เวียนหัวแล้ว”
“ข้าต้องการดูให้แน่ใจว่าเจ้าไม่เป็นอันใด”
“ห่วงตัวเองเถอะ”
“...”
“ข้ามิได้เป็นอันใด” เฉินเจียวเหมยเอ่ยออกมาอย่างนั้น นางมิได้นำพาใดๆ กับอาการร้อนใจของใครบางคนตรงหน้าของนางในยามนี้ หากนางเป็นสตรีอ่อนแอคงอยู่ไม่ได้จนถึงตอนนี้
“อวดเก่ง” จ้าวจิ่นหลงดุใส่ใบหน้างามอย่างขัดเคืองเหลือประมาณ นางบ้าบิ่นอย่างนี้แล้วเขาจะห่างจากนางได้อย่างไร
น่าชังนัก!
เฉินเจียวเหมยเพียงหรี่ตามองจ้าวจิ่นหลงนิ่งๆ อย่างขัดใจไม่ต่างกัน ก่อนเอ่ยอย่างไม่ยินยอม “แน่นอนข้าเก่ง” แถมด้วยยกมือขึ้นเท้าสะเอวเชิดหน้าน้อยๆ อย่างถือดี
“เจ้า!”
“ทำไม!”
“เจ้าไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้ เจ้าเป็นสตรี”
“ข้าจะทำ”
“เจ้า”
“ทำไม”
“ดื้อด้าน”
“ท่าน!”
“ฮึ!”
“หึ!”
และแล้วทั้งสองก็สะบัดหน้าใส่กันอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ยืนห่างกันเพียงคืบ
“อ๊ะ! นั่น!” จู่ๆ เฉินเจียวเหมยก็ร้องอุทานขึ้นมาพลางชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง
“อันใด” จ้าวจิ่นหลงหันมามองกิริยานั้นของเฉินเจียวเหมยพลางถามขึ้นอย่างเสียมิได้
เฉินเจียวเหมยรีบจับจูงมือของจ้าวจิ่นหลงให้เดินไปกับนางอย่างไม่รู้ตัว
จ้าวจิ่นหลงเพียงเดินตามการจับจูงมือนั่นไปอย่างไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน
นี่เขาเดินตามสตรีน่าตายผู้นี้ได้อย่างไร เสียเกียรติยิ่ง! ทั้งๆ ที่ใจของจ้าวจิ่นหลงคิดอย่างนั้นแต่เท้ากลับก้าวเดินเคียงข้างกับเฉินเจียวเหมยอย่างมั่นคง
ทั้งสองพากันเดินมาจนถึงเนินดินแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงริมแม่น้ำไม่ไกลจากที่พวกเขายืนเถียงกันเมื่อครู่ เนินดินตรงนั้นสูงชันขึ้นไปจากบุคคลทั้งสองประมาณสองช่วงลำตัว บนยอดของเนินดินนั้นมีต้นหญ้าหน้าตาแปลกๆ อยู่ประปรายปะปนกันอย่างหลากหลาย
“สมุนไพร” เฉินเจียวเหมยเอ่ยขึ้นเพื่อบอกกล่าวแก่ชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังทำหน้างุนงงกับนางเหลือประมาณ
“ท่านปีนขึ้นไปเก็บมาให้ข้าที” นางเอ่ยสั่งการบุรุษข้างกายหน้าตาเฉย
“ต้นไหนกัน ถ้าดึงมาหมดนั่น คงตายกันไปข้าง” เขาบ่นอุบ มันมีต้นหญ้าจนเต็มพื้นที่ตรงนั้น นางจะบ้าหรือไร
“ถ้าเช่นนั้น” เฉินเจียวเหมยหรี่ตาลงแล้วปรายตามองจ้าวจิ่นหลงอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม “ให้ข้าขี่ท่าน ได้หรือไม่”
“หืม” จ้าวจิ่นหลงถึงกับหรี่ตามองเฉินเจียวเหมย
ขี่กันเลยหรือ ได้อย่างไร
“นะ ขี่คอ แค่นั้น” นางส่งเสียงออดอ้อนอย่างต้องการหลอกใช้
จ้าวจิ่นหลงรู้ดีถึงน้ำเสียงอย่างนั้น จึงเอ่ย “ไม่ต้องเลย”
เฉินเจียวเหมยจึงเริ่มขมวดคิ้วอย่างขัดใจ และเริ่มอธิบาย“สมุนไพรนั่น มันเป็นสมุนไพรช่วยให้เราสองคนได้อบอุ่นนะ น้ำเย็นปานนี้ เนื้อตัวเปียกชื้นอย่างนี้ ไอเย็นจะแทรกเข้าได้ เข้าใจหรือไม่ ท่านนี่ ดื้อด้าน!” ปิดท้ายด้วยการดุใส่หน้าอย่างสวยงาม“หากเจ้าต้องการความอบอุ่น ข้าทำให้เจ้าก็ได้” จ้าวจิ่น หลงเอ่ยออกมาอย่างเหนือชั้น เขาย่อมตามใจนางในเรื่องนี้“หยุดเลย” เฉินเจียวเหมยถึงกับสะดุ้งอย่างรู้ความนัยจึงเริ่มเสียงดัง “แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว”“ครั้งเดียวที่ไหน หลายครั้งอยู่” จ้าวจิ่นหลงยังคงไม่ยินยอม คืนนั้นนางดูดความอบอุ่นจากเขาไปหลายครั้งจริงดังกล่าว“ท่านนี่!” เฉินเจียวเหมยหลับตาตะคอกหน้าแดงหูแดง อย่าย้ำได้หรือไม่! อย่าย้ำได้หรือไม่! นางทำได้แค่นั้น“ทำไม” ครานี้เป็นจ้าวจิ่นหลงบ้างที่ยืนกอดอกหรี่ตามองเฉินเจียวเหมยอย่างผู้ชนะ“หึ!” เฉินเจียวเหมยยังคงทำได้แค่ส่งเสียงในลำคออย่างขัดเคืองใจกับบุรุษแปลกหน้าคนนี้ยิ่งนัก นางทำได้เพียงยืนเท้าสะเอวเชิดหน้าอย่างถือดี โดยไม่มีอันใดจะกล่าวนางเถียงเขาไม่ได้ในเรื่องนี้จ้าวจิ่นหลงเพียงยืนกอดอกก้มมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่ยินยอมเช่นเดียวกันและแล้วความเงียบ
“แค่ก แค่ก”เฉินเจียวเหมยสำลักน้ำจนตัวโยนในขณะที่จ้าวจิ่นหลงรีบเอื้อมมือขึ้นปัดปอยผมออกจากวงหน้าของนางพัลวัน เขารีบกอดประคองนางให้ลอยคออยู่ในน้ำทั้งอย่างนั้น พลางเมียงมองหาฝั่งที่ใกล้ที่สุดอย่างเร็วเมื่อเห็นว่านางสำลักน้ำจนหน้าแดง จมูกและริมฝีปากแดงไปหมดอย่างน่าสงสารจับใจ“ม้าเล่า” เฉินเจียวเหมยถามหาม้าในทันทีที่หายดีจากอาการสำลักน้ำ“มันว่ายน้ำไปทางนั้น” จ้าวจิ่นหลงตอบคำพลางโอบกระชับเฉินเจียวเหมยให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้นเพื่อจะพานางขึ้นฝั่งทางด้านหนึ่งที่ประเมินดูแล้วใกล้กับพวกเขามากที่สุดในยามนี้“มันไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เฉินเจียวเหมยยังคงเอ่ยถึงม้าอย่างนึกห่วงใย“เจ้าห่วงตัวเองก่อนดีหรือไม่” จ้าวจิ่นหลงบ่นออกมาเฉินเจียวเหมยถึงกับหรี่ตามองใครบางคนที่นางกอดต้นคอของเขาอยู่พลันนึกขัดใจขึ้นมาก่อนเอ่ยเสียงแหลม “ม้าตัวนั้นมันช่วยท่านเอาไว้นะ”จ้าวจิ่นหลงถึงกับชะงักไปอึดใจก่อนหันหน้ามามองสตรีในอ้อมแขนด้วยสายตาบางอย่างแต่ทว่า...เขาเพียงเอ่ยเสียงต่ำออกมาด้วยอารมณ์ขัดเคืองไม่ต่างกัน “แล้วมันต้องตกหน้าผาลงมาในน้ำเพราะใคร”“...”เฉินเจียวเหมยถึงกับนิ่งอึ้งไป เพียงอึดใจจึงส่งยิ้มแห้งๆใส่หน้าจ้
เขาเป็นองค์ชายที่มีตำแหน่งพ่วงท้ายเป็นรัชทายาทแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องเช่นนี้ เขาไม่แปลกใจ“อาเหมย...” จ้าวจิ่นหลงตัดสินใจปลุกสตรีในอ้อมกอดให้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่นางกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ภายในอ้อมอกของเขา“หืม...” เฉินเจียวเหมยจึงงัวเงียตื่นขึ้นมาจากนิทรารมย์ฝันหวานที่นางไม่รู้เลยว่ามันมิใช่แค่เพียงความฝัน“ตื่นขึ้นมาก่อน ยามนี้อันตราย” จ้าวจิ่นหลงยังเอ่ยคำไม่ทันจบ รอบด้านของเขาพลันปรากฏเงาร่างของชายชุดดำหลายคนกำลังคืบคลานพรางตัววูบไหวใกล้เข้ามา“อันใด” เฉินเจียวเหมยพลันได้สติตื่นเต็มตาด้วยสัญชาตญาณจ้าวจิ่นหลงไม่เสียเวลาอธิบาย เขารีบจับยกร่างของเฉินเจียวเหมยขึ้นอุ้มแล้วนำนางไปวางเอาไว้บนหลังม้าในทันที“เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่ ขี่ม้าหนีไป ข้าจะอยู่ทางนี้เอง” ชายหนุ่มรีบเอ่ย“ท่านขึ้นมา” เฉินเจียวเหมยตอบแค่นั้นพลางจับสาบเสื้อช่วงไหล่ของจ้าวจิ่นหลงแล้วย้ำ “ขึ้นมา!”จ้าวจิ่นหลงจึงรีบขึ้นหลังม้าซ้อนกับร่างของเฉินเจียวเหมยในทันทีก่อนจะเอื้อมมือไปจับดาบที่อยู่ตรงข้างลำตัวของม้าแล้วดึงออกจากฝักอย่างไม่เสียเวลาคิดอันใดเนื่องจากชายชุดดำได้เข้ามาจนถึงตัวของพวกเขาแล้วในยามนี้“ไป!” เสียงคำรามของจ้าวจิ่
ภายใต้ร่มไม้ร่มรื่นของป่าใหญ่หนาทึบ จ้าวจิ่นหลงเพียงบังคับม้าให้เดินเท้าอยู่เพียงเบาๆ มิได้เร่งรีบเหมือนดั่งเช่นในคราแรกเนื่องจากว่าในยามนี้ มีสตรีผู้หนึ่งผู้ซึ่งนั่งอยู่ภายในอ้อมแขนของเขาบนหลังม้าตัวเดียวกันนี้ นางกำลังนั่งสัปหงกคอพับคออ่อนอยู่ตรงแผงอกของเขานางคงใช้เรี่ยวแรงในการวิ่งหนีเขาเมื่อก่อนหน้านี้มากจนเกินไป หนีแล้วหนีอีกอยู่นั่น วิ่งไปทั่วหมู่บ้านอยู่อย่างนั้น มิรู้ได้ว่าจะหนีทำไมกันนักกันหนา หนีอยู่ได้ น่าขย้ำนัก!จ้าวจิ่นหลงนึกเข่นเขี้ยวอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มเพียงก้มหน้ามองเฉินเจียวเหมยที่กำลังนั่งหลับอยู่ตรงด้านหน้าของเขาในยามนี้ เขาจึงเอื้อมมือที่จับกุมเอวของนางขึ้นมาแล้วจับเอาศีรษะของนางกดเอาไว้ให้แนบกับแผงอกของเขา ให้นางได้หลับสบายอยู่ตรงแผงอกของเขา เขาเกรงว่านางจะสัปหงกจนตกม้าไป แล้วคอหักตายไปเสียก่อนที่จะได้เข้าพิธีแต่งงานกับเขามีสตรีมากมายที่ต้องการจะแต่งงานเป็นชายาของเขาแต่ละนางหาเรื่องเข้ามาหาเขาในวังไม่เว้นในแต่ละวัน จนเขานึกรำคาญก็เลยแอบปลอมตัวออกท่องเที่ยวไปถ้วนทั่วแผ่นดินจนมาถึงแคว้นเฉินแห่งนี้ แต่นาง...นางหนีเขา…นางทำการอุกอาจเพื่อที่จะ
เฉินเจียวเหมยเงียบงันพลันครุ่นคิดหาทางหนีทีไล่อยู่ภายในใจ เอาอย่างไรดี?“หยุดคิดที่จะหนีข้าได้แล้ว” จ้าวจิ่นหลงคำรามเสียงดังอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้าเฉินเจียวเหมยถึงกับสะดุ้งตกใจ“พูดดีๆ ก็ได้” หญิงสาวตะคอกกลับเสียงดัง“เจ้าคุยไม่รู้เรื่อง”“ท่านนั่นล่ะคุยไม่รู้เรื่อง”“เจ้านั่นล่ะ”“ท่านนั่นล่ะ”“ฮึ!”“หึ!”ทั้งสองสะบัดหน้าหนีออกจากกันคนละทิศละทางแม้ว่ากายงามจะยังคงแนบชิดพวกเขายังคงนั่งซ้อนกันอยู่บนหลังม้าอึดใจต่อมา จ้าวจิ่นหลงจึงทำท่าจะควบตะบึงม้าให้ออกตัวเดินทางอีกครา โดยที่มือข้างหนึ่งของเขายังคงรัดรึงโอบกอดร่างของเฉินเจียวเหมยที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คุมบังเหียนม้าเพื่อบังคับให้ไปตามทางเฉินเจียวเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบเอื้อมมือของตนขึ้นจับมือของจ้าวจิ่นหลงที่กำลังจับบังเหียนม้าอยู่อย่างรวดเร็วเมื่อมือเล็กจับกุมมือใหญ่ ชายหนุ่มจึงชะงักไป“หยุดเลย!” เฉินเจียวเหมยยังคงเสียงดัง“อันใด!”“ท่านจะพาข้าไปที่ใด”“พาเจ้ากลับแคว้นจ้าว”“ข้าไม่ไป”“ทำไม”“ไม่ไปก็คือไม่ไป ท่านนี่ พูดไม่รู้เรื่อง” เฉินเจียวเหมยเริ่มหงุดหงิดเหลือประมาณ“...”จ้าวจิ่นหลงถึงกับเงียบงัน เข
เฉินเจียวเหมยเพียงใช้หางตาแอบมองใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กันอย่างระแวงอยู่ตลอดเวลา เขากำลังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยมาดของบุรุษที่มีเสน่ห์น่าแทรกกายเข้าหานางติดใจเขาเสียแล้ว นางเป็นสตรีอย่างนี้ได้อย่างไร อา...นางต้องอยู่ให้ไกลจากเรือนร่างอันยั่วยวนของเขา นางต้องหนีเขาไปให้ไกล ก่อนที่นางจะรู้สึกคลั่งเขาไปมากกว่านี้เรื่องอย่างนี้จะให้ใครล่วงรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะกับบุรุษน่าตายผู้นี้ นางจะต้องเก็บข่มมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด ไม่ได้ ไม่ได้นางจะเสียชื่อหมอหญิงผู้เก่งกาจทุกสถานการณ์อย่างนี้...ไม่ได้! จะเสียท่าให้กับยาปลุกกำหนัดของตัวเองอย่างนี้...ไม่ได้! จะตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างนี้...ไม่ได้! จะ....หือ!และแล้วความคิดที่ต้องการจะหนีใครบางคนด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงของเฉินเจียวเหมยพลันตกไป ด้วยเพราะว่าใครบางคนนั้นพลันอุ้มนางลงจากรถม้าแล้วพานางมาขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนจะควบตะบึงม้าพานางออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดและเพียงอึดใจ เสียงควบตะบึงม้าพลันดังขึ้นมาในโสตประสาทของเฉินเจียวเหมยและทำให้นางได้เข้าใจไม่...เฉินเจียวเหมยได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจเวลาผ่านไปครู่ใหญ่แล้วเฉินเจียวเหมยยังคงถูกบุรุษแป







