ต้นหวายที่อี้ซินกำลังตัดลักษณะของลำต้นหวายยาวจากโคนถึงยอดและมีขนาดเท่า ๆ กัน หวายมีความเหนียว ยืดหยุ่น แข็งแรง สามารถดัดโค้งงอได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบาและทนนาน หวายมีลักษณะเฉพาะตัว คือ มีความสวยงามตามธรรมชาติที่นิยมนำมาทำเครื่องจักสานหรือเครื่องมือเครื่องใช้ เพราะเนื้อและผิวหวายมีลักษณะสวยงามเหนียวทนทาน ส่วนต่าง ๆ ของหวายยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ผิวที่ลอกออกจากลำหวายนำมาจักสานทำเสื่อ ตะกร้า เครื่องดักปลา เก้าอี้ โต๊ะ และเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่าง ๆ ใบและใบย่อยใช้ทำแฝกมุงหลังคา เครื่องจักสาน มู่ลี่และใช้แทนเชือกในการผูกมัด ไส้ใช้ในการจักสานและใช้เป็นส่วนเสริมแต่งให้ประดิษฐ์กรรมชนิดต่าง ๆ แลดูสวยงามยิ่งขึ้น ราก ผล และหน่อหวายบางชนิดสามารถนำมาใช้ทำยาและเป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์ได้
อี้ฟงที่ยืนมองพี่สาวพยายามตัดหวายด้วยความสงสารเพราะสังเกตเห็นมือบอบบางนั้นมีเลือดไหลแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ละความพยายาม จนได้หวายมาจำนวนมาก
อี้ซินที่เห็นว่าเยอะพอแล้วจึงลอกเอาเปลือกหวายมาเส้นหนึ่งแล้วมัดเข้าด้วยกันเพื่อง่ายในการพากลับ และเหมือนกับได้โชคสองชั้นเพราะด้านหลังพุ่มต้นหวายแน่นขนัดที่นางตัดจนโล่งเตียนนั้นเป็นดินเหนียวนางมองเห็นบ้านหลังน้อยๆ ของนางกับอี้ฟงอยู่รำไร จึงมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาเป็นกอง หันหน้าไปหาร้างเล็กเพื่อให้ช่วยกันรากกองหวายกลับกระท่อมกลับเห็นเจ้าตัวเล็กดวงตาแดงก่ำ รู้สึกตกใจยิ่งนักคิดว่ามีอะไรกัดเอาหรือไม่จึงรีบถามพร้อมเข้าไปจับร่างเล็กหมุนดู
"ฟงเอ๋อเป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือไม่"
อี้ฟงที่ส่ายหน้าปฏิเสธแล้วจับมือบางของพี่สาวขึ้นมาลูบเบาๆ
"พี่ใหญ่เจ็บมากหรือไม่ ข้าจะรีบโตๆ ไวไวนะขอรับ จะได้ดูแลท่าน"
อี้ซินที่มองดูฝ่ามือตนเองที่มีรอยเลือดเกรอะกรังและห้อเลือดจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าตัวเล็กถึงร้องไห้
" ไม่เป็นไรอี้ฟง แผลนิดเดียวไม่นานก็หายแล้ว เจ้าอย่าได้ห่วง"
ยกมือบางขึ้นลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู
" ไป เรารีบพาหวายพวกนี้กลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวพี่จะทำอะไรให้เจ้าดู"
แล้วสองพี่น้องก็ช่วยกันลากหวายกองใหญ่กลับกระท่อม ก่อนอี้ซินจะทำการตัดคัดแยกเป็นส่วนๆ ใบของมันนางจะเก็บไว้ทำหลังคาบ้านหลังน้อยของนาง และจัดการกับลำหวาย ลอกผิวจากลำหวายอย่างชำนาญแล้วให้อี้ฟงขนไปผึ่งไว้ กว่าจะลอกหวายหมดก็ตอนดวงตะวันขึ้นตรงหัวพอดีจึงชวนอี้ฟงไปล้างไม้ล้างมือแล้วมากินซุปเห็ดที่ทำเอาไว้เมื่อเช้า ก่อนจะเริ่มลงมือสานตะกร้าหวายใบใหญ่ด้วยความรวดเร็วจนอี้ฟงที่มองอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นเป็นรูปเป็นร่าง
"พี่ใหญ่ เก่งจังเลย"
อี้ซินที่หันไปส่งยิ้มกว้างให้น้องชายก่อนจะเอ่ยขึ้น
"พี่จะทำตะกร้าใบใหญ่ไว้ใส่เครื่องใช้ที่พี่จะสานจากหวายพวกนี้แล้วนำไปขายจะได้มีเงินมาซื้อข้าวให้เจ้ากินอย่างไรเล่า"
ใช้เวลาเพียงไม่นานนางก็ได้ตะกร้ารูปทรงสี่เหลี่ยมใบโตและมีน้ำหนักเบากว่าตะกร้าในยุคนี้ และจะมีน้ำหนักเบาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหวายเริ่มแห้ง จากนั้นจึงได้นำหวายเส้นเล็กมาถักเป็นสายไว้สะพายหลัง
" เสร็จแล้ว"
อี้ฟงที่วิ่งเล่นอยู่ข้างๆ รีบมาชะโงกคอดูเห็นเป็นตะกร้ารูปทรงประหลาดตาจึงมองดูด้วยความสนใจ
"โอ้โห! พี่ใหญ่สอนข้าบ้างได้หรือไม่"
"ได้สิ มานั่งนี่มาพี่จะสอนเจ้าทำตะกร้าใส่ของแบบมีหูหิ้ว พรุ่งนี้เราจะพาไปขายในตลาดกัน"
เสียงสองพี่น้องที่นั่งพูดคุยด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะช่วยกันสานข้าวของเครื่องใช้ดูแปลกตาแต่ดูสวยงามและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้สารพัด จนดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ อี้จึงได้ลุกขึ้นไปก่อกองไฟ แล้วลงมือทานอาหารซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากซุปเห็ด มองดูทั่วบริเวณที่เริ่มจะมืดลง หากมีตะเกียงก็คงจะดี แต่กระท่อมแห่งนี้ไม่มีอะไรเลย นางคงต้องเร่งมือหารายได้โดยด่วน จึงบอกให้อี้ฟงเข้านอนก่อนนางจะสานกระเป๋าอีกสักพัก นางกะจะทำให้ได้สักห้าใบเพื่อจะพาไปขายในวันรุ่งขึ้น ตอนนี้ยังได้เพียงแค่สามใบเท่านั้น
อี้ซินที่กะพริบตาปริบๆ ปรับสายตาให้รับกับแสงสว่างที่สาดกระทบ บิดกายที่เมื่อยขบรู้สึกถึงความปวดหน่วงตรงกลางร่าง ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง เมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่แผ่กระจายอบอวลอยู่รอบกายของนาง สิ่งแรกที่เห็นเมื่อลืมตาขึ้น คือแผงอกอุ่นกำยำที่เปลือยเปล่าไม่แตกต่างจากนาง ความร้อนสายหนึ่งพลันแผ่กระจายทั่วใบหน้างามจนแทบผลิแตกภาพความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ พุ่งเข้ามาตีแสกหน้า ก่อนจะไล่สายตามองขึ้นไปตามอกแกร่ง มองดูไหล่ผายกว้างรับกับลำคอแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยรอยเล็บที่เกิดจากฝีมือนาง ตอกย้ำว่าเมื่อคืนนี้ระหว่างคนทั้งสองเร่าร้อนเพียงใดทอดสายตามองสันกรามได้รูป ปากหนาสีระเรื่อที่ช่างร้ายกาจเหลือร้าย รับกับจมูกโด่งสวยราวสวรรค์ปั้นแต่ง ก่อนจะไล่สายตาขึ้นไปเหลือจมูกโด่งนั้นแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขานั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลามาก แต่เมื่อได้มองใกล้ๆ เช่นนี้ กลับยิ่งหล่อเหลามีเสน่ห์ขึ้นอีกหลายเท่านัก สายตากลมโตที่ไล่ขึ้นสูงพลันสั่นไหวรุนแรงอย่างเขินอาย เมื่อสบเข้ากับสายตาวาบหวามที่กำลังมองนาง จนต้องรีบหลบสายตาอย่างรนราน มือบางรีบดึงรั้งผ้าห่มขึ้นมาคลุมใบหน้าที่ผ่าวร้อน แต่ต้องตกใจจนกรีดร้อง เมื่
อี้ซินที่สั่นสะท้านผวาเฮือก ขนกายพลันลุกชันทั่วร่าง จิกปลายเท้าลงบนที่นอนหนานุ่ม เมื่อลมหายใจร้อนผ่าวนั้นเป่ารดลงบนกลีบดอกอวบอูมของดอกไม้งามมือหนาของหานตงที่จับเรียวขาสวยแยกออกกว้าง มองดูกลีบดอกบอบบางขาวนวลผลิแยกออกจากกัน ปรากฏภาพความงามล้ำตรงหน้าที่ยากจะถอดถอนสายตา ลิ้นหนาที่แลบออกมาไล้เลียริมฝีปากที่แห้งผาก กลืนก้อนแข็งลงคอ ก่อนจะส่งปลายลิ้นร้อนสากระคาย กระดกลงบนตุ่มเกสรสีแดงระเรื่ออย่างหยอกเย้า จนร่างบางครางฮือ กระดกสะโพกหนั่นแน่นขึ้นอย่างเสียวซ่าน จิกปลายเล็บแหลมลงบนบ่ากว้าง ปากหนาที่เลื่อนมาแตะจูบลงบนต้นขาอ่อนราวจะปลอบประโลมให้นางคลายความหวาดหวั่น แล้วค่อยๆ และเล็มจูบซับมาตามต้นขาขาว ไต่ไล่ระดับมายังเนินเนื้องามอีกครั้ง มือหนายกขาเรียวให้ชันเข่าแบะออกกว้าง ใช้นิ้วเรียวคลี่แย้มกลีบดอกตูมเต่ง ก่อนจะซุกใบหน้าลงดอมดมกุหลาบงาม ชอนไชลิ้นร้อนปาดเลียตรงรอยแยกของกลีบดอกอูม จนอี้ซินต้องกัดปากครางแผ่วเบาสะท้านเฮือกไปทั้งตัว ลิ้นร้อนยังคงชำแรกฉกชิมความหวานของกลีบดอกที่ตูมแต่งขึ้นเพราะอารมณ์กำหนัดที่ถูกปลุกเร้า จนนางต้องบิดส่ายสะโพกไปมาด้วยความซ่านสยิว รู้สึกแปลบปลาบไปทั่วร่างมือบางเอื้อมไป
หานตงที่รู้สึกยินดียิ่งนัก ทั้งกอดทั้งหอมสตรีในอ้อมแขน กว่าจะยอมปล่อยนางแก้มนวลถึงกับช้ำไปหมด เร่งนำข่าวดีนี้มาแจ้งแก่มารดา ให้ส่งแม่สื่อไปสู่ขอนางกับท่านป้าหวัง พร้อมกำหนดวันแต่งให้เร็วที่สุด จนทุกคนได้แต่ส่ายหน้าให้กับคนคลั่งรักที่ยิ้มจนปากจะฉีกถึงใบหู อย่างที่อาฉี กระแนะกระแหน หานตงที่ยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะแต่งเสียพรุ่งนี้ ฤกษ์ที่ได้มาถึงแม้จะเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุดก็อีกตั้งสิบวันข้างหน้า เขาจึงได้แต่ตั้งตารอให้ถึงวันนั้นเร็วๆวันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้วที่ทุกคนต่างวิ่งวุ่นกันเตรียมงานมงคลที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายนั้นต้องการให้ออกมาดีและเป็นงานแต่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี ให้สมกับการได้เกี่ยวดองกันของตระกูลที่มั่งคั่งทั้งสองตระกูล ผู้คนต่างพากันยินดีและพูดถึงข่าวมงคลนี้และวันนี้ก็มีข่าวที่เกี่ยวกับเรื่องการตายของบิดามารดานาง ที่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองกลบข่าวงานมงคลเสียสนิท ที่ต่างถูกกล่าวถึงไปทั่ว เมื่อได้รับรู้ แม้จะทำให้รู้สึกปวดร้าวจิตใจยิ่งนัก แต่ก็รู้สึกดีที่นางเรียกร้องความยุติธรรมให้เจ้าของร่างได้ อย่างน้อยก็ได้ตอบแทนที่ให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในร่างนี
ตั้งแต่วันปักปิ่นเป็นต้นมา ข้างกายของอี้ซินก็มีเซี่ยหานตงคอยประกบอยู่ไม่ห่าง แม้ใครจะกล่าวว่าเขาเป็นบุรุษคลั่งรักเขาก็ยินดีน้อมรับ ก็เขาคลั่งรักจริงดังว่าตอนนี้เหลาอาหารก็ดำเนินการไปกว่าครึ่งแล้ว เริ่มจะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ผู้คนต่างร่ำลือถึงเหลาอาหารที่กำลังสร้าง เพราะรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่เหลาอาหารจะเปิดให้บริการโดยไม่รู้ตัว คาดว่าวันที่เปิดเหลาอาหารผู้คนคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างคับคั่งเป็นแน่ ผู้คนที่พบเห็นต่างไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไม้ไผ่ที่นอกจากจะนำมาทำเป็นเครื่องจักสานแล้วยังสามารถนำมาสร้างเป็นเหลาอาหารขนาดใหญ่รูปทรงแปลกตาสวยงามและยังแข็งแรงทนทานอีกด้วยอี้ซินนางตั้งใจจะสร้างเหลาอาหารของนางเป็นแบบร้านอาหารที่กำลังเป็นที่นิยมในโลกปัจจุบันแนวรักธรรมชาติ โดยเหลาอาหารของนางนั้นมีสองชั้นและมีมุมที่เปิดโล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้บรรยากาศที่ดูอบอุ่น ฝาผนังทุกด้านถูกออกแบบให้พับเก็บได้คล้ายประตูบานเลื่อนในยุคปัจจุบัน เพื่อให้สามารถให้บริการได้ในทุกๆ ฤดูกาล หากต้องการชื่นชมบรรยากาศภายนอกก็สามารถเลื่อนประตูให้เปิดออก รอบๆ บริเวณเหลาอาหารก็ล้วนถูกประดับตกแต่งด้
อี้ซินที่กำลังที่นอนพลิกกายไปมาเพราะไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ มิรู้ว่าเพราะผิดที่หรือเหตุการณ์วาบหวิวที่เกิดขึ้นก่อนหน้ากันแน่ถึงทำให้นางต้องนอนกระสับกระส่ายอยู่แบบนี้ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้นางหยุดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดลุกขึ้นมาเอ่ยถามขึ้น"ใครเจ้าคะ""แม่เอง แม่ขอเข้าไปนะ"เป็นหวังจูชิงมารดาบุญธรรมของนางนั่นเอง"เจ้าค่ะ"อี้ซินที่มองมารดาบุญธรรมที่เปิดประตูเข้ามาในมือนั้นมีกล่องลวดลายงดงามเข้ามาด้วย"แม่นำปิ่นที่จะใช้ปักในวันพรุ่งนี้มาให้เจ้าเลือก"เถ้าแก่เนี้ยหวังบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะวางกล่องเครื่องประดับที่ด้านในมีปิ่นปักผมลวดลายงดงามมากมายอี้ซินที่มองปิ่นในกล่อง และเงยหน้ามองมารดาบุญธรรมก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่าย เอ่ยออกมาเบาๆใบหน้านั้นแดงก่ำ"เอ่อ ข้ามีปิ่นที่จะใช้ในพิธีอยู่แล้วเจ้าค่ะท่านแม่"พร้อมกับลุกออกไปหยิบกล่องปิ่นปักผมที่นางนำติดตัวมาด้วยส่งให้มารดาบุญธรรม ด้วยมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นนางจึงลืมเสียสนิทที่จะนำปิ่นที่จะใช้ปักปิ่นของนางมอบให้มารดาเถ้าแก่เนี้ยหวังที่รับกล่องลวดลายงดงามประณีตขึ้นมาเปิดดู ด้านในเป็นปิ่นปักผมที่งดงามมาก บ่งบอกถึงความใส่ใจของผู้ใ
"ซินเอ๋อ หากป้าจะรับเจ้าและฟงเอ๋อเป็นบุตรบุญธรรมเจ้าจะยินดีหรือไม่"หวังจูชิงที่มองดรุณีน้อยตรงหน้าด้วยสายตาคาดหวัง นางนั้นเป็นหญิงหม้ายไร้บุตรหลาน และรู้สึกรักและเอ็นดูในตัวเด็กสาวและน้องชายตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า ยิ่งได้รับรู้ชะตากรรมของเด็กน้อย ยิ่งอยากที่จะอุ้มชูอี้ซินที่มองสตรีวัยกลางคนตรงหน้าอย่างทราบซึ้งถึงความเมตตาที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ตลอดมา นางและน้องชายนั้นได้รับความรักและเอ็นดูจากสตรีผู้นี้มาตั้งแต่ต้นจึงไม่ลังเลเลยที่จะตอบรับคำนั้นเพื่อต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งพิงให้สตรีผู้นี้ "ข้ายินดีเจ้าค่ะ"อี้ฟงที่ถูกตามตัวมาก็ยินดีและตื่นเต้นยิ่งนักที่จะมีมารดาเป็นท่านป้าหวังผู้ใจดีมีเมตตา หานตงที่เห็นดังนั้นจึงเตรียมน้ำชาให้คนรักเพื่อใช้คำนับท่านป้าหวังเป็นมารดาบุญธรรม โดยมีมารดาของตนร่วมเป็นสักขีพยานด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ต่อไปหวังจูชิงผู้เป็นสหายรักจะได้ไม่เหงาเมื่ออี้ซินและอี้ฟงคำนับหวังจูชิงเป็นมารดาบุญธรรมแล้ว ร้านค้าตระกูลหวังจึงได้จัดงานเลี้ยงเล็กๆร่วมกันรับประทานอาหารเป็นการภายในและเถ้าแก่เนี้ยตระกูลหวังก็ประกาศให้คนในปกครองได้รู้ถึงฐานะของทั้งสองว่าทั้งสองนั้นคือทายาทของต