ท้ายหมู่บ้านเซิงหยาง
“เอาของข้ามานี่นะ” เสียงเข้มของเพ่ยอินเหยาดังขึ้นพลางยื้อแย่งตุ๊กตาผ้ามาจากกลุ่มเด็กชายสามคนที่กำลังทำตัวเป็นอันธพาลครองเมือง
“นี่อินเหยา…เจ้าไม่มีวันสู้แรงข้าได้หรอก ยอมแพ้ข้าซะเถอะ” เสียงเข้มของเสี่ยววู่เอ่ยพลางโยนตุ๊กตาเพียงตัวเดียวของเพ่ยอินเหยาทิ้งอย่างไม่ไยดี
“ไม่…นี่ของข้า” เพ่ยอินเหยาเอ่ยพลางผลักเสี่ยววู่ออกไปจนล้มลงไปกระแทกกับแผงขายของอย่างแรง
ร่างยักษ์ของเสี่ยววู่กระแทกแผงขายผักอย่างจังจนผ้าเนื้อดีของเด็กหนุ่มตัวใหญ่ฉีกออกไปติดกับตะปูที่ตอกบนแผงขายของ
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเด็กหนุ่มตัวใหญ่ทำให้โทสะของเสี่ยววู่เดือดดาลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ไหนแต่ไรมา…เขาไม่เคยเจอดรุณีนางใดที่ร้ายกาจเท่าเพ่ยอินเหยา สตรีที่อาจหาญมาต่อกรกับเสี่ยววู่ บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านเซิงที่ยิ่งใหญ่มาก่อน
ความไม่พอใจที่ฉายชัดผ่านแววตากลมโตของเพ่ยอินเหยายิ่งทำให้เสี่ยววู่หมดความอดทนราวกับฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดสะบั้นลงทันใด
เสี่ยววู่เหลียวมองดูแขนเสื้อของเขาที่ขาดอย่างเกรี้ยวกราดกว่าเดิม ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงราวกับลูกมะเขือเทศสุกจัด
“เพ่ยอินเหยา…เจ้านี่บังอาจมาก” เสี่ยววู่กล่าวพลางลุกขึ้นด้วยท่าทีไม่พอใจในดรุณีวัยเยาว์ตรงหน้าที่มองพวกเขาอย่างไม่กระพริบตา
“เจ้านั่นแหละที่บังอาจ” เพ่ยอินเหยากล่าวอย่างไม่กลัวเกรงในอำนาจที่มีทั้งหมดของอีกฝ่าย
ยามนี้นางไม่ผิดนางย่อมมีสิทธิ์ที่จะต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวของนาง และชิงชิง ตุ๊กตาผ้าของนาง
อินเหยายืนสงบนิ่งท่ามกลางเด็กหนุ่มทั้งสามที่ย่างเท้าหมายจะทำร้ายนางอย่างไม่กลัวเกรงต่อบุรุษผู้ใด
แววตาของดรุณีวัยเยาว์สาดประกายวาววับราวกับราชสีห์จ้องตะครุบเหยื่อเพียงแค่รอเหยื่อให้ตายใจ…ไวเท่าธูปหมด ร่างของเสี่ยววู่ก็กระเด็นลงไปกองกับพื้นด้วยแรงทั้งหมดของเพ่ยอินเหยา
เสี่ยวชิง และ เสี่ยวฮ่าวที่เห็นลูกพี่ของตนเสี่ยววู่ลงไปนอนกองกับพื้นดินทำให้พวกเขารีบขอโทษเด็กสาวที่ยืนกำหมัดแน่น
“ข้าไม่คิดว่า…เจ้าจะมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้” เสี่ยวฮ่าวกล่าวพลางเข้าไปสนทนากับอินเหยาอย่างประจบสอพลอ
“เจ้าทำให้เสี่ยววู่ลงไปกองกับพื้นได้อย่างไรอินเหยา” เสี่ยวชิงเอ่ยพลางเดินไปหยิบตุ๊กตาที่ถูกทิ้งขว้างลงกับพื้นอย่างไม่ไยดีส่งให้นาง
อินเหยารับตุ๊กตาชิงชิงที่ได้มาจากมือเล็กของเสี่ยวชิงอย่างรวดเร็ว
“ฝากไว้ก่อนเถอะเพ่ยอินเหยา” เสียงเข้มของเสี่ยววู่ตะโกนออกมาแล้วรีบสาวเท้าวิ่งหนีออกไปด้วยความหวาดกลัวในพละกำลังของดรุณี
“ข้าไม่ได้ทำอะไรมากหรอก…แค่โกรธนะ” เพ่ยอินเหยากล่าวพลางรับตุ๊กตามาจากเสี่ยวฮ่าวด้วยมือข้างขวา นางกำตุ๊กตาผ้าไว้แน่นราวกับว่าวัตถุชิ้นนี้จะหลุดลอยหายลับเข้ากลีบเมฆาเสี่ยนี่
“เสี่ยววู่เป็นคนเช่นนั้นมานานแล้ว…ข้าว่าลูกพี่อย่าใส่ใจเขาเลยจะหาเรื่องเดือดร้อนมาสู่ท่านเปล่า” เสี่ยวชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวราวกับว่ากลัวใครจะมาได้ยินเข้า
“เรื่องนั้นข้าจัดการเอง เจ้าวางใจเถอะ” เพ่ยอินเหยากล่าวพลางบอกต๋าเอ๋อร์ให้ไปเปลี่ยนอาภรณ์ในที่ลับตาผู้คนเพ่ยอินเหยาเหลียวมองไปยังจินเยว่ต๋าที่เดินหายลับตาไป ในใจของนางอดครุ่นคิดไม่ได้ว่า นางจะทำเช่นไรกับหมากเกมกระดานใหม่ที่ราชสำนักฉินเป็นแต้มต่อในครั้งนี้ดีทว่าเพ่ยอินเหยาอดใคร่ครวญไม่ได้ว่ากลับจวนครานี้จะโดนหวดขาลายสักกี่ไม้กันหนอ“ข้าเชื่อใจเจ้า หลินเจียอัน” เพ่ยอินเหยากล่าวอย่างแผ่วเบากับตนเองโดยหารู้ไม่ว่ามีบุรุษนิรนามแอบซ่อนดูอยู่ที่พุ่มไม้ด้านหลังราชสำนัก ฉีหัตถ์หนาของบุรุษหนึ่งกำลังจับฏีกาที่เหล่าขุนนางมาร้องเรียนกันอย่างไม่หยุดหย่อนสายพระเนตรขององค์ราชันหนุ่มเพ่งพินิศยังฎีกาที่ทรงได้รับมาจากเหล่าขุนนางฝีเท้าเบาของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นมาข้างพระกรรณขององค์ราชันดวงพักตร์คมคายขององค์ราชันเงยขึ้นจากการอ่านฎีกาเหล่านี้ภาพที่ปรากฎเบื้องพระพักตร์เป็นภาพของบุรุษหนุ่มไว้เปียหางม้ายาวไปจรดกลางหลัง บนศีรษะของกงกงสวมหมวกขันทีไว้ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในราชสำนักฉี“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ขอทรงเลือกป้าย” ชานกงกงเอ่ยกราบทูลองค์ราชันทรงพิจารณาป้ายไม้ที่มีตัวอักษรเขียนอย่างบรรจงหากแต่ห
“ท่านเล่ามาเถิด” เพ่ยอินเหยากล่าวกับสตรีนางนั้นด้วยสีหน้าเวทนาแม้ว่าอินตูตูจะสงสารแม่นางผู้นั้นมากมายเพียงใด แต่หากนางฝ่าฝืนกฎระเบียบของราชสำนักฉินก็เท่ากับว่าตายเปล่าแม้จักอยู่ในนามของขุนพลสตรีก็ตาม“อินตูตู เดิมข้าเป็นนางกำนัลในตำหนักเย็น อยู่ในราชสำนักฉี ทุกคนเรียกข้าว่า จินเยว่ต๋า สตรีที่ท่านเห็นเป็นพระสนมฟางกุ้ยเฟย ฟางเสวี่ยจี๋ ข้ามาจากแคว้นฉี” สตรีนางนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงล่ะล่ำล่ะลัก“ใครเป็นคนบงการเจ้า เสี่ยวต๋า” เพ่ยอินเหยาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“พระสนมฟางกุ้ยเฟยต้องการความดีความชอบจึงแอบส่งข้าเข้ามาเป็นไส้ศึกจารชนในครั้งนี้” เย่วต๋าเอ่ยด้วยความหวาดกลัวในสีหน้าของอินตูตู“แล้วเจ้าเข้ามาด้วยวิธีใด” ขุนพลสตรีเอ่ยถามพลางทอดมองไปยังใบหน้าหมดจดของนางที่ไม่มีไฝฝ้าอย่างพิจารณา“ข้าแอบลอบเข้ามาสลับเปลี่ยนตัวกับทหารชั้นเลวผู้นี้ หลังจากที่นางไปอาบน้ำที่ลำธาร ข้าได้ดักตีหัวนางจนสลบไปแล้วส่งนางไปให้ราชสำนักฉี” เสี่ยวต๋ากล่าวพลางก้มหน้าลงด้วยสีหน้าสำนึกผิด“อินตูตู ไม่สิท่านแม่ทัพอินเหยา…ท่านอย่าได้สังหารข้าเลย ข้าสัญญาว่าจักตอบแทนที่ท่านช่วยเหลือข้าด้วยการเป็นจารชนแคว้นฉินให้ท่าน หรื
“ใครขอให้เจ้าเชื่อเล่า” เพ่ยอินเหยากล่าวพลางหลบลงทำให้ดาบของสตรีปริศนาฟาดเข้าที่กิ่งไม้“หนูสกปรก อินตูตู” เสียงนั้นผรุสวาทมากกว่าเดิม“เจ้าต่างหากที่สมควรได้รับคำนั้น” เพ่ยอินเหยากล่าวพลางหลบหลีกคมดาบได้อย่างว่องไวด้วยวรยุทธ์ขั้นสูงของนางทว่าสตรีปริศนาไม่ยอมแพ้ นางยังคงฟาดดาบลงมาทว่าอินตูตูกลับหลบได้เสียทุกคราไปสองขาของเพ่ยอินเหยาวขยับสลับไปมาอย่างรวดเร็ว ขุนพลสตรีสืบเท้าหมายล่อ ‘สตรีปริศนา’ ผู้นั้นให้ตามเข้ามาในป่าลึก“เจ้าจะหนีไปที่ใด อินตูตูหนูสกปรก” เสียงหวานหากแต่เข้มตะโกนดังลั่นด้วยแรงโทสะอารามไม่ทันระวังตัวของฝ่ายอื่น ทำให้อินตูตูหยิบไม้เข้ามาฟาดไปที่ต้นคอของสตรีสวมอาภรณ์สีดำสนิทจนสตรีปริศนาที่ลอบปลอมตัวเข้ามาเป็นทหารเลวผู้นั้นสลบไสลคามือของเพ่ยอินเหยาเสียงฟองอากาศที่กระทบกับลมหายใจไม่อาจทำให้สตรีตรงหน้าสงบสติอารมณ์ลงได้เลยมือสองข้างของสตรีตรงหน้าแม่ทัพใหญ่พยัคฆ์คำรนปัดป่ายไปมาราวกับหาที่ยึดเหนี่ยวเพื่อหวังพยุงร่างอันกำยำของตนขึ้นมาเหนือน้ำ…ทว่านางคิดผิดยิ่งปัดป่ายดิ้นรนมากเท่าไหร่ กระแสน้ำยิ่งทะลักทะลายทำให้สตรีผู้นั้นสำลักน้ำราวกับกำลังขาดอากาศหายใจ“คารวะ แม่ทัพเซี่ย”
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าในค่ายมีแม่ทัพสองคนเห็นทีจะเป็นคนจากแคว้นฉินเพคะ” สตรีปริศนาสวมชุดดำอำพรางกายาเอ่ยกราบทูล“ข้าได้ยินมาว่ามีบุตรีขุนนางสกุลเซี่ยอยู่ด้วยใช่หรือไม่” เรียวโอษฐ์สีชาดตรัสด้วยพระอาการเรียบเฉย“สายของหม่อมฉันรายงานมาว่าใช่เพคะ แต่นางหาได้เป็นแม่ทัพใหญ่ไม่”เพ่ยอินเหยาอดรู้สึกไม่ได้ว่าเสียงหวานของสตรีนางนี้คล้ายกับทหารชั้นเลวผู้หนึ่งที่นางมักพบสตรีผู้นี้ระหว่างไปอาบน้ำริมลำธาร“จัดการมันซะ” เรียวปากของสตรีผู้นั้นขยับเพ่ยอินเหยาที่เหลือบมองเห็นเช่นนั้นก็พลันมองเห็นฝูงวิหคบินมาแต่ไกลจงอยปากของวิหกนั้นพุ่งเข้าหาเพ่ยอินเหยาอย่างรวดเร็วทว่าวรยุทธ์สูงส่งของขุนพลสตรีก็ทำให้หญิงสาวซัดปักษาจนราบคาบเสียงต่อสู้ระหว่างเพ่ยอินเหยาและปักษาสีดำสนิทดังสนั่นไม่อาจทำให้ขุนพลสตรีหยุดนิ่งต่อไปได้“นั่นใครอยู่ตรงนั้นออกมานะ” ทหารเลวผู้นั้นร้องตะโกนขึ้นด้วยเสียงดังฟางกุ้ยเฟยรีบดึงผ้าคลุมหน้าขึ้นมาปิดทันที สายพระเนตรของฟางกุ้ยเฟยเหลือบทอดเนตรเงาสีดำตะคุ่มหลบหลีกอย่างว่องไว“คุ้มกันพระสนม” เสียงเข้มของสตรีผู้นั้นเอ่ยขึ้นพลางวิ่งหนีตามเงาดำหายลับเข้าป่าอย่างรวดเร็ว“พระสนมฟางกลับกันเถิดพ่ะย่ะ
“เสี่ยวย้ง” แม่ทัพเซี่ยเอ่ยอีกคราด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ข้าน้อยรู้มาว่าแม่นางเพ่ยชอบดอกไม้อันใด หากเมื่อถึงจวนข้าน้อยจักไปเตรียมไว้ให้นะขอรับ” เสี่ยวย้งป้องปากกระซิบข้างหูของผู้เป็นนายอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวคิ้วเรียวของแม่ทัพใหญ่กระตุก ใบหน้าของเเม่ทัพเซี่ยจินหู่เวลานี้อดถมึงถึงขึ้นมาไม่ได้ที่เสียรู้แผนการของบ่าวกระนั้นจักทำเช่นไรได้ในเมื่อเวลานี้แม่ทัพเซี่ยพยัคฆ์คำรนได้ตกบ่วงพรางที่เขาขุดหลุมฝังตนเองไว้เสียแล้วไม่ว่าเหยาเอ๋อร์ชมชอบดอกไม้ใด เขาจะหามันมาให้จงได้ แค่เพียงได้มองใบหน้างามมีความสุขแค่นี้แม่ทัพเซี่ยก็ตายตาหลับ“เจ้ารู้หรือว่าเหยาเอ๋อร์ชอบดอกไม้อันใด” เซี่ยจินหู่ป้องปากกระซิบกระซาบกับบ่าวรับใช้ข้างกายอาภรณ์หนาสีน้ำเงินตุ่นขมุกขมัวไปด้วยคราบฝุ่นและดินโคลน เพ่ยอินเหยาเหลียวมองไปยังเนื้อผ้าที่นางชอบยิ่งนัก มันเป็นเนื้อผ้าลายสวยที่เหมาะสมกับตำแหน่งแม่ทัพตูตูอย่างนางแสงจากคบเพลิงที่จุดล้อมกองไฟให้ความอบอุ่นแก่เพ่ยอินเหยาเป็นพันทวี นางอดรู้สึกไม่ได้ว่าการกรำศึกกับแคว้นฉีง่ายดายเกินไปแสงจากคบไฟสาดประกายเห็นจนมองเห็นเงาดำทะมึนที่ทอดออกมา ดวงตากลมโตของเพ่ยอินเหยาเพ่งมองไปตามที่มาข
แสงไฟจากคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นกองใหญ่เพิ่มความอบอุ่นให้มือหนาของเพ่ยอินเหยาอย่างมากเลยทีเดียว“เจ้าหนาวรึ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพลางเอื้อมมือไปจับบ่าของไหล่หนาให้เบือนหน้าหันมามองทางเขา“หาใช่ไม่” เพ่ยอินเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขึงพลางพยายามสะกดกลั้นอารมณ์หนาวเหน็บในกระโจมของแม่ทัพใหญ่“เหยาเอ๋อร์…เจ้าอยู่กับข้าสองคนพูดจาธรรมดาเถอะ” เซี่ยจินหู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะในอาการของสตรีตรงหน้าพลางเอื้อมมือไปดึงร่างของนางให้เข้าใกล้เขามากกว่าเดิม“ท่านเมาแล้วรึ สหายเซี่ย” เพ่ยอินเหยาเอ่ยปากตามคำสั่งของเซี่ยจินหู่ บุรุษที่สตรีในใต้หล้าถวิลหาแต่หาใช่กับเหยาเอ๋อร์ไม่เซี่ยจินหู่แย้มเรียวปากพลางกระชับอ้อมแขนดึงร่างของอินตูตูที่ยามนี้ไร้ซึ่งเกราะรบกำบังกายาเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนใบหน้าคมของอินเหยาชิดจรดริมฝีปากของเขา“สหายท่าน…” ยังไม่ทันที่เพ่ยอินเหยาจะได้กล่าวคำใดต่อไป ร่างของแม่ทัพเซี่ยก็พลันเซไปด้านขวาพลางล้มลงไปกองกับอาภรณ์ผ้าคลุมมือหยาบของแม่ทัพใหญ่คว้าร่างอวบอัดของอินตูตูไว้มั่นหมายจะจับยึดไว้แน่นเพ่ยอินเหยาหวีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นแม่ทัพเซี่ยดึงร่างของนางให้ล้มทับตัวเขาอย่างจงใจ“ชู่ว์” นิ