LOGINอินเหยาคิ้วกระตุกข้างขวาทันทีที่เสี่ยวชิงถือโอกาสเรียกนางว่าลูกพี่ ดวงหน้าของดรุณีวัยเยาว์หันขวับมาทางเสี่ยวชิง
“ข้าสองคนต้องขออภัยในความมีตาหามีแววไม่ด้วยขอรับ
“ทำไมเสี่ยววู่ถึงเป็นคนเช่นนั้นเล่า” เหยาเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหากแต่หนักแน่นในคราเดียวกัน
แม้เพ่ยอินเหยาจะเคยได้ยินมาว่าสกุลวู่จะมีบุตรชายคนโตและคนเล็กแต่ก็ไม่คิดว่าเสี่ยววู่ หรือวู่อู่เจิ้น จะมีนิสัยร้ายกาจน่ารังเกียจเช่นนี้มาก่อน
“อินเหยาเจ้าเหม่ออันใด” สำเนียงคุ้นหูของบุรุษหนุ่มดังขึ้นใกล้สตรีผู้หนึ่งที่กำลังคุกเข่าเฝ้ามองเศษผ้าที่แหลกลาญอย่างไม่มีชิ้นดี
“ขออภัยท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าเพียงแต่ไตร่ตรองบางสิ่งอยู่เท่านั้น” เพ่ยอินเหยาเอ่ยกลับพลางหยิบเศษผ้าที่ขาดวิ่นขึ้นมาเพ่งดู
“เจ้าคิดเช่นไรอินเหยา” แม่ทัพจินหู่เอ่ยถามสตรีตรงหน้าที่กำลังเพ่งสายตาอ่านตัวอักขระที่เขียนขยุกขยิกอยู่
เศษผ้าขาดวิ่นที่อินเหยาตูตูถืออยู่มิอาจทำให้ใจของแม่ทัพใหญ่จินหู่สงบลงได้เลย โลหิตสีแดงฉานอาบอาภรณ์ไปครึ่งเสี้ยว
“ข้าน้อยเพียงแต่คิดว่านี่เป็นเศษอาภรณ์ของสตรีที่ถูกพวกมันจับมาสังหารอย่างโหดเหี้ยม” เพ่ยอินเหยาเอ่ยผ่านหมวกเกราะรบที่นางสวมใส่
แม่ทัพจินหู่ยกยิ้มขึ้นพลางมองดูทหารรับใช้ตนเองที่นับวันเริ่มฉายรอยความฉลาดมากกว่าเดิม เดิมทีเพ่ยอินเหยากับเซี่ยจินหู่เคยสาบานเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมานาน
ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงวันที่แม่ทัพจินหู่ พยัฆค์ร้ายผู้หยิ่งทระนงจะตกหลุมรักตูตูไปเสียแล้ว
เพ่ยอินเหยาเป็นบุตรีของพ่อค้าคหบดีสหายรักของบิดาของแม่ทัพเซี่ยจินหู่ บิดาของเหยาเอ๋อร์ฝากฝังนางไว้กับบิดาของเขา ด้วยเหตุนี้ทำให้บิดาของเขาตามใจนางเสียจนเขาอยากจะฟาดนางให้ขาลาย
แต่เยาว์วัยเหยาเอ๋อร์เป็นดรุณีอัปลักษณ์ แม้นางจะมีดวงหน้าหมดจดแต่กลับมีปานแดงที่ใหญ่มากข้างแก้มซ้ายของนางทำให้ถูกต่อว่าเป็นตัวอัปลักษณ์อยู่บ่อยครั้ง แม้เขาเองก็คิดเช่นนั้น
ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปปานแดงที่แก้มซ้ายของดรุณีหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นสร้างความประหลาดใจให้กับบิดาของเขาอย่างมาก
เพ่ยอินเหยากลายเป็นสตรีผู้งดงามที่สุดในจวนแม่ทัพเซี่ย
ดวงตาของนางสุกใสราวกับหยาดน้ำค้างยามรุ่ง ริมฝีปากหยักบางไร้ซึ่งการแต้มสีชาดแต่อย่างใด
เมื่ออยู่จวนอินเหยามักปล่อยผมของนางทิ้งตัวลงอย่างเป็นอิสระ หากมีแขกเหรื่อขุนนางใหญ่มาจวนเท่านั้น นางจึงค่อยทำตามธรรมเนียม
ฟิ้ว
ลูกดอกลูกหนึ่งพุ่งฝ่าวงล้อมของพวกเขา อินเหยาที่ได้สติก่อนจึงรีบดึงร่างกำยำของแม่ทัพเซี่ยให้หมอบลง
“ท่านแม่ทัพระวัง” อินเหยาตะโกนด้วยความตระหนกพลางรีบดึงร่างกำยำให้ก้มหมอบลงใกล้นาง
แม้ในระยะประชิดแม่ทัพเซี่ยกลับได้กลิ่นหอมอ่อนจางจากเรือนไหมที่ม้วนซ่อนใต้หมวกเกราะรบของนาง
ดวงตาคู่คมของเซี่ยจินหู่ลอบมองไปยังตูตูตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง ทว่าไม่ว่าแม่ทัพจินหู่ผู้นี้จักอุตสาหะมากเพียงใด หากแต่คงทำได้เพียงแต่มองเห็นนางอย่างไกล ๆ
“แม่ทัพเซี่ยท่านเป็นอันใดหรือไม่” อินตูตูเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมเมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่นิ่งเฉยต่อเหตุการณ์สงครามเมื่อครู่
เสียงของอินเหยาที่เอ่ยเรียกแม่ทัพจินหู่เมื่อครู่กลับดังก้องกว่าเดิม ยามเมื่อนางเห็นว่าแม่ทัพที่เป็นดั่งสหายของนางเอาแต่จับจ้องมองมายังอินเหยาอย่างตะลึงงัน
“ท่านแม่ทัพเซี่ย อินตูตู ทัพของเราถูกล้อมไว้หมดขอรับ” ทหารกล้าผู้หนึ่งกล่าว
แม่ทัพเซี่ยจินหู่ได้ยินก็พลันอดรู้สึกตกใจไม่ได้ ทว่าอินตูตูที่ได้สติเร็วกว่ารีบเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว
“ข้ากับท่านแม่ทัพขอปรึกษากันชั่วครู่” เพ่ยอินเหยากล่าวพลางรีบพยุงร่างกำยำสูงโปร่งของแม่ทัพจินหู่ให้ลุกขึ้น
“ขอรับอินตูตู” ทหารกล่าว
“เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเพ่ยอินเหยา” แม่ทัพจินหู่เอ่ยถามอินตูตูอย่างประเมินขุนพลสตรีเบื้องหน้า
ราชสำนักฉี“ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเข้มของหมอหลวงกราบทูลต่อหน้าองค์ราชัน“ยามนี้พระสนมทรงกำลังจะให้กำเนิดโอรสมังกรสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยกราบทูลด้วยอาการตื่นตระหนก“ดี” องค์ราชันตรัสพลางยกพระหัตถ์ลูบพระหนุด้วยแววพระเนตรฉายวาวระยับรองพระบาทสีทองอร่ามตาสาวเข้าไปใกล้เตียงบรรทมของหมินผิน องค์ราชันทอดมองดวงพักตราหวานราวหยาดน้ำผึ้งแรกแย้ม พระขนงโก่งดั่งคันศร เรียวปากกระจับแต้มสีชาด หมินเจียหรงจัดเป็นผินที่พระองค์โปรดปรานมาก รองจากฟางกุ้ยเฟย และฉางฮองเฮาดวงเนตรคู่คมทอดมองไปยังหมินเจียหรงที่บัดนี้ยังไม่ทันได้พระสติ วรองค์สง่างามประทับลงข้างสนมทรงโปรดพลางเอื้อมพระหัตถ์ปัดพระเกศาที่ตกลงมาออกจากวงพักตรางดงามตั้งแต่จำความได้หมินเจียหรง สนมตระกูลหมินเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลม หากแต่หมินผินกลับรู้จักวางตัว เจียมตนให้เหมาะสม บิดาของหมินผินเป็นขุนนางขั้นสองนับได้ว่าเป็นใหญ่ไม่น้อยในราชสำนักฉีทว่าบิดาของหมินผินกลับเจียมตนยิ่งกว่าบุตรสาว ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงโปรดบิดาของหมินผินไม่น้อยไปกว่าหมินเจียหรงเวลานี้ในราชสำนักคงมีข่าวยินดีไม่น้อย หากแต่ในพระทัยกลับทรงกังวลด้วยการศึกเขตชายแ
“เจ้าว่าอันใดนะ เจียกูกู” สุรเสียงหวานของหมินผินตรัสขึ้นอย่างตระหนกพระทัย“ทูลนายหญิง หม่อมฉันได้ยินข่าวจากตำหนักฮองเฮาว่า ฟางกุ้ยเฟยเสด็จไปชายแดนเพื่อลอบสังหารแม่ทัพแคว้นศัตรูเพคะ” เจียกูกูตรัสกราบทูลนายหญิงตนเองด้วยสีหน้าซีดเผือด“เหลวไหล…ฟางกุ้ยเฟยนางทำเช่นนั้นไปทำไม” หมินผินตรัสต่อหน้าเจียกูกูด้วยสีพระพักตร์ดุดัน “หม่อมฉันได้ยินมากับหูเพคะ นายหญิง” เจียกูกูทูล“หากการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ราชสำนักฉีแย่แน่ เวลานี้บ้านเมืองเกิดสงคราม เราจะต้องหาทางกราบทูลฮองเฮาให้ทราบความนี้ นางอาจมีแผนการร้ายที่พวกเราไม่รู้ก็เป็นได้” สิ้นสุรเสียงของหมินเจียหรง วรกายอรชรก็เป็นลมล้มพับไปในทันที“นายหญิง เกิดอันใดขึ้นเพคะ” เจียกูกูร่ำร้องเรียกหมินผินพลางถลาเข้าประคองวรกายบอบบางเอาไว้“พวกเจ้ามาช่วยกันประคองนายหญิง ชักช้าอยู่ไย” เจียกูกูกล่าวกับเหล่านางกำนัลที่ยืนละล้าละลัง“เอะอะอะไรกันข้างใน” ฉับพลันประตูพระตำหนักในก็ถูกเปิดออกโดยพระหัตถ์หนาขององค์ราชัน “ทูลฝ่าบาท พระสนมเพคะ” เจียกูกูเอ่ยขณะประคองวรองค์ของหมินเจียหรงด้วยอาการตกใจองค์ราชันรีบถลันไปประคองวรองค์ของพระสนมหมินผินทันที เรียวพระโอ
เพ่ยอินเหยาขยับตัวหลบวูบทันทีปลายคมกระบี่ตวัดเข้ามาที่คอขาวระหงส์ของนาง ศีรษะทุยเอียงไปด้านซ้ายเล็กน้อยบุรุษผุ้นั้นเห็นนางหลบจึงได้ใจ มือหยาบกร้านจึงพุ่งเข้ามาฟาดยังใบหน้าที่ซ่อนภายใต้หมวกเกราะรบของอินตูตูขุนพลสตรีตั้งรับกระบี่ไว้ได้ทันที เพียงมือขวาของอินตูตู กระบี่ของนางก็อาบโลหิตของบุรุษผู้ไม่เกรงกลัวมัจจุราชเสียเลยบุรุษคนที่สองตายด้วยคมกระบี่ปักเข้ากลางอก โลหิตสีแดงฉานไหลอาบเจิ่งนองออกมา เหยาเอ๋อร์รีบเตะร่างใหญ่กำยำนั่นให้พ้นทางอย่างรวดเร็ว“ย้ากกกก” เสียงของบุรุษผู้เคราะห์ร้ายรายต่อมาไม่อาจทำให้ใจของเพ่ยอินเหยาสั่นสะเทือนได้ไม่แต่น้อยนางยังคงฟาดกระบี่ใส่ทหารราชสำนักฉีอย่างบ้าคลั่งราวกับเวลานี้นางเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะสังหารบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงหน้าทหารที่เหลือต่างพากันมองคมกระบี่ที่ดื่มโลหิตของทหารแคว้นฉีจนแทบจะหมดเหลือเพียงสามนายเท่านั้นพวกเขามองอย่างไปทางขุนพลสตรีอย่างไม่กลัวเกรงต่ออำนาจของสตรีตรงหน้าเพ่ยอินเหยาจ้วงแทงพวกเขาพลางวิ่งฝ่าวงล้อมไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วทหารแคว้นฉีแตกกระจายราวกับนกกระจอกแตกรัง ยามเมื่อเวลานี้แม่ทัพค่ายของราชสำนักฉินพุ่งคมดาบมายังพวกเขาทหารที่ไ
ในยามนี้ร่างกำยำของแม่ทัพใหญ่นั่งตรงอยู่ด้านหลังอานม้าศึกพันธุ์ดีของเหยาเอ๋อร์กลิ่นหอมอ่อนจางจากเรือนเกศาที่เกล้ามวยซุกซ่อนภายใต้หมวกเกราะรบสีเงินของแม่ทัพค่าย ไม่อาจทำให้แม่ทัพเซี่ยมีสติสัมปชัญญะต่อไปได้เลยแผงอกกำยำของแม่ทัพเซี่ยแนบกับแผ่นหลังของแม่นางเพ่ย กลิ่นหอมจรุงใจของหญิงสาวทำให้แม่ทัพเซี่ยเผลอไผลยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เพ่ยอินเหยาอย่างลืมตัว“อินตูตู” แม่ทัพเซี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน“ท่านแม่ทัพยามนี้ข้าว่าพวกเรากำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายฉี” แม่นางเพ่ยขุนพลนักรบกล่าวกับบุรุษหนุ่มที่เอื้อมมือมากอดเอวของตนเองอย่างลืมตัว“ข้ารู้” เซี่ยจินหู่จงใจกระซิบข้างหูของขุนพลสตรีตรงหน้าอย่างแผ่วเบาเพ่ยอินเหยาอดรู้สึกไม่ได้ว่า ยามนี้นางอาจตัดสินใจผิดพลาดน่าจะปล่อยให้คนตัวใหญ่ที่เคยล้อใบหน้าของนางตกจากอานม้าตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด“ท่านแม่ทัพเราจะฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว ท่านนั่งให้ดี” เพ่ยอินเหยาเอ่ยเสียงตะกุกตะกักยามเมื่อเวลานี้มือหนาของร่างกำยำอยู่ไม่สุขเสียแล้วมือหนาอีกข้างที่หาได้เกาะเอวของอินตูตูเอื้อมลากไล้ขึ้นไปยังทรวงอกอวบอิ่มของเพ่ยอินเหยาที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อเกราะรบอย่างมิดชิดโชคยังดีท
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปที่เขตชายแดน” องค์ราชันตรัสถามด้วยสุรเสียงเข้มเสียจนฟางกุ้ยเฟยถอดสีพระพักตร์ฟางกุ้ยเฟยรีบหย่อนวรกายคุกเข่าลงต่อหน้าองค์ราชัน และฉางฮองเฮาทันที“ทูลฝ่าบาทหม่อมฉันเสด็จไปจริงๆ เพคะ แต่ที่หม่อมฉันเสด็จไปหม่อมฉันได้ยินมาว่ามีหมอรักษาอาการเจ็บคอให้หายชะงักได้ หม่อมฉันจึงให้ท่านหมอวู่ผู้นี้รักษาอาการเล็กน้อยของหม่อมฉันเพคะ” ฟางกุ้ยเฟยตรัสต่อหน้าองค์ราชัน“หม่อมฉันเป็นพยานได้เพคะ พระสนมไปที่เขตชายแดนเพื่อให้หมอวู่รักษา หมอวู่เป็นหมอที่เดิมเป็นญาติกับพระสนมในแคว้นฉีจริงๆเพคะ” กูกูกล่าวขณะคุกเข่าลงต่อหน้าองค์ราชัน“ทำไมเจ้าไม่ให้แพทย์หลวงรักษาล่ะ จะดั้นด้นไปถึงเขตชายแดนด้วยเหตุอันใด” องค์ราชันตรัสถาม“หม่อมฉันเห็นว่างานของแพทย์หลวงประจำราชสำนักฉีในยามนี้ยุ่งวุ่นวายมากพอ อีกทั้งท่านหมอซางก็เคยกล่าวกับหม่อมฉันว่าอาการของหม่อมฉันน่ากังวล แต่ที่เขตชายแดนมีหมอชาวบ้านเก่งกล้าสามารถรักษาอาการของหม่อมฉันได้เพคะ” ฟางกุ้ยเฟยตรัสด้วยสีพระพักตร์ซีดเซียว“ข้าเชื่อเจ้า เอาละหมดข้อสงสัยแล้วใช่หรือไม่ฉางฮองเฮา” องค์ราชันตรัสพลางเข้าไปประคองฟางเสวี่ยจี๋ต่อหน้าฉางฮองเฮา“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉัน
ยามนี้แม่ทัพเซี่ยกำลังต่อสู้ต่อผู้นำทัพราชสำนักแคว้นฉี แม่ทัพเซี่ยจ้วงแทงศัตรูบนหลังอานม้าอย่างรวดเร็ว หากแต่อีกฝ่ายสามารถหลบหลีกได้อย่างทันท่วงทีทว่าหากเพ่ยอินเหยาคะเนในใจดูแล้ว เห็นได้ชัดว่าราชสำนักฉินจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำต่อราชสำนักฉีที่เกณฑ์ทหารร่วมสมรภูมิรบเก้าหมื่นนายเป็นแน่เพ่ยอินเหยาดึงบังเหียนให้กลับไปด้านหน้า อาชาไนยที่แบกอินตูตูทะยานไปเบื้องหน้าอย่างใม่กลัวเกรงใด ๆ ทันทีภาพที่ปรากฎแก่สายตาใต้หมวกเกราะรบของเพ่ยอินเหยานั้นเป็นภาพของแม่ทัพเซี่ยจินหู่ที่กำลังตกอยู่ใต้วงล้อมของศัตรูสร้างความหวั่นใจให้กับเหยาเอ๋อร์เป็นอย่างมากราชสำนักฉี“เจ้ามีอันใดหรือฉางฮองเฮา” องค์ราชันประทับนิ่งบนเก้าอี้ไม้ของราชสำนักฉิน“หม่อมฉันมีเรื่องจะทูลฝ่าบาท” ฉางฮองเฮาตรัสด้วยสีพระพักตร์เคร่งขึมมิเหมือนสตรีมากมารยาเหมือนดังก่อน“มีอันใดก็จงว่ามาเถิด ฮองเฮาของข้า” ฮ่องเต้ตรัสพลางเสวยน้ำแกงอุ่นร้อน ๆ“หม่อมฉันทราบมาว่าเมื่อวานฟางกุ้ยเฟยลอบออกไปนอกวังหลวงเพคะ” ฉางฮองเฮาตรัสทูลฮ่องเต้ด้วยสุรเสียงเคร่งเครียดหากแต่อ่อนนุ่มอยู่ในท่วงที“แล้วเจ้าทราบมาจากผู้ใด” องค์ราชันตรัสถามด้วยสีพระพักตร์ยากที่หวงโฮ่ว







