LOGINแสงอรุณยามเช้าปลุกให้เพ่ยอินเหยาลืมตาตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว นางกระเด้งตัวขึ้นมาทันที
ทว่ายามนี้หาได้มีใครตื่นมาไม่ หากเพ่ยอินเหยาคาดคะเนไม่ผิดจากความเป็นจริงมากนัก เหล่าทหารยังคงหลับสนิท
เท้าสองข้างของเพ่ยอินเหยาก้าวออกมายืนมองเหล่าทหารที่มายืนออกันอย่างช้า ๆ
“พวกเจ้าชุมนุมอะไรกัน” เสียงเข้มของอินตูตูกล่าว
“ท่านอินตูตู หลินเจียอันขอรับ นางเสียชีวิตแล้ว” เสียงเข้มของทหานในค่ายเอ่ย
ความเย็นยะเยือกเเล่นจับขั้วหัวใจของเพ่ยอินเหยาอย่างรวดเร็ว เพ่ยอินเหยารีบแทรกตัวมุดเข้าไปดูอาการหลินเจียอันมันที
ภาพที่ปรากฎเด่นชัดแก่สายตาของนาง เป็นภาพของหลินเจียอันตัวปลอมนอนกลางกองเลือด บนอกมีธนูศรปักอยู่ ดวงตาของหลินเจียอันเบิกกว้าง
เพ่ยอินเหยาแทรกตัวเข้าไปประคองศพของหลินเจียอันขึ้นมาทันทีท่ามกลางความตกใจของพลทหาร
“แม่นางหลิน…เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า” เพ่ยอินเหยารีบเอ่ย
ทว่าไร้การตอบกลับจากศพของหลินเจียอัน เพ่ยอินเหยาค่อยๆ วางศพลงพลางปิดลูกกะตาลงอย่างรวดเร็ว
“เกิดอันใดขึ้นอินตูตู” เสียงเข้มของบุรุษหนุ่มที่คุ้นเคยดังออกมาจากเรียวปากได้รูปสวยของแม่ทัพเซี่ยจินหู่ พยัคฆ์คำรน
รองเท้านักรบสาวเท้าเข้ามายังจุดเกิดเหตุ เเม่ทัพเซี่ยย่อกายลงช้ๆ พลางทอดมองศพของหลินเจียอันอย่างเพ่งพินิจ
ราชสำนักฉี
เวลานี้ฉางฮองเฮาประทับหน้ากระจกบานกว้าง ดวงเนตรคู่สวยทอดมองปิ่นประดับเรือนเกศาของนางอย่างพึงพอพระทัย
หัตถ์ขาวนวลละเอียดผจงหยิบปิ่นทองมาทาบที่พระเศียร ปิ่นทองอร่ามตาลายสวยยามต้องแสงอาทิตย์รำไรสะท้อนแวมวับจับตา
“กูกูเจ้าว่าอันไหนดี…ข้าใส่แล้วฮ่องเต้จะทรงเลือกป้ายของข้าและทรงไม่เสด็จไปหาฟางกุ้ยเฟย” ท้ายประโยคสุรเสียงเกรี้ยวกราดอย่างชิงชังเสียจน เซิงกูกูอดรู้สึกหวั่นวิตกไม่ได้
“ฮองเฮาเพคะ จะปิ่นใดพระองค์ก็ยังเป็นมารดาของแผ่นดินฉีเพคะ ใต้หล้านี้หามสตรีใดเทียมพระนางเลยเพคะ” เซิงกูกูกราบทูล
ฉางฮองเฮาได้สดับแล้วสีพระพักตร์ที่เคยบึ้งตึงก็ผ่อนคลายลง บนพักตราของฉางฮองเฮาแต้มระบายรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย
“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันได้ความแล้วเพคะ” เสียงของนางข้าหลวงเอ่ยดังมาจากด้านนอกห้องแต่งพระองค์
ดวงตาคู่งดงามของฉางฮองเฮาเปล่งประกายระยับราวการิกาดาษเวหา
รองเท้าคู่งดงามของฉางฮองเฮาสาวเท้าออกมาจากพระตำหนักก็พลันพบกับนางข้าหลวงและขันทีหมอบอยู่
“ทูลฉางฮองเฮา หม่อมฉันได้ความมาจากขันทีว่าฟางกุ้ยเฟยเสด็จออกไปนอกพระราชวังยามวิกาลเพคะ” นางกำนัลเอ่ยทูล
“เป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ ด้วย กุ้ยเฟยไปที่ใด” ฉางฮองเฮาตรัสถามนางข้าหลวงและขันทีอย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่ทันที่เรียวโอษฐ์สีชาดจะเอ่ยคำใดต่อไปก็พลันได้ยินเสียงตะโกนมาจากข้างนอก
“ฝ่าบาทเสด็จ” เสียงเข้มของเหล่าขันทีเอ่ยมาจากด้านนอก
ฉางฮองเฮารีบเสด็จออกไปคารวะฝ่าบาทพร้อมด้วยนางกำนัลและขันทีตำหนักฟางกุ้ยเฟย
“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท” ฉางฮองเฮาตรัสด้วยสุรเสียงสดใส
“มิต้องมากพิธี” ฮ่องเต้เอ่ยพลางยื่นพระหัตถ์ส่งให้ฉางฮองเฮาที่หยัดพระวรกายขึ้นมา
ฉางฮองเฮายื่นพระหัตถ์ไปสัมผัสกับหัตถ์ฮ่องเต้พลางลุกขึ้นมาท่ามกลางสีหน้าแสดงความยินดีของเหล่านางกำนัลที่ฝ่าบาททรงเลือกป้ายนายหญิงของพวกนาง
ราชสำนักฉี“ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเข้มของหมอหลวงกราบทูลต่อหน้าองค์ราชัน“ยามนี้พระสนมทรงกำลังจะให้กำเนิดโอรสมังกรสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยกราบทูลด้วยอาการตื่นตระหนก“ดี” องค์ราชันตรัสพลางยกพระหัตถ์ลูบพระหนุด้วยแววพระเนตรฉายวาวระยับรองพระบาทสีทองอร่ามตาสาวเข้าไปใกล้เตียงบรรทมของหมินผิน องค์ราชันทอดมองดวงพักตราหวานราวหยาดน้ำผึ้งแรกแย้ม พระขนงโก่งดั่งคันศร เรียวปากกระจับแต้มสีชาด หมินเจียหรงจัดเป็นผินที่พระองค์โปรดปรานมาก รองจากฟางกุ้ยเฟย และฉางฮองเฮาดวงเนตรคู่คมทอดมองไปยังหมินเจียหรงที่บัดนี้ยังไม่ทันได้พระสติ วรองค์สง่างามประทับลงข้างสนมทรงโปรดพลางเอื้อมพระหัตถ์ปัดพระเกศาที่ตกลงมาออกจากวงพักตรางดงามตั้งแต่จำความได้หมินเจียหรง สนมตระกูลหมินเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลม หากแต่หมินผินกลับรู้จักวางตัว เจียมตนให้เหมาะสม บิดาของหมินผินเป็นขุนนางขั้นสองนับได้ว่าเป็นใหญ่ไม่น้อยในราชสำนักฉีทว่าบิดาของหมินผินกลับเจียมตนยิ่งกว่าบุตรสาว ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงโปรดบิดาของหมินผินไม่น้อยไปกว่าหมินเจียหรงเวลานี้ในราชสำนักคงมีข่าวยินดีไม่น้อย หากแต่ในพระทัยกลับทรงกังวลด้วยการศึกเขตชายแ
“เจ้าว่าอันใดนะ เจียกูกู” สุรเสียงหวานของหมินผินตรัสขึ้นอย่างตระหนกพระทัย“ทูลนายหญิง หม่อมฉันได้ยินข่าวจากตำหนักฮองเฮาว่า ฟางกุ้ยเฟยเสด็จไปชายแดนเพื่อลอบสังหารแม่ทัพแคว้นศัตรูเพคะ” เจียกูกูตรัสกราบทูลนายหญิงตนเองด้วยสีหน้าซีดเผือด“เหลวไหล…ฟางกุ้ยเฟยนางทำเช่นนั้นไปทำไม” หมินผินตรัสต่อหน้าเจียกูกูด้วยสีพระพักตร์ดุดัน “หม่อมฉันได้ยินมากับหูเพคะ นายหญิง” เจียกูกูทูล“หากการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ราชสำนักฉีแย่แน่ เวลานี้บ้านเมืองเกิดสงคราม เราจะต้องหาทางกราบทูลฮองเฮาให้ทราบความนี้ นางอาจมีแผนการร้ายที่พวกเราไม่รู้ก็เป็นได้” สิ้นสุรเสียงของหมินเจียหรง วรกายอรชรก็เป็นลมล้มพับไปในทันที“นายหญิง เกิดอันใดขึ้นเพคะ” เจียกูกูร่ำร้องเรียกหมินผินพลางถลาเข้าประคองวรกายบอบบางเอาไว้“พวกเจ้ามาช่วยกันประคองนายหญิง ชักช้าอยู่ไย” เจียกูกูกล่าวกับเหล่านางกำนัลที่ยืนละล้าละลัง“เอะอะอะไรกันข้างใน” ฉับพลันประตูพระตำหนักในก็ถูกเปิดออกโดยพระหัตถ์หนาขององค์ราชัน “ทูลฝ่าบาท พระสนมเพคะ” เจียกูกูเอ่ยขณะประคองวรองค์ของหมินเจียหรงด้วยอาการตกใจองค์ราชันรีบถลันไปประคองวรองค์ของพระสนมหมินผินทันที เรียวพระโอ
เพ่ยอินเหยาขยับตัวหลบวูบทันทีปลายคมกระบี่ตวัดเข้ามาที่คอขาวระหงส์ของนาง ศีรษะทุยเอียงไปด้านซ้ายเล็กน้อยบุรุษผุ้นั้นเห็นนางหลบจึงได้ใจ มือหยาบกร้านจึงพุ่งเข้ามาฟาดยังใบหน้าที่ซ่อนภายใต้หมวกเกราะรบของอินตูตูขุนพลสตรีตั้งรับกระบี่ไว้ได้ทันที เพียงมือขวาของอินตูตู กระบี่ของนางก็อาบโลหิตของบุรุษผู้ไม่เกรงกลัวมัจจุราชเสียเลยบุรุษคนที่สองตายด้วยคมกระบี่ปักเข้ากลางอก โลหิตสีแดงฉานไหลอาบเจิ่งนองออกมา เหยาเอ๋อร์รีบเตะร่างใหญ่กำยำนั่นให้พ้นทางอย่างรวดเร็ว“ย้ากกกก” เสียงของบุรุษผู้เคราะห์ร้ายรายต่อมาไม่อาจทำให้ใจของเพ่ยอินเหยาสั่นสะเทือนได้ไม่แต่น้อยนางยังคงฟาดกระบี่ใส่ทหารราชสำนักฉีอย่างบ้าคลั่งราวกับเวลานี้นางเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะสังหารบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงหน้าทหารที่เหลือต่างพากันมองคมกระบี่ที่ดื่มโลหิตของทหารแคว้นฉีจนแทบจะหมดเหลือเพียงสามนายเท่านั้นพวกเขามองอย่างไปทางขุนพลสตรีอย่างไม่กลัวเกรงต่ออำนาจของสตรีตรงหน้าเพ่ยอินเหยาจ้วงแทงพวกเขาพลางวิ่งฝ่าวงล้อมไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วทหารแคว้นฉีแตกกระจายราวกับนกกระจอกแตกรัง ยามเมื่อเวลานี้แม่ทัพค่ายของราชสำนักฉินพุ่งคมดาบมายังพวกเขาทหารที่ไ
ในยามนี้ร่างกำยำของแม่ทัพใหญ่นั่งตรงอยู่ด้านหลังอานม้าศึกพันธุ์ดีของเหยาเอ๋อร์กลิ่นหอมอ่อนจางจากเรือนเกศาที่เกล้ามวยซุกซ่อนภายใต้หมวกเกราะรบสีเงินของแม่ทัพค่าย ไม่อาจทำให้แม่ทัพเซี่ยมีสติสัมปชัญญะต่อไปได้เลยแผงอกกำยำของแม่ทัพเซี่ยแนบกับแผ่นหลังของแม่นางเพ่ย กลิ่นหอมจรุงใจของหญิงสาวทำให้แม่ทัพเซี่ยเผลอไผลยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เพ่ยอินเหยาอย่างลืมตัว“อินตูตู” แม่ทัพเซี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน“ท่านแม่ทัพยามนี้ข้าว่าพวกเรากำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายฉี” แม่นางเพ่ยขุนพลนักรบกล่าวกับบุรุษหนุ่มที่เอื้อมมือมากอดเอวของตนเองอย่างลืมตัว“ข้ารู้” เซี่ยจินหู่จงใจกระซิบข้างหูของขุนพลสตรีตรงหน้าอย่างแผ่วเบาเพ่ยอินเหยาอดรู้สึกไม่ได้ว่า ยามนี้นางอาจตัดสินใจผิดพลาดน่าจะปล่อยให้คนตัวใหญ่ที่เคยล้อใบหน้าของนางตกจากอานม้าตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด“ท่านแม่ทัพเราจะฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว ท่านนั่งให้ดี” เพ่ยอินเหยาเอ่ยเสียงตะกุกตะกักยามเมื่อเวลานี้มือหนาของร่างกำยำอยู่ไม่สุขเสียแล้วมือหนาอีกข้างที่หาได้เกาะเอวของอินตูตูเอื้อมลากไล้ขึ้นไปยังทรวงอกอวบอิ่มของเพ่ยอินเหยาที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อเกราะรบอย่างมิดชิดโชคยังดีท
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปที่เขตชายแดน” องค์ราชันตรัสถามด้วยสุรเสียงเข้มเสียจนฟางกุ้ยเฟยถอดสีพระพักตร์ฟางกุ้ยเฟยรีบหย่อนวรกายคุกเข่าลงต่อหน้าองค์ราชัน และฉางฮองเฮาทันที“ทูลฝ่าบาทหม่อมฉันเสด็จไปจริงๆ เพคะ แต่ที่หม่อมฉันเสด็จไปหม่อมฉันได้ยินมาว่ามีหมอรักษาอาการเจ็บคอให้หายชะงักได้ หม่อมฉันจึงให้ท่านหมอวู่ผู้นี้รักษาอาการเล็กน้อยของหม่อมฉันเพคะ” ฟางกุ้ยเฟยตรัสต่อหน้าองค์ราชัน“หม่อมฉันเป็นพยานได้เพคะ พระสนมไปที่เขตชายแดนเพื่อให้หมอวู่รักษา หมอวู่เป็นหมอที่เดิมเป็นญาติกับพระสนมในแคว้นฉีจริงๆเพคะ” กูกูกล่าวขณะคุกเข่าลงต่อหน้าองค์ราชัน“ทำไมเจ้าไม่ให้แพทย์หลวงรักษาล่ะ จะดั้นด้นไปถึงเขตชายแดนด้วยเหตุอันใด” องค์ราชันตรัสถาม“หม่อมฉันเห็นว่างานของแพทย์หลวงประจำราชสำนักฉีในยามนี้ยุ่งวุ่นวายมากพอ อีกทั้งท่านหมอซางก็เคยกล่าวกับหม่อมฉันว่าอาการของหม่อมฉันน่ากังวล แต่ที่เขตชายแดนมีหมอชาวบ้านเก่งกล้าสามารถรักษาอาการของหม่อมฉันได้เพคะ” ฟางกุ้ยเฟยตรัสด้วยสีพระพักตร์ซีดเซียว“ข้าเชื่อเจ้า เอาละหมดข้อสงสัยแล้วใช่หรือไม่ฉางฮองเฮา” องค์ราชันตรัสพลางเข้าไปประคองฟางเสวี่ยจี๋ต่อหน้าฉางฮองเฮา“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉัน
ยามนี้แม่ทัพเซี่ยกำลังต่อสู้ต่อผู้นำทัพราชสำนักแคว้นฉี แม่ทัพเซี่ยจ้วงแทงศัตรูบนหลังอานม้าอย่างรวดเร็ว หากแต่อีกฝ่ายสามารถหลบหลีกได้อย่างทันท่วงทีทว่าหากเพ่ยอินเหยาคะเนในใจดูแล้ว เห็นได้ชัดว่าราชสำนักฉินจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำต่อราชสำนักฉีที่เกณฑ์ทหารร่วมสมรภูมิรบเก้าหมื่นนายเป็นแน่เพ่ยอินเหยาดึงบังเหียนให้กลับไปด้านหน้า อาชาไนยที่แบกอินตูตูทะยานไปเบื้องหน้าอย่างใม่กลัวเกรงใด ๆ ทันทีภาพที่ปรากฎแก่สายตาใต้หมวกเกราะรบของเพ่ยอินเหยานั้นเป็นภาพของแม่ทัพเซี่ยจินหู่ที่กำลังตกอยู่ใต้วงล้อมของศัตรูสร้างความหวั่นใจให้กับเหยาเอ๋อร์เป็นอย่างมากราชสำนักฉี“เจ้ามีอันใดหรือฉางฮองเฮา” องค์ราชันประทับนิ่งบนเก้าอี้ไม้ของราชสำนักฉิน“หม่อมฉันมีเรื่องจะทูลฝ่าบาท” ฉางฮองเฮาตรัสด้วยสีพระพักตร์เคร่งขึมมิเหมือนสตรีมากมารยาเหมือนดังก่อน“มีอันใดก็จงว่ามาเถิด ฮองเฮาของข้า” ฮ่องเต้ตรัสพลางเสวยน้ำแกงอุ่นร้อน ๆ“หม่อมฉันทราบมาว่าเมื่อวานฟางกุ้ยเฟยลอบออกไปนอกวังหลวงเพคะ” ฉางฮองเฮาตรัสทูลฮ่องเต้ด้วยสุรเสียงเคร่งเครียดหากแต่อ่อนนุ่มอยู่ในท่วงที“แล้วเจ้าทราบมาจากผู้ใด” องค์ราชันตรัสถามด้วยสีพระพักตร์ยากที่หวงโฮ่ว







