ทันทีที่ร่างของเมิ่งฮวาถูกดึงเข้ามาในอ้อมกอดของโจวจางเหว่ย นางรู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลัง โจวจางเหว่ยใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังให้นางโดยไม่ลังเล
เสียงโลหะเสียดสีกันดังขึ้น พร้อมกับประกายแสงแวบหนึ่งก่อนที่ชายชุดดำจะถอยห่างออกไป
“จางเหว่ย! เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?” เมิ่งฮวาตะโกนถามด้วยความเป็นห่วง นางรีบใช้มือเล็กจับที่แขนเขา พบว่ามีรอยบาดเป็นแนวยาวอยู่บนแขนเสื้อของเขา
“ข้าไม่เป็นไร” โจวจางเหว่ยกัดฟันแน่น เขากวาดสายตามองไปรอบๆพบว่าชายชุดดำที่พยายามทำร้ายพวกเขากำลังจะหลบหนี
“ตามไป!” โจวจางเหว่ยออกคำสั่งใหัองครักษ์ ก่อนจะรีบพุ่งตัวไปไล่ตามอีกฝ่าย
“เดี๋ยว! เจ้าระวังตัวด้วยนะ!” เมิ่งฮวาเอ่ยตามหลังอย่างร้อนใจ แต่บุรุษผู้นั้นวิ่งไล่หายไปอย่างรวดเร็ว นางจึงตัดสินใจวิ่งตามไปด้วย
ชายชุดดำหลบเข้าไปในตรอกแคบๆโจวจางเหว่ยพุ่งตามเข้าไปโดยไม่ลังเล มือขวาชักดาบออกมาจากเอว เตรียมพร้อมต่อสู้
เมิ่งฮวาวิ่งมาถึงพอดีแต่ยังไม่ทันจะได้เข้าไปช่วย ก็เห็นว่าชายชุดดำยกดาบขึ้นจู่โจมโจวจางเหว่ยจากมุมอับ
“จางเหว่ย ระวังข้างหลัง!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือนทันที
โจวจางเหว่ยเบี่ยงตัวหลบได้ทันท่วงที ก่อนจะฟันสวนกลับไปอย่างเฉียบคม ชายชุดดำเซถอยหลัง เลือดสีแดงไหลออกมาจากบาดแผลที่ไหล่ของเขา
“บัดซบ!” ชายชุดดำสบถออกมา ก่อนจะโยนระเบิดควันลงกับพื้นทันที
“อึก!” เมิ่งฮวาสำลักควัน นางยกมือขึ้นปิดจมูกด้วยความตกใจ
“ฮวาเออร์เจ้าถอยไปก่อน!” โจวจางเหว่ยรีบคว้าแขนของนาง ดึงออกจากกลุ่มควัน
ไม่นานนักควันก็จางลง… แต่ชายชุดดำก็หายตัวไปแล้ว
“หนีไปจนได้…” โจวจางเหว่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดกว่าปกติ
เมิ่งฮวามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง “คนพวกนี้เป็นใครกันแน่?”
“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ” โจวจางเหว่ยกล่าวเสียงเรียบ “แต่ดูจากวิธีการโจมตี ข้าว่าน่าจะเป็นพวกนักฆ่ารับจ้าง”
“นักฆ่าอย่างนั้นหรือ?” เมิ่งฮวาขมวดคิ้วแน่น “พวกเขามุ่งเป้ามาที่เจ้าหรือข้ากันแน่?”
โจวจางเหว่ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ข้ามั่นใจว่าต้องเป็นข้า”
เมิ่งฮวาหรี่ตามองเขา “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงต้องอธิบายให้ข้าฟังแล้วล่ะ ว่าทำไมเจ้าถึงมีศัตรูมากมายขนาดนี้?”
โจวจางเหว่ยถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าจะบอกเจ้า… แต่ตอนนี้เราออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
เมิ่งฮวาพยักหน้า “ก็ได้เจ้าค่ะ”
หลังจากนั้น ทั้งสองก็เดินออกจากตรอกมุ่งกลับไปที่ตลาดใหญ่
เมื่อถึงร้านบะหมี่เมิ่งฮวาให้พนักงานช่วยนำกล่องปฐมพยาบาลมาให้ ก่อนจะหันไปดูแผลที่แขนของโจวจางเหว่ย
“ถอดเสื้อคลุมออก ข้าจะทำแผลให้เจ้า” นางกล่าวเสียงเข้ม
โจวจางเหว่ยมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอดเสื้อคลุมออกตามคำสั่ง นางหยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดเลือดที่ซึมออกจากบาดแผล
“เจ้าไม่เจ็บหรือ?” นางถามขณะใช้ยาสมุนไพรแต้มลงไปบนแผล
“ข้าเคยเจ็บหนักกว่านี้มาแล้ว นี่ไม่ใช่อะไรเลย” เขาตอบยิ้มๆ
เมิ่งฮวาหมั่นไส้ใบหน้าระรื่นของเขา นางใช้แรงกดแผลแรงขึ้นเล็กน้อย
“โอ๊ย! เจ้าตั้งใจแกล้งข้าใช่ไหม?”
“หึหึ ข้าเปล่าสักหน่อย” นางยิ้มบางๆ ก่อนจะพันผ้าพันแผลให้เขา
หลังจากทำแผลเสร็จ ทั้งสองก็ออกจากร้านบะหมี่และเดินทางกลับหมู่บ้าน
ตลอดทางเมิ่งฮวารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ทำไมพวกนักฆ่าถึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่? และที่สำคัญ… พวกเขาต้องการอะไรจากโจวจางเหว่ยกันแน่?
นางรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน
และดูเหมือนว่า… นางเองก็เริ่มจะถูกดึงเข้าไปในความวุ่นวายนี้แล้วเช่นกัน…
เมิ่งฮวาเงียบมาตลอดทางขณะที่นั่งอยู่ในรถม้า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความครุ่นคิด แม้ว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะจบลงไปแล้ว แต่ความรู้สึกไม่สบายใจยังคงวนเวียนอยู่ในใจ
โจวจางเหว่ยมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของนางเบาๆ “เจ้ากังวลเรื่องพวกมันอยู่หรือ?”
เมิ่งฮวาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองเขา นางถอนหายใจเบาๆ “ข้าแค่กำลังคิด… ว่าทำไมพวกนักฆ่าถึงต้องการชีวิตของเจ้า”
โจวจางเหว่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ข้ามีศัตรูอยู่ไม่น้อย และพวกเขาก็พยายามจะกำจัดข้ามาตลอด”
“แล้วศัตรูของเจ้าคือใคร?” นางถามตรงๆ
“เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากรู้?” เขาหรี่ตามองนาง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “เพราะถ้าหากเจ้ารู้ เจ้าอาจจะไม่สามารถถอยออกไปจากเรื่องนี้ได้อีกแล้ว”
เมิ่งฮวานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ข้าอยากรู้”
โจวจางเหว่ยถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “เพราะข้าเป็นอัครมหาเสนาบดี…”
ดวงตาของเมิ่งฮวาเบิกกว้าง “เจ้าเป็นขุนนาง?”
“ใช่…”
เมิ่งฮวามองเขาอย่างประเมิน “แล้วเหตุใดศัตรูของเจ้าถึงต้องการกำจัดเจ้า?”
โจวจางเหว่ยจ้องมองเมิ่งฮวาด้วยสายตาจริงจัง เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “เพราะข้า… เป็นอุปสรรคของพวกเขา”
เมิ่งฮวาขมวดคิ้วแน่น “อุปสรรค? หมายความว่าอย่างไร?”
โจวจางเหว่ยเอนตัวพิงเบาะรถม้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “ข้าคืออัครมหาเสนาบดีของแคว้น และตระกูลโจวของข้าเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดในราชสำนัก นอกจากจะดูแลเรื่องการปกครองแล้ว ข้ายังมีหน้าที่ควบคุมกองกำลังบางส่วนของแคว้น”
เมิ่งฮวาเบิกตากว้าง นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าชายที่อยู่ตรงหน้านางไม่ได้เป็นเพียงแค่พ่อค้า หรือนักเดินทางธรรมดา
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงเป็นเป้าหมายของพวกนักฆ่า?” นางถามต่อ
โจวจางเหว่ยหลุบตาลง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เพราะข้าไปขัดขวางแผนการของพวกกบฏที่ต้องการล้มล้างราชวงศ์”
“กบฏอย่างนั้นหรือ!?” เมิ่งฮวาอุทานออกมาเสียงดัง นางไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเข้ามาพัวพันกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้
โจวจางเหว่ยพยักหน้า “กลุ่มกบฏพวกนี้มีอำนาจและอิทธิพลไม่น้อยในราชสำนัก พวกเขาพยายามแทรกซึมเข้ามาในหลายตำแหน่งสำคัญ ข้าคือหนึ่งในคนที่คอยเปิดโปงและทำลายแผนการของพวกเขา”
เมิ่งฮวากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “แล้ว… เจ้าคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้เป็นใคร?”
โจวจางเหว่ยเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงต่ำ “ข้าไม่แน่ใจ… แต่ข้ามีบางคนในใจ”
เมิ่งฮวายิ่งรู้สึกไม่สบายใจ นางเพียงต้องการใช้ชีวิตสงบสุข แต่ดูเหมือนว่านางกำลังจะถูกดึงเข้าไปในความวุ่นวายครั้งนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
นางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถาม “แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
โจวจางเหว่ยมองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง “ข้าจะต้องกลับเมืองหลวงโดยเร็ว และสืบหาว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“แล้วข้า…” เมิ่งฮวาชะงัก นางรู้สึกไม่แน่ใจว่าตัวเองควรอยู่ตรงจุดไหนในเรื่องนี้
โจวจางเหว่ยเอื้อมมือมากุมมือนางแน่น “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะปกป้องเจ้า”
หัวใจของเมิ่งฮวาเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางมองเข้าไปในดวงตาของเขา และรู้สึกถึงความจริงจังที่ฉายชัดอยู่ในแววตานั้น
แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรต่อ รถม้าก็ชะลอลงเมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้าน
โจวจางเหว่ยหันไปบอกคนขับรถม้า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปส่งเมิ่งฮวาที่บ้านก่อน”
เขาลงจากรถม้าแล้วช่วยพยุงนางลงมา ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องลงมาจางๆ
เมิ่งฮวาหันไปมองเขา “ขอบคุณเจ้าที่มาส่งข้า”
โจวจางเหว่ยยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “เจ้าพักผ่อนให้ดี… ข้าจะส่งคนมาคอยดูแลเจ้า”
เมิ่งฮวาพยักหน้า แม้ว่านางจะรู้สึกไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนัก แต่นางก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านางกำลังถูกดึงเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังจากที่นางเดินเข้าไปในเรือนแล้ว โจวจางเหว่ยยังคงยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถม้า พร้อมกับสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง… และที่สำคัญข้าจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายเมิ่งฮวาเด็ดขาด!
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป