หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไป
ในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมา
เมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอ
เมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย
“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหลานสาวที่พลัดพรากไประยะหนึ่ง
ท่านลุงลี่คุน เองก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงโล่งอก
“ข้าหวังให้เจ้ากลับมาเสียที… พวกข้าเป็นห่วงกันมาก รู้หรือไม่ว่าตลอดมาคิดถึงเจ้าทุกวัน!”
ในแววตาของทั้งลุงและป้าเต็มไปด้วยความรักแบบครอบครัวแท้จริง จนเมิ่งฮวาต้องกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล เธอพยักหน้า แล้วยกมือขึ้นปาดหยดน้ำตาที่คลอเบ้า
“ข้าขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะเจ้าคะ… แต่ข้ากลับมาคราวนี้จะอยู่ด้วยกันกับพวกท่านให้นานๆเลยเจ้าค่ะ!”
ช่วงเย็นวันเดียวกันโจวจางเหว่ยจึงนั่งสนทนากับท่านลุงลี่คุนและท่านป้าลี่จูข้างกองไฟ โดยมีเมิ่งฮวานั่งเคียงข้าง เล่าเรื่องคร่าวๆถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปราสาทอู่หวัง แม้จะไม่ได้เล่าทุกอย่างอย่างละเอียด แต่มากพอให้สองสามีภรรยาสูงวัยเข้าใจว่า เมิ่งฮวาผ่านเรื่องราวสำคัญมาหนักเพียงใด
“ดีเหลือเกินที่พวกเจ้ายังอยู่ปลอดภัยกันครบ” ท่านป้าลี่จูถอนหายใจพลางตักอาหารมาให้ ทั้งโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวา
“อดีตเจ้าก็ปล่อยให้ผ่านไปเถอะนะอาเมิ่ง… จงอยู่ด้วยกันเป็นสุขเสียที”
เมิ่งฮวากำมือตอบรับเบาๆในใจรู้สึกขอบคุณที่ครอบครัวเข้าใจ และยินดีต้อนรับเธอกลับมาอย่างไร้เงื่อนไข
เมื่อการสนทนาใกล้จบ ท่านลุงลี่คุนก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา
“เสี่ยวเหว่ย… เจ้าจะจริงจังกับหลานข้าถึงขั้นไหนหรือ? อาเมิ่งนั้นเป็นทั้งชีวิตของข้ากับยายแก่… ข้าคงต้องแน่ใจก่อนว่าเจ้าพร้อมดูแลนางไหม?”
โจวจางเหว่ยหันมาสบตาเมิ่งฮวาก่อนจะยิ้มอย่างเชื่อมั่น เขาหมอบคุกเข่าเบื้องหน้าท่านลุงและท่านป้า สีหน้าไม่เคยดูจริงจังเท่านี้มาก่อน
“ข้าขอสาบาน…ว่าจะดูแลเมิ่งฮวาตลอดไป ไม่ว่าอดีตของนางจะเป็นเช่นไรข้าก็จะไม่ทอดทิ้ง และยินดีร่วมสร้างอนาคตกับนาง”
เมิ่งฮวาใจเต้นระรัว น้ำตาเอ่อขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินคำมั่นคงที่เขาเอ่ยออกมา
วันรุ่งขึ้นมีการจัดพิธีแต่งงานเล็กๆในหมู่บ้านท่ามกลางบรรยากาศแสนอบอุ่น เมิ่งฮวาสวมชุดแต่งงานเรียบง่ายแต่ประณีต สีแดงสดใสตามธรรมเนียมประเพณี โดยมีท่านป้าลี่จูและสหายบ้านใกล้เรือนเคียงมาช่วยกันเตรียมงาน
แม้จะไม่ได้จัดยิ่งใหญ่เช่นในวังหรือเมืองหลวง แต่งานนี้เต็มไปด้วย รอยยิ้มจริงใจ จากชาวบ้านที่รู้จักเมิ่งฮวามานาน ทุกคนต่างยินดีที่นางได้พบคนรักที่พร้อมปกป้องและเข้าใจเธอโดยแท้จริง
โจวจางเหว่ยสวมชุดเจ้าบ่าวสีเข้มแฝงให้เขาดูเข้มแข็งเช่นเคย แต่แววตาดูกังวลและตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อมองเห็นเจ้าสาวคนงามตรงหน้า เมิ่งฮวาก็เขินอายไม่แพ้กันแต่เมื่อสบสายตาเขา ต่างฝ่ายต่างรับรู้ว่าทุกเส้นทางที่เคยผ่านมาจะหลอมรวมเป็นฐานมั่นคงของชีวิตคู่
หลังเสร็จพิธีและมีงานเลี้ยงน้อยๆให้ชาวบ้านทานอาหารร่วมกันจนสนุกสนาน เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ก็ได้จูงมือกันก้าวเข้าบ้านหลังเล็กๆในซอยที่ท่านป้าและท่านลุงจัดเตรียมไว้ให้อยู่ใกล้ๆกัน ความเหนื่อยล้าของทั้งสองที่เคยผ่านศึกหนักและเหตุการณ์คอขาดบาดตายหลายครั้งเหมือนถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่น อุ่นใจและความรัก
ขณะที่พระอาทิตย์ตกดินเสียงสายลมผ่านต้นไม้หน้าบ้านฟังดูอ่อนโยน เมิ่งฮวาเดินไปเปิดหน้าต่าง มองเห็นภาพวิวของทุ่งนาและเขาต่ำรอบหมู่บ้านซานซี รู้สึกถึงความสงบที่ไม่เคยได้สัมผัสมานาน
“ในที่สุด…ข้าก็หลุดพ้นจากอดีตที่โหดร้าย” เธอรำพึงเบาๆ ก่อนจะรู้สึกว่ามีอ้อมแขนของโจวจางเหว่ยโอบจากด้านหลัง
“ข้าดีใจที่เจ้าเลือกเริ่มต้นใหม่กับข้าเช่นนี้” เขากระซิบชิดใบหู “ข้าสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างเจ้า และดูแลเจ้าไม่ว่าเรื่องเลวร้ายเพียงใดก็ตาม”
วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ชาวบ้านยังแวะเวียนมาหาเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยเสมอเพื่อส่งเสริมกำลังใจ และรับฟังเรื่องราวที่ทั้งสองอาจแบ่งปันได้บ้าง บางวันเมิ่งฮวาก็ช่วยท่านป้าลี่จูทำครัวหรือเย็บปัก บางครั้งโจวจางเหว่ยก็ออกไปช่วยลุงลี่คุนดูแลทุ่งนา หรือซ่อมคอกปศุสัตว์
แม้โจวจางเหว่ยจะยังคงมีฐานะสำคัญในราชสำนัก แต่เขาตั้งใจใช้ชีวิตเรียบง่ายเคียงข้างเมิ่งฮวาตามที่ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ หากทางราชสำนักมีเรื่องให้สะสาง เขาจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งคราวก่อนกลับมาใช้เวลาสงบในหมู่บ้านต่อ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่เขาเองก็พึงพอใจมากกว่าการแก่งแย่งในเมืองใหญ่
เมื่อใดที่เมิ่งฮวาหวนนึกถึงอดีตอันปั่นป่วนกับเลือดมังกร เธอพบว่าความรู้สึกขมขื่นนั้นแทบจางหาย กลายเป็นเพียงบทเรียนราคาแพงที่เธอผ่านพ้น และทำให้เธอรู้คุณค่าของปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
โจวจางเหว่ย มักจะเตือนเธอเสมอว่า...
“ไม่ว่าชีวิตเราจะมีอะไรมากระทบ ขอเพียงเราไม่ทอดทิ้งกัน เราก็จะผ่านมันไปได้เสมอ”
ถ้อยคำนี้เปรียบดั่งคำสาบานที่ผูกใจสองดวงไว้ด้วยกัน เธอจึงเข้มแข็งและมั่นใจขึ้นในแต่ละวัน
ในยามเย็นวันหนึ่งท้องฟ้าเหลือบสีม่วงทอง เมิ่งฮวาเดินจูงมือโจวจางเหว่ยผ่านลานบ้านออกไปยังลำธารใกล้หมู่บ้าน สายลมเย็นโชยพัดพริ้วอ่อนโยน พวกเขาหยุดยืนฟังเสียงสายน้ำไหลเบาๆ
“แม้จะไม่มีพลังมังกร ไม่มีอำนาจเกรียงไกรในมือเราอีกแล้ว… แต่ข้ารู้ว่าการมีเจ้าข้างกายคือสิ่งวิเศษที่สุด” เมิ่งฮวาพูดด้วยรอยยิ้มหวาน
“ข้าเองก็เช่นกัน… ความสุขของข้าอยู่ที่การได้อยู่ร่วมกับเจ้า ไม่ว่าอดีตจะเป็นเช่นไร” โจวจางเหว่ยจับมือเธอแน่นพร้อมดึงเข้ามาโอบเบาๆ
สองคนสบตากันในความเงียบชั่วขณะเหมือนโลกหยุดหมุน เธอก็เอนศีรษะพิงอกเขา ทิ้งตัวไว้กับอ้อมแขนอันมั่นคง
เสียงนกในยามโพล้เพล้บอกให้รู้ว่าวันกำลังจะสิ้นสุดลงอีกครั้ง ทว่าชีวิตใหม่ของเมิ่งฮวาเพิ่งจะเริ่มต้นโดยมีโจวจางเหว่ยเป็นคู่ชีวิตที่เธอเลือก
หมู่บ้านซานซีแสนเรียบง่ายยังคงอบอวลไปด้วยความรักและความผูกพันจากลุงลี่คุน ป้าลี่จู และชาวบ้านที่รักเมิ่งฮวาเสมอ เธอพบหนทางสงบสุขในชีวิตประจำวัน ปรับตัวเป็นศรีภรรยาและลูกหลานแห่งครอบครัวลี่ได้อย่างเต็มใจ
เรื่องราวแห่งเลือดมังกร และอดีตอันโหดร้ายในปราสาทอู่หวังกลายเป็นเพียงภาพความทรงจำที่เธอเก็บไว้ในใจไม่ใช่พันธนาการอีกต่อไป สายสัมพันธ์ที่เธอสร้างร่วมกับโจวจางเหว่ยและครอบครัวในหมู่บ้านคือของจริงที่จะคงอยู่ตลอดกาล
“จบลงด้วยดี”เมิ่งฮวาพึมพำแผ่วเบา มองแสงสุดท้ายของตะวันลับขอบฟ้าด้วยใจอิ่มสุข
ชีวิตปกติธรรมดาอาจดูเรียบง่าย แต่สำหรับเธอมันช่างงดงามและมีค่ากว่าพลังยิ่งใหญ่ใดๆ บัดนี้ เมิ่งฮวา คือหญิงสาวผู้ได้เลือกอนาคตของตนเอง อนาคตที่แม้ไม่มีอำนาจในกำมือหากแต่เต็มไปด้วยความรักและอิสระที่เธอฝันถึงตลอดมา
— จบบริบูรณ์ —
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป