บรรยากาศในมื้ออาหารเย็นเต็มไปด้วยความอบอุ่น กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ท่านป้าลี่จูจัดอาหารอย่างพิถีพิถัน โดยมีเมิ่งฮวาช่วยอยู่ข้างๆ ส่วนท่านลุงลี่คุนและโจวจางเหว่ยก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“มากินข้าวกันเถอะ” ลี่จูเรียกทุกคน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว
เมิ่งฮวาพยายามหลีกเลี่ยงการสบตากับบุรุษข้างกาย ทว่าโจวจางเหว่ยกลับมองนางด้วยสายตาอบอุ่นจนนางรู้สึกประหม่า
“เสี่ยวเหว่ย เจ้าชอบกินอะไรงั้นรึ?” ลี่คุนถามขึ้น
“ข้ากินได้ทุกอย่างขอรับ” โจวจางเหว่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะตักอาหารให้เมิ่งฮวาโดยไม่พูดอะไร
เมิ่งฮวาตกใจเล็กน้อย นางเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “ข้า… ข้าตักเองได้นะเจ้าคะ”
โจวจางเหว่ยเพียงยิ้มบางๆ “กินเถอะ”
ลี่จูมองดูภาพตรงหน้าพลางแอบยิ้ม ‘ช่างดูสนิทสนมกันเสียจริง… หรือว่ามีอะไรระหว่างสองคนนี้กันนะ?’
“อาเมิ่ง” นางเริ่มต้นเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ากับเสี่ยวเหว่ย… คงไม่ได้มีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกใช่ไหม?”
เมิ่งฮวาสำลักข้าวแทบจะทันที! นางรีบยกน้ำขึ้นดื่ม แอบเหลือบมองโจวจางเหว่ยที่ยังคงสงบนิ่งราวกับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย
“มะ… ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะท่านป้า!” นางรีบปฏิเสธ ก่อนจะหันไปมองโจวจางเหว่ยอย่างคาดโทษ ‘เจ้าอย่าได้พูดอะไรแปลกๆออกมาล่ะ!’
ทว่าโจวจางเหว่ยกลับเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ “ข้ากับอาเมิ่ง… กำลังดูใจกันอยู่ขอรับ”
เคร้ง! ตะเกียบในมือลี่จูหล่นกระทบจานเสียงดัง นางหันขวับไปมองเมิ่งฮวาทันที
“จริงหรืออาเมิ่ง?” ลี่คุนถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
เมิ่งฮวาได้แต่กัดริมฝีปากอย่างจนมุม นางรู้ว่าซ่อนอะไรจากท่านลุงท่านป้าไม่ได้ นางจึงพยักหน้าตอบเบาๆ “เจ้าค่ะ…”
“เฮ้อ! ข้าว่าแล้วเชียว!” ลี่จูถอนหายใจ ก่อนจะมองโจวจางเหว่ยด้วยสายตาพิจารณา “เจ้าจริงจังกับหลานข้าหรือไม่?”
โจวจางเหว่ยสบตานางอย่างหนักแน่น “ข้าจริงจังกับอาเมิ่งมากขอรับ”
ลี่คุนพยักหน้าพอใจ ก่อนจะเอ่ยเตือนเสียงเข้ม “ถ้าเจ้าทำให้นางเสียใจ ข้ากับยายแก่ไม่มีวันยอมแน่”
“ขอรับ ข้าสัญญาว่าจะดูแลนางอย่างดีที่สุด”
เมิ่งฮวาได้แต่ก้มหน้ากินข้าวต่ออย่างเงียบๆ หัวใจเต้นแรงเพราะคำพูดของบุรุษตรงหน้า ‘เขาพูดจริงหรือเปล่านะ?’
หลังมื้ออาหารจบลง ลี่คุนและลี่จูปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ!” เมิ่งฮวาหันไปต่อว่าเขาอย่างไม่พอใจ “ทำไมอยู่ดีๆก็พูดออกไปแบบนั้น!”
“ก็เป็นความจริงไม่ใช่หรือ?” โจวจางเหว่ยตอบกลับหน้าตาย
“แต่ว่า… แต่ว่า…” นางอึกอัก ไม่รู้จะเถียงอย่างไรดี
“ข้าตั้งใจแล้วว่าจะดูแลเจ้า เจ้ายังไม่มั่นใจในตัวข้าอีกหรือ?”
นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น “ข้าแค่… ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าพูดออกไปแบบนั้น”
โจวจางเหว่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือนาง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่กลัวอะไรพวกนี้หรือ?”
เมิ่งฮวาหลบตา นางไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นบุรุษที่มั่นคงและจริงจังมากเพียงใด
“ไปพักผ่อนเถอะ ดึกแล้ว” โจวจางเหว่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะไม่แกล้งเจ้าแล้ว”
เมิ่งฮวาเหล่มองเขาเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าห้องไป
โจวจางเหว่ยมองตามร่างบางที่เดินหายเข้าไปในห้อง ก่อนจะเผยรอยยิ้มอบอุ่น
‘ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้… อาเมิ่ง’
เช้าวันต่อมา เมิ่งฮวาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆในใจ ตั้งแต่เมื่อคืนที่โจวจางเหว่ยประกาศกับท่านลุงท่านป้าว่าพวกเขากำลังดูใจกัน นางก็รู้สึกเหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไป
นางไม่เคยคิดจริงจังเรื่องความสัมพันธ์กับบุรุษมาก่อน แต่บุรุษผู้นี้… กลับทำให้นางเริ่มหวั่นไหว
“เฮ้อ…” นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกจากเตียงไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อเดินลงไปถึงลานบ้าน กลับพบว่าท่านลุงกับท่านป้ากำลังสนทนากับโจวจางเหว่ยอยู่พอดี
“ตื่นแล้วหรืออาเมิ่ง?” ลี่จูหันไปมองหลานสาว
“เจ้าค่ะ” เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ ก่อนจะกวาดตามองโจวจางเหว่ยแวบหนึ่ง “คุยอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ?”
“เสี่ยวเหว่ยบอกว่าจะพาเจ้าเข้าเมืองเสียนหยางวันนี้น่ะ” ลี่คุนเอ่ยขึ้น
“หืม? เข้าเมืองงั้นหรือ?” เมิ่งฮวาหันไปมองโจวจางเหว่ยด้วยความแปลกใจ
“ใช่ ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” เขาตอบเรียบๆ “หรือว่าเจ้าไม่อยากไป?”
เมิ่งฮวานิ่งคิดครู่หนึ่ง นางไม่ได้เข้าเมืองมาสักพักแล้ว ไหนจะเรื่องร้านบะหมี่ที่ต้องแวะไปตรวจดูอีก
“ก็ได้เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าตอบ “แต่ข้าขอแวะไปดูร้านบะหมี่ด้วยนะ”
“ย่อมได้”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เตรียมตัวออกเดินทาง โดยมีลี่คุนกับลี่จูมาส่งที่หน้าบ้าน
“ระวังตัวด้วยนะอาเมิ่ง” ลี่จูเตือนอย่างเป็นห่วง
“อย่ากลับดึกนักล่ะ” ลี่คุนเสริม
“เจ้าค่ะท่านลุง ท่านป้า” เมิ่งฮวายิ้ม ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่โจวจางเหว่ยเตรียมไว้
ระหว่างทางทั้งสองคนนั่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงล้อเกวียนบดกับพื้นดินเป็นระยะ
“เจ้าดูแปลกไปนะ” โจวจางเหว่ยเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“ข้า? แปลกตรงไหนกัน?”
“ตั้งแต่เช้านี้เจ้าดูเหมือนมีอะไรในใจ”
เมิ่งฮวาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหลบตาเขา “ข้าแค่คิดเรื่องเมื่อคืน…”
“เรื่องที่ข้าบอกท่านลุงท่านป้าหรือ?”
นางพยักหน้าช้าๆ “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะพูดออกไปแบบนั้น ข้ากลัวว่าถ้าหากมันไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง… ข้ากลัวว่าจะทำให้ท่านลุงกับท่านป้าผิดหวัง”
โจวจางเหว่ยมองนางนิ่งๆ ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือนางเบาๆ “ข้าจริงจังกับเจ้านะอาเมิ่ง ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน”
หัวใจของเมิ่งฮวากระตุกวูบเมื่อได้ยินคำพูดหนักแน่นของเขา นางสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่เปล่งออกมาจากดวงตาของเขา
“ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน” นางตอบเสียงเบา
โจวจางเหว่ยยิ้มบางๆ ก่อนจะบีบมือนางเบาๆ “ขอบใจที่ให้โอกาสข้า”
ไม่นานรถม้าก็เดินทางมาถึงเมืองเสียนหยาง เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยลงจากรถม้าก่อนจะเดินเข้าไปในตลาดที่เต็มไปด้วยผู้คน
“ข้าขอไปดูร้านบะหมี่ก่อน เจ้าจะไปกับข้าหรือจะรออยู่ที่นี่?” นางหันไปถาม
“ข้าจะไปกับเจ้า”
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
ทั้งสองเดินไปยังร้านบะหมี่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าภายในร้านคึกคักไปด้วยลูกค้า พนักงานต่างก็ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
“คุณหนูมาแล้วหรือเจ้าคะ?” หญิงรับใช้ในร้านเดินเข้ามาทัก
“ใช่ ร้านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีเจ้าค่ะ ลูกค้าเยอะมากจนบางวันแทบจะทำไม่ทันเลย”
เมิ่งฮวายิ้มออกมา “ดีมาก” นางเดินสำรวจร้านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปหาโจวจางเหว่ย “เราไปเดินเล่นกันเถอะ”
โจวจางเหว่ยพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกจากร้านพร้อมนาง
ขณะที่ทั้งสองเดินชมบรรยากาศภายในตลาด เมิ่งฮวาก็พลันรู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องมาที่นาง
นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบเบาๆกับโจวจางเหว่ย “ข้ารู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองเราอยู่…”
โจวจางเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองไปรอบๆ “ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่ตรงนี้”
แต่ก่อนที่เมิ่งฮวาจะพูดอะไรต่อ จู่ๆก็มีใครบางคนพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง!
“อาเมิ่ง ระวัง!” โจวจางเหว่ยรีบดึงนางเข้ามากอด ก่อนจะใช้ร่างตนเองกำบังนางจากอันตรายที่กำลังพุ่งเข้ามา!
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป