ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อ
เมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง
“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”
เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน
“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่าง
โจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไป
ในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแปลกประหลาด บางภาพเหมือนกำลังทำพิธีอันคล้ายบวงสรวง บางภาพดูราวกับปีศาจกำลังร้องคำราม บรรยากาศวังเวงจนหลายคนขนลุกซู่
“นี่มัน… ภาพแกะสลักพิธีกรรมนอกรีตหรือ?” เมิ่งฮวาเอ่ยเมื่อสังเกตภาพบุคคลในท่าคุกเข่าและบูชาแสงเหนือเศียรมังกร
องครักษ์ผู้ค้นพบชี้ไปที่กำแพงด้านในสุด “ดูนี่ก่อนขอรับ บนพื้นมีรอยเลือดเก่าอีก… แล้วก็มีหลุมตื้นเหมือนที่วางร่างคนได้พอดี” เขาพูดเสียงแผ่ว หวาดเกรงกับสิ่งที่เห็น “คล้ายห้องบูชายัญอย่างที่เราสงสัยในห้องก่อน”
โจวจางเหว่ยเม้มปาก สีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คงมีคนมากมายต้องสังเวยชีวิตที่นี่ในอดีตกาล”
เมิ่งฮวามองรอยเลือดแห้งกรังนั้นด้วยหัวใจสั่นสะท้าน ถึงนางจะผ่านการต่อสู้ฆ่าฟันมาบ้าง แต่การนึกภาพผู้คนนับไม่ถ้วนถูกบูชายัญอย่างไร้มนุษยธรรมก็ทำให้รู้สึกหดหู่ไม่น้อย
ในความเงียบงัน จู่ๆเมิ่งฮวา ก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างซ้อนทับอยู่ในความมืด เหมือนเสียงกระซิบของสตรีคนหนึ่งอ่อนโยนแต่สะท้อนโศกเศร้า
“ช่วยด้วย… ช่วยลูกหลานเรา… ช่วย… รักษาเลือดมังกร…” เธอตวัดสายตาไปรอบๆแต่ไม่เห็นใครนอกจากคนในขบวนที่ยืนอยู่ เธอมองหาด้วยความสงสัย “เจ้าได้ยินอะไรหรือเปล่า?” เธอถามโจวจางเหว่ยด้วยเสียงแผ่ว
“ไม่ได้ยินอะไรนะ…” เขาตอบพลางจ้องหน้าเมิ่งฮวา “เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือ?”
เมิ่งฮวากลืนน้ำลายฝืดๆลงคอ ไม่แน่ใจว่าจะบอกอย่างไรดี นางเพียงส่ายหน้าเบาๆแต่ภายในใจกลับรู้สึกถึงแรงดึงดูดของเสียงปริศนานั้น… ราวกับมาจากสายเลือดเดียวกับเธอ
หลังตรวจตราโพรงแคบจนครบถ้วน ทั้งหมดก็กลับมารวมตัวกันในห้องพักหินเดิม เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยปรึกษากันอย่างเร่งด่วน
“เราอาจจะพักไม่ได้นานนัก ศัตรูด้านนอกย่อมไม่ปล่อยเราเดินหน้าสบายๆแน่”
โจวจางเหว่ยกล่าว ดวงตาทอดกว้าง “เส้นทางลึกเข้าไปจะคับแคบกว่านี้ คงจะช่วยให้พวกมันยกพลเข้ามาตีกะทันหันได้ยากขึ้น แต่ก็เสี่ยงหากมีดักหรือกับดักโบราณอีก”
เมิ่งฮวาครุ่นคิดอย่างหนัก เธอรู้สึกถึงความร้อนผ่าวเล็กๆในกลางอก ราวกับพลังลี้ลับกำลังเรียกร้องให้เธอเดินหน้าค้นหา
“สัญญาณเสียงกระซิบนั่น… บอกให้ข้าช่วย ‘เลือดมังกร’ ไว้” นางคิดในใจ “หรือแท้จริงแล้ว ข้าคือทายาทของผู้ครองปราสาทแห่งนี้? หรืออาจเกี่ยวพันกับราชวงศ์โบราณที่ถูกลืมเลือน?”
น้ำเสียงเธอแผ่วเบาแต่เด็ดขาด “ข้าคิดว่าเราควรไปต่อ ไม่อย่างนั้นปลายทางเราจะถูกศัตรูขัดขวางจนหมดหนทาง เราอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว”
“ตกลง” โจวจางเหว่ยเห็นพ้อง “เราจะเร่งทำเวลา ถ้าไหวก็จะแบ่งสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่คอยรับมือศัตรู อีกกลุ่มนำโดยข้ากับเจ้าเข้าลึกไปสำรวจ ถ้าเจอปัญหาใหญ่อะไรค่อยส่งสัญญาณเรียกกำลังเสริม”
ก่อนออกเดินทาง เมิ่งฮวาฉุกใจคิด “บางคนยังบาดเจ็บอยู่ ถ้าให้เขาอยู่คอยสกัดข้างหลัง ก็ต้องมียาและอาหารให้เพียงพอ”
ดังนั้นนางจึงอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจมากนัก ลับไปยังซอกหินด้านข้าง ทำทีว่าไปหยิบของในกระเป๋าแต่แท้จริงแล้วเปิดมิติช่องว่างของเธออีกครั้ง หยิบยาแก้ปวด น้ำดื่ม และเสบียงสำเร็จรูปเพิ่ม
“นี่คือ…” โจวจางเหว่ยเดินตามมาพอดี สังเกตเห็นว่านางได้เสบียงมาเพิ่มอีก เป็นถุงสมุนไพรลักษณะแปลกตา “ของพวกนี้เจ้าเอามาจากไหน? ไม่เคยเห็นเจ้ามีถุงยาตรงนี้ตอนออกจากจวน”
เมิ่งฮวาชะงัก พยายามรักษาความนิ่ง “อ้อ… ข้าจัดของแบบแยกไว้ตั้งแต่ต้น กลัวของจะปะปนกันหาย เลยเก็บให้ปลอดภัยน่ะ” เธอตอบเลี่ยงๆอย่างเดิม แม้สีหน้าจะขึ้นสีเล็กน้อย
โจวจางเหว่ยมองเธอด้วยรอยยิ้มบางเบาที่ปนความสงสัย แต่ก็ยังคงไม่คาดคั้น “อืม ข้ารู้ว่าเจ้ามีวิธีพิเศษ ข้าจะไม่ถามจนกว่าเจ้าพร้อมจะบอกเอง”
เมิ่งฮวาส่งยิ้มขอบคุณ มันทำให้เธออบอุ่นใจอย่างประหลาดที่มีคนคอยเข้าใจและพร้อมยืนเคียงข้าง แม้จะมีเรื่องลึกลับอีกมากในตัวเธอ
หลังปันเสบียงและยาให้กลุ่มที่คอยเฝ้าด้านหลังเรียบร้อย กลุ่มสำรวจซึ่งประกอบด้วยเมิ่งฮวา โจวจางเหว่ย และองครักษ์ฝีมือดีอีกสี่นาย ก็จัดเตรียมคบไฟและอาวุธ ให้พร้อมออกเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์คดเคี้ยว
“ทุกคนพร้อมหรือไม่?” โจวจางเหว่ยหันมาถาม ทุกสายตาแสดงความเคร่งเครียด แต่ไม่ถอย
“พร้อม” เมิ่งฮวาตอบก่อนใครด้วยน้ำเสียงมั่น “เราไม่มีทางเลือกมากนัก”
กลิ่นไอความลึกลับแผ่ซ่านไปทั่ว เมื่อก้าวพ้นจุดนี้ก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดจะรออยู่เบื้องหน้า กับดักโบราณ เงื่อนงำของ “เลือดมังกร” หรืออำนาจลี้ลับบางอย่างที่อาจเชื่อมโยงกับอดีตของนาง
และปริศนา ‘อู่หวัง’ ที่ถูกร่ำลือว่าเป็น ปราสาทโบราณ ซึ่งเก็บงำมรดกอันสามารถสั่นคลอนราชสำนัก ซึ่งอาจปรากฏให้เห็นในอีกไม่กี่อึดใจ
ทุกย่างก้าวในอุโมงค์ชวนให้ทุกคนเผลอกลั้นหายใจ เพราะเงามืดตามผนังเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นรูปทรงเคลื่อนไหวได้ หมอกจางๆปกคลุมตามซอกหิน บางครั้งเหมือนมีลมพัดผ่านจนคบไฟสั่นไหวไปมา
ในจังหวะหนึ่งเมิ่งฮวาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วอีกครั้ง “จงสืบทอด… ผู้มีสายเลือดมังกร… จงปกป้อง…”
เธอรีบเหลือบมองรอบตัว “มีใครได้ยินเสียงประหลาดบ้างไหม?”
“ไม่มี… ข้าได้ยินแต่เสียงลม” โจวจางเหว่ยบอกพลางขมวดคิ้วเป็นกังวล “ระวังตัวหน่อยนะฮวาเออร์ ถ้าไม่ไหวก็บอกข้าจะให้คนพาเจ้าออกไปข้างนอก”
“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ” เมิ่งฮวาหายใจเข้าปอดลึกแม้ใจสั่นกลัวเบื้องลึก แต่ก็ยังไม่อยากถอย “เชื่อข้าสิเจ้าคะ เราจะต้องผ่านมันไปได้”
เดินลึกไปอีกพักหนึ่งพวกเขาพบทางแยกสองสาย ทางหนึ่งเป็นอุโมงค์ทรุดโทรมมืดมิด แต่มีลวดลายสลักแบบเดียวกับผนังห้องบูชายัญ ด้านอีกทางเป็นอุโมงค์ที่ดูค่อนข้างใหม่กว่า มีรอยเท้าจางๆ เหมือนเคยมีคนผ่านไปไม่กี่วันก่อน
“สายไหนกันแน่ที่นำไปสู่ ‘ใจกลาง’ อู่หวัง?” องครักษ์นายหนึ่งเอ่ยสีหน้าสับสน
“ทางที่มีรอยเท้า อาจเป็นนักฆ่าที่ล่วงหน้าไป หรือคนอื่นที่อยากค้นหาสมบัติ เห็นชัดว่าถ้าเราตามไป อาจปะทะอีกครั้ง” โจวจางเหว่ยวิเคราะห์
เมิ่งฮวาเพ่งมองอุโมงค์ทรุดโทรมภายในมีร่องรอยหินสลักรูปมังกรเกาะกุมดาบลักษณะแปลกๆ แล้วก็เกิดอาการสั่นหนาววูบหนึ่ง
“ข้าว่าทางนี้อาจพาเราไปยังหัวใจของปราสาทโบราณได้เร็วขึ้น… หรืออาจเจอกับดักร้ายแรง”
ท้ายที่สุดกลุ่มสำรวจตกลงแบ่งเป็นสองชุดย่อยเล็กๆสองนายจะลองไปทางที่มีรอยเท้า เพื่อเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของศัตรูหรือพบเส้นทางขึ้นลงอื่นๆ ส่วนเมิ่งฮวา โจวจางเหว่ย และองครักษ์อีกสองคนเลือกมุ่งสู่ “อุโมงค์ทรุดโทรม” ที่สลักลายมังกร
“ระวังตัวกันด้วยล่ะ ถ้าเจอเรื่องฉุกเฉินให้รีบส่งสัญญาณหรือกลับมารวมตัวตรงนี้ทันที” โจวจางเหว่ยสั่งการชัดเจน
ทั้งสองฝ่ายจับมือกันเล็กน้อยเป็นการให้กำลังใจ ก่อนแยกย้าย
บรรยากาศในอุโมงค์ทรุดโทรมอัดแน่นด้วยความเงียบสงัด มีเพียงเสียงหยดน้ำดัง ติ๊ง… ติ๊ง… จากเพดานหิน บางช่วงพื้นดินยุบตัวจนต้องคอยย่ำเดินช้าๆไม่ให้ลื่นตกหลุม
เมิ่งฮวาใช้คบไฟส่องผนังทุกจุดผ่าน ดวงตาเธอเริ่มจับภาพลวดลายมังกรค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็นมังกรที่มีปีกหรือเกล็ดขรุขระขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเป็นการพัฒนาเผ่าพันธุ์ตามยุคสมัย
“เหมือนจะสื่อถึงตำนานมังกรที่ถูกดัดแปลง หรือผ่านการผสมสายเลือด…” นางพึมพำพลางกวาดตามองสัญลักษณ์
โจวจางเหว่ยเองก็ฉงนใจ “เป็นไปได้ไหมว่าในอดีต พวกเขาเชื่อว่ามังกรและสายเลือดมนุษย์ผสมกันได้จนเกิด ‘เลือดมังกร’ หรืออะไรแนวๆนั้น?”
เมิ่งฮวาใจเต้นแรงขึ้นพลันนึกถึงเสียงกระซิบ “ปกป้องเลือดมังกร” ที่เธอได้ยินซ้ำๆ หลายครั้ง
เดินอยู่พักหนึ่ง เสียง กึก… กึก… แปลกๆ ก็ดังมาจากด้านลึกสุดของอุโมงค์ ราวกับหินหรือบานประตูบางอย่างเคลื่อนตัวเอง หนึ่งในองครักษ์ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณหยุด
“นายท่าน… มีอะไรกำลังขยับอยู่ข้างหน้าขอรัข” เขากระซิบอย่างหวาดระแวง
ไฟคบเริ่มสั่นเพราะสายลมเย็นที่โชยเข้ามา เหมือนอากาศกำลังไหลเวียนจากพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยแลกสายตากัน รู้สึกว่ากำลังจะได้พบจุดสำคัญของปราสาทโบราณก็คราวนี้
เสียง ครืด… ครืด… ยังคงดังเป็นระยะ จนกระทั่งเมิ่งฮวาก้าวเข้าใกล้จุดเลี้ยวโค้งของผนังหิน เธอเงี่ยหูฟังอย่างระวัง และสายตาก็เบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อมองเห็นเงาดำของบางสิ่งขนาดใหญ่…
อาจเป็นประตูกลไก หรือรูปสลักมังกรเคลื่อนไหวด้วยวิธีปริศนาไม่มีใครแน่ใจ รู้เพียงแค่ว่าสิ่งนั้น กำลังขวางเส้นทางของพวกเขาอยู่!
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป