Share

บทที่ 3

Author: Me.Daisy
last update Last Updated: 2024-12-16 17:45:45

              มนสิชารู้สึกเครียดมากที่รู้ว่าตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกแห่งความฝัน  เธอคงประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง  เธอรับไม่ได้กับสถานการณ์ตอนนี้  หญิงสาวยกสองมือขึ้นกุมศีรษะแล้วส่ายหน้าอย่างแรง 

              "อย่าเพิ่งเครียดไปเลย  ตามพวกเรามาทางนี้ดีกว่า"          ปุยฝ้ายชวนด้วยน้ำเสียงสดใส  เธอประสานมือไว้ด้านหลังแล้วแอ่นตัวมาด้านหน้า  มองมนสิชาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

              สองสาวเดินพามนสิชาไปโรงอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับตึกบริหาร  มีโต๊ะไม้ตัวยาววางเรียงกันอย่างแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ว่างให้เดิน  เป็นสัญญาณบอกว่าสมัยหนึ่งโรงเรียนแห่งนี้เคยมีนักเรียนมานั่งทานอาหารเกินกว่าที่โรงอาหารจะรับมือไหว  ร้านอาหารมีพ่อค้าแม่ค้าวัยรุ่นยืนขายอาหาร  หน้าตาพวกเขาไม่ได้ดูแก่ไปกว่าสองสาวเท่าไรนัก

              "เวลามาตึกเรียนส่วนกลาง  พวกเราก็ชอบมากินข้าวที่นี่แหละค่ะ  ว่าแต่ว่าเธอชื่ออะไรเหรอคะ"  ชูครีมเริ่มต้นประโยคสนทนาด้วยความสุภาพ

              "พี่ชื่อมนสิชาจ้ะ  เรียกพี่มนก็ได้  แล้วน้องๆ"

              "ปุยฝ้าย"

              "ชูครีมค่ะ"

              สองสาวเอ่ยชื่อเล่นตัวเองอย่างเรียบง่าย

              "เดี๋ยวพวกเรามาเจอกันที่โต๊ะตัวนี้นะ  แยกย้ายกันไปซื้อข้าวก่อน  อ่ะ  นี่เงิน"  ปุยฝ้ายให้แบงค์ร้อยกับมนสิชา  หญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธเพราะเธอคิดว่ายังไงก็เป็นฝัน  การรับเงินจากคนในจินตนาการของตัวเองคงไม่แย่สักเท่าไหร่

              ไม่นานนักทั้งสามคนก็วางอาหารของตัวเองลงบนโต๊ะ    ชูครีมเลือกข้าวหมูทอดที่ราดซอสมะเขือเทศและมายองเนสหน้าตาน่ากิน  กลิ่นอาหารลอยแตะจมูกทุกคนจนน้ำลายไหล  รอบจานจัดด้วยผักกาดเขียวและมะเขือเทศฝานบางๆ  พร้อมกาแฟปั่นราดวิปครีมเหมือนหลุดออกมาจากร้านแบรนด์ชื่อดัง  แล้ววางพุดดิ้ง  สีเหลืองทองลงบนโต๊ะ  ในขณะที่ปุยฝ้ายวางก๋วยเตี๋ยวน้ำสีดำอมม่วงที่มีหมูชิ้นดูท่าทางไม่สดลงบนโต๊ะ  กับแก้วน้ำบิ่นๆหนึ่งใบ  น้ำโอเลี้ยงส่งกลิ่นเปรี้ยวเหมือนกำลังจะเสีย

              "เป็นอย่างนี้ทุกที"  ปุยฝ้ายบ่นเมื่อมองเปรียบเทียบอาหารตัวเองกับชูครีม  เธอมองมาที่อาหารของมนสิชา  เป็นข้าวผัดอเมริกันหน้าตาธรรมดาๆ  กับน้ำชามะนาวในแก้วทรงสูง

              "พลังของเธอผ่านเกณฑ์ล่ะ"  ปุยฝ้ายหันมาวิจารณ์มนสิชาจากหน้าตาอาหาร

              มนสิชาไม่ได้ใส่ใจฟัง  จึงถามเรื่องที่สงสัยออกมา

              "ถ้าที่นี่เป็นฝัน  ทำไมเราต้องกินด้วย" 

              "ไม่ดีเหรอ  กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน"  ปุยฝ้ายถามกวนๆ      มนสิชารู้สึกพอใจในคำตอบนั้นจึงยกมือขึ้นไฮว์ไฟกับเธอ

              "เจ๋งมาก"

              ชูครีมหัวเราะเบาๆ ที่จู่ๆทั้งคู่ก็เข้ากันได้  มนสิชายังไม่หมดความสงสัย  ก้มลงมองฝ่ามือของตัวเอง  เธอพบว่าไม่มีรอยพับหรือเส้นลายมือใดๆเลย  เมื่อสำรวจท่อนแขนก็ไม่เจอรูขุมขนเลยแม้แต่น้อย  เธอจึงเชื่อว่านี่เป็นฝันจริงๆ  หญิงสาวนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคงเป็นตอนที่หนุ่มวิน มอเตอร์ไซค์ปาดหน้ารถเก๋งแน่ๆ 

              "รู้สึกว่าตอนที่หลับตาก่อนรถเก๋งจะชน  พี่หลับตาไปนานเหมือนกัน  แล้วจู่ๆ ก็มาถึงโรงเรียนวรรณวิลาศ"  มนสิชาพูดกับสองสาวที่บัดนี้นั่งลงข้างๆเธอ

              "ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนวรรณวิลาศหรอกค่ะ"  ชูครีมบอก    "ถ้าจะพูดให้ถูก  ก็คือไม่มีชื่อโรงเรียนด้วยซ้ำ"

              "นั่นสินะ  ใครจะมาเสียเวลาตั้งชื่อโรงเรียนในฝันกัน"  มนสิชาพยักหน้า

              "แต่พวกเราเรียกที่นี่ว่าเมืองนิทรานะคะ"  ชูครีมพูดต่อ

              มนสิชาสูดหายใจเข้าลึกๆ  ก่อนมองสองสาวอย่างสำรวจ  "งั้นพวกเธอก็เกิดจากจิตนาการของพี่ด้วยซิ"

              "ชูครีมมีตัวตนอยู่จริงๆนะคะ"

              "พี่ไม่เชื่อเด็ดขาด  ก็นี่มันฝันพี่  คนที่ไม่เคยรู้จักจะเข้ามา

ในฝันพี่ได้ยังไง"  มนสิชาแย้ง

              "ชูครีมอาจจะอ้วน ไม่ค่อยฉลาด  ไม่น่าคบ  คนไร้ค่าอย่างชูครีมจะไปมีตัวตนในสายตาของคนอื่นได้ยังไง"  ชูครีมเริ่มสะอึกสะอื้น  วางช้อนส้อมลงบนจานข้าว  ปุยฝ้ายหยุดตักอาหารเข้าปากแล้วหันมาปลอบใจเพื่อนสาว

              "ไม่ใช่อย่างนั้นนะชูครีม  เธอเป็นคนดี  เป็นที่รักของพวกเรา  แล้วก็มีความสามารถมากเลยนะ  ไม่ร้องนะ  โอ๋ๆ"  ปุยฝ้ายกอดชูครีมด้วยมือสองข้าง  สัมผัสนุ่มนิ่มนั่นทำให้เธอเคลิ้มจนลืมจุดประสงค์ไปแป๊บหนึ่ง  "อย่าร้องนะชูครีม"

              มนสิชายังคงนิ่งเงียบ  รู้สึกว่าเรื่องนี้คงมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง  ก่อนที่เธอจะเอ่ยอะไรออกมา  เสียงเพลงผ่านลำโพงก็ดังขึ้นเป็นเพลงกล่อมเด็กอย่างทวิงเกิ้ล ทวิงเกิ้ล ลิตเติ้ล  สตาร์

              "เพลงโปรดฉันดังอีกแล้ว"  ปุยฝ้ายระบายยิ้ม  "พวกเราก็ไปกันเถอะ"

              สามสาวเดินออกมาจากโรงอาหาร  เจอเหล่านักเรียนนับพันเดินผ่านพวกเธอไป  มุ่งหน้าไปยังอาคารทรงโดมที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนกลาง  ตัวอาคารมีทางเข้าสองด้าน  ปุยฝ้ายเอื้อมมือมาจับมนสิชาไม่ให้เธอพลัดหลงไปในฝูงชน  มีทางเดินกว้างขวางพาพวกเธอเข้าไปด้านใน 

              มนสิชาอ้าปากค้างเมื่อเห็นการตกแต่ง  ห้องโถงกว้างขวางเพดานสูงเกินกว่าสิบเมตร  มีโต๊ะและเก้าอี้เรียงตัวเป็นแนวโค้ง  ประจันหน้ากันสองฝ่าย  ด้านหน้ามีที่นั่งแค่สองแถว  เธอเดาว่าเป็นที่สำหรับพวกผู้นำ  ส่วนด้านตรงข้ามเป็นที่นั่งของนักเรียนจำนวนมากที่เดินเข้ามาพร้อมเธอ

              มนสิชาก้มลงมองชุดสูทของตัวเองที่กลายเป็นแกะดำในห้องประชุม  แล้วก้มตัวลงต่ำเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกตนัก 

              "ให้พี่เข้ามาในนี้ไม่เป็นไรเหรอ"  มนสิชากระซิบถาม    ปุยฝ้าย

              "ไม่เห็นเป็นไรเลย"  ปุยฝ้ายยิ้ม  ส่วนชูครีมยังตาแดงอยู่  พยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนสาว

              บนโต๊ะที่พวกเธอนั่งนั้นมีไมโครโฟนตั้งโต๊ะคนละเครื่อง  พร้อมปุ่มสองปุ่มคือสีเขียวที่เขียนข้างล่างว่าใช่และปุ่มสีแดงที่เขียนว่าไม่  ที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศแต่อุณหภูมิพอเหมาะ   มนสิชามองไปยังโต๊ะยาวด้านหน้าซึ่งเป็นที่รวมตัวของเหล่าผู้นำนักเรียน  เหล่านักเรียนพูดคุยเสียงดัง  จนกระทั่งเสียงเงียบลงเมื่อมีนักเรียนหญิงชายเดินเข้ามาสี่คนนั่งประจำที่ของตัวเอง

              "คุณมนคะ  ชูครีมขอแนะนำนะคะ  นักเรียนชายคนที่อ้วนๆ ดูใจดีเป็นหัวหน้านักเรียนทิศเหนือชื่อเทพทัตค่ะ  ซึ่งเป็นโรงเรียนที่พวกเราอยู่เองค่ะ  ส่วนคนที่หน้าตาเป็นนักวิชาการ  สวมแว่นตา  ไม่ค่อยยิ้มเป็นหัวหน้านักเรียนทิศใต้ชื่อ   สุกฤตค่ะ  คนที่สามเป็นผู้หญิงคนเดียว  สวยสง่า  ท่าทางมารยาทดี  คนนั้นชื่อกิ่งฟ้าเป็นหัวหน้านักเรียนทิศตะวันออก  แล้วคนสุดท้ายที่หันมาส่งสายตาแทะโลมคุณกิ่งฟ้า  ผิวเข้ม  คิ้วหนา  ชื่อสุเมธเป็นหัวหน้านักเรียนทิศตะวันตกค่ะ"

              "ขอบคุณนะ  ชูครีม"  มนสิชารู้จักตัวละครทั้งหมด  พร้อมรับฟังเรื่องราวมากขึ้น

              "สวัสดีหัวหน้านักเรียนและนักเรียนทุกคนนะคะ"  กิ่งฟ้าเป็นคนเปิดการประชุม  เธอยิ้มน้อยๆเพื่อแสดงความเป็นมิตร  "การประชุมครั้งนี้โรงเรียนฝั่งตะวันออกของเราเป็นฝ่ายเรียกร้องให้จัดขึ้น  เนื่องจากพบเหตุการณ์ผิดปกติจากการเคลมซาก      มอนสเตอร์ค่ะ  ทางทิศตะวันออกของเราเคยประท้วงไปหลายครั้งแล้ว  แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ  เราจึงอยากใช้มติของนักเรียนเป็นคำตัดสินค่ะ  ถ้าใครเห็นว่าเรื่องนี้สมควรนำมาพูดคุยกรุณากดโหวตใช่ด้วยค่ะ"

              จอมอนิเตอร์ด้านหน้าแสดงผลโหวต  ตัวเลขแบ่งออกเป็นสองฝั่งคือฝั่งสีเขียวและฝั่งสีแดง  เมื่อนักเรียนเริ่มกดโหวตตัวเลขทั้งสองฝั่งก็วิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  ที่สุดแล้วผลโหวตก็ออกมาเป็นใช่    เจ็ดร้อยสิบเก้าคน และโหวตไม่  สี่ร้อยคน

              "มตินี้ถือว่าผ่านครับ"  สุกฤตสรุปผลจากหน้าจอออกมาเป็นคำพูด  "เชิญคุณกิ่งฟ้าพูดต่อ"

              "ขอเปิดตัวหัวหน้าศูนย์แลกเปลี่ยนด้วยค่ะ"  กิ่งฟ้าเอ่ยพลางสะบัดผมยาวไปด้านหลัง  นักเรียนหญิงเดินกระเผลกเข้ามา  มีเสียงอุทานด้วยความเห็นใจจากนักเรียนดังขึ้น  "ขอคัดค้านค่ะ  คุณน้ำผึ้งแกล้งทำเป็นเดินกระเผลกเพื่อเรียกร้องความเห็นใจค่ะ"

              มนสิชาส่ายหน้า  การต่อว่าคนอื่นตรงๆมีแต่จะทำให้เสีย

คะแนนความเห็นใจมากกว่าเห็นด้วย

              "ใครเห็นว่าคุณผึ้งแกล้งเดินกระเผลกโหวตใช่  และถ้าเป็นเรื่องจริงโหวตไม่ครับ  เชิญโหวตครับ"  สุกฤตหัวหน้าทิศใต้สรุป

              "หา  เรื่องแบบนี้ต้องโหวตด้วยเหรอ"  มนสิชาอุทาน        ชูครีมและปุยฝ้ายพยักหน้าด้วยความเหนื่อยหน่าย

              ตัวเลขบนจอมอนิเตอร์วิ่งอีกครั้ง 

              "คัดค้านครับ  คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการเดินกระเผลกเป็นเรื่องจริงครับ"  สุกฤตเอ่ย  "เชิญเข้าประเด็นครับ  คุณกิ่งฟ้า"

              "ก่อนจะส่งมอนสเตอร์ไปที่ศูนย์แลกเปลี่ยนเราจะชั่งน้ำหนักไว้ก่อนทุกครั้ง  แต่ครั้งล่าสุดเราพบว่าเงินหายไปราวสามหมื่นบาทจากการชั่งน้ำหนักได้น้อยลง  เราอยากให้หัวหน้าศูนย์ชี้แจงเรื่องนี้ค่ะ"

              น้ำผึ้งเปิดไมค์ของตัวเองขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว          ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้น

              "เปล่านะคะ  ทางเราไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนที่ชั่งน้ำหนักใดๆ  คือ ทุกท่าน...พวกคุณ...ก็รู้ว่าคนที่ผลิตเครื่องชั่งน้ำหนักไม่ใช่คนของส่วนกลาง  เราจะไปโกงตาชั่งได้อย่างไร"

              เสียงซุบซิบดังขึ้น  กิ่งฟ้าดูเหมือนคนใจร้ายที่ใส่ร้ายคนบาดเจ็บขึ้นทุกที

              "คุณน้ำผึ้งค่ะ  ดิฉันทราบดีว่าคุณเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป"  กิ่งฟ้าเริ่มพูดแก้ต่างให้ตัวเอง  แต่โดนน้ำผึ้งแย่งพูดอีก

              "ไม่ใช่..อึก...ไม่ใช่นะคะ"  น้ำผึ้งร้องไห้  "ดิฉันไม่ได้มีอำนาจ  มะ..ไม่มีอัศวินคอยปกป้อง  ดิฉันกลัวว่าจะโดนกลั่นแกล้ง"

              ในสายตาของมนสิชา  กิ่งฟ้าดูเหมือนคนตรงไปตรงไปและอารมณ์ร้อน  แม้จะตกหลุมพรางหัวหน้าศูนย์แลกเปลี่ยนเรื่องขากระเผลกแต่เธอก็ไม่แสดงอาการกลั่นแกล้งน้ำผึ้งอีก  ราวกับเริ่มอ่านเกมออก  เธอปล่อยให้คนอื่นนำการพูดในครั้งนี้

              "มีหลักฐานไหมครับ"  เทพทัตที่นั่งฟังเฉยๆ เอ่ยถามขึ้น

              "แน่นอนค่ะ"  กิ่งฟ้ายกใบเสร็จรับเงินพร้อมกับรูปถ่ายตอนชั่งน้ำหนักมอนสเตอร์ขึ้น  กล้องซูมไปที่รูปภาพในมือกิ่งฟ้า  มอนสเตอร์ที่พวกเขาพูดถึงเป็นสัตว์ตัวโตคล้ายหมีแต่ผิวหนังเรียบลื่นเหมือนงู  มีดวงตาเดียว  เล็บมือแหลมคม  พวกมันนอนซ้อนกันเป็นกองบนตาชั่งขนาดใหญ่

              "น้ำหนักที่เราเห็นจากภาพเป็นหกร้อยกิโลกรัม  ส่วนน้ำหนักในใบเสร็จแค่สามร้อยกิโลกรัม  แสดงว่าเงินจะหายไปสามหมื่นบาทหรือครึ่งหนึ่ง"  สุเมธเอ่ยหลังคิดเลขอย่างรวดเร็ว  "เป็นการกระทำที่แย่มากเลยนะครับ  หายไปครึ่งหนึ่งเลย"

              "ถ้าอย่างนั้นโหวตครั้งสุดท้ายของเรื่องนี้  ใครเห็นว่าคุณน้ำผึ้งมีความผิดโหวตใช่  ไม่มีความผิดโหวตไม่"  สุกฤตกล่าวสรุปในที่ประชุม

              ตัวเลขบนจอมอนิเตอร์วิ่งอีกครั้ง

              "ผลโหวตเป็นเอกฉันท์ว่าคุณน้ำผึ้งมีความผิดครับ"       สุกฤตกล่าว

              น้ำผึ้งร้องกรี๊ดเมื่อเห็นผลโหวต 

              "ไอ้พวกบ้า  อย่าให้ถึงคราวของฉันก็แล้วกัน"  เธอยังด่าอะไรไปอีกพักหนึ่ง  แต่ไมค์ถูกยึด  อัศวินจับน้ำผึ้งออกนอกห้องประชุมไป  กล้องวิดีโอจับภาพสีหน้าของกิ่งฟ้าเอาไว้  เธอทำหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการดีใจใดๆ

              "นี่แหละน่า  เขาเรียกมืออาชีพ"  มนสิชาชมเปาะ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เมืองนิทรา   บทที่ 33 (ตอนจบ)

    หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่

  • เมืองนิทรา   บทที่ 32

    ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้

  • เมืองนิทรา   บทที่ 31

    มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน

  • เมืองนิทรา   บทที่ 30

    สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป

  • เมืองนิทรา   บทที่ 29

    ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่

  • เมืองนิทรา   บทที่ 28

    วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status