ท่ามกลางหมู่มวลพฤกษานานาพรรณในป่าใหญ่ ต้นไม้รอบด้านกลายเป็นเงาครึ้มจากแสงจันทร์คืนมืดที่หม่นสลัว ลมราตรีหอบเอากลิ่นดอกกุ้ยฮวาลอยมาตามลม
ในป่าลึกกลางดึกเช่นนี้ควรจะมีเพียงความเงียบสงัด แต่ความสงบของยามค่ำคืนกลับถูกทำลายลงด้วยเสียงอาวุธ กลุ่มคนในชุดสีดำสนิทสองกลุ่มกำลังฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับต้องการปลิดชีพอีกฝ่ายให้สิ้นซาก!
ขณะที่เบื้องล่างกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด บนกิ่งไม้ใหญ่กลับปรากฏร่างบอบบางของใครบางคนหลบอยู่ มู่ฝานชะโงกหน้าลงมามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ดวงหน้าของนางมีร่องรอยของความกังวลอย่างชัดเจน
"ฝ่าบาท" ดวงตาคู่งามจดจ้องไปยังร่างสูงในชุดดำของคนผู้หนึ่งที่กำลังใช้ดาบฟันฉั่บเข้าไปยังร่างของศัตรู ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นแรงด้วยความว้าวุ่นใจ หากแต่เขายังไม่ส่งสัญญาณให้ นางจึงทำได้เพียงแค่รอคอย
ทว่า...
"ไม่นะ!" หญิงสาวร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งกำลังเล็งลูกเกาทันฑ์มายังร่างสูงของเขา ก่อนที่ชายผู้นั้นจะลั่นไก
"ฝ่าบาททรงระวังเพคะ!" มู่ฝานเรียกชายหนุ่มเสียงดัง ทว่าดูเหมือนว่าเขาจะยังคงไม่รู้ตัว หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงตัดสินใจพุ่งเข้าไปหาเขาด้วยความรวดเร็ว มือบางกระชากดาบออกมาฟันไปยังลูกเกาทันฑ์ที่ลอยละลิ่วมาตามสายลม ก่อนจะผลักคนตัวโตให้ล้มลงกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขน ใช้ร่างกายบอบบางของตนปกป้องชายหนุ่มจากฝูงลูกเกาทันฑ์ห่าใหญ่ที่แล่นฉิวตรงมายังร่างหนา
ฉั่บ ฉั่บ ฉั่บ
"มู่ฝาน!" เสียงเรียกอันคุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง นางจึงผินหน้ากลับไปมองแลเห็นเจ้านายหนุ่มยืนอยู่
"ท่านอ๋อง" หญิงสาวขานเรียกคนตัวโตเสียงแผ่ว ความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงอยู่ในร่างกายทำให้ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวเหยเก
'เอ๊ะ... ท่านอ๋องยืนอยู่ตรงนั้นแล้วชายผู้นี้เป็นใครกัน!' มู่ฝานคิดก่อนจะหันไปมองคนตัวโตที่อยู่ในอ้อมแขนของตน มือบางสั่นระริกค่อยๆปลดผ้าคลุมใบหน้าของเขาออก ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อพบว่าตนปกป้องชายผิดคน
'แย่ล่ะสิ เขาไม่ใช่ท่านอ๋องของข้า!' ได้หรือ...เป็นเช่นนี้ได้หรือ นางอุตส่าห์ยอมแลกชีวิตเพื่อปกป้องเขาเลยนะ!
"ทะ ท่านแม่ทัพเปา" เอ่ยเรียกชื่อเขาเสียงตะกุกตะกัก ที่แท้แล้วคนผู้นี้ก็คือแม่ทัพใหญ่เปาอี้ส่วงนั่นเอง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาบ่งบอกถึงความตกใจไม่แพ้กัน ชั่วขณะหนึ่งที่ตาสบตา มู่ฝานเห็นแววตาคมวูบไหว นางชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
'แต่ท่านแม่ทัพเปาตาบอดมิใช่หรือ' หญิงสาวคิดด้วยความสับสน เมื่อครู่นี้นางเห็นชัดเจนเต็มสองตาว่าเขาสบตานาง ไม่นานความคิดต่างๆก็ต้องหยุดลงเมื่อมีใครบางคนดึงร่างของนางไปไว้ในอ้อมแขน
"มู่ฝานเป็นอย่างไรบ้าง" หวางจื่อชางมองร่างโชกเลือดของคนในอ้อมแขนด้วยความตกใจ แผ่นหลังของนางเต็มไปด้วยลูกเกาทันฑ์ที่ทิ่มแทงฝังปลายแหลมคมไว้ในร่าง
"ท่านอ๋อง ปะ ปลอดภัย ชะ ใช่หรือไม่ พะ เพคะ" มือนุ่มนิ่มแตะลงบนแก้มสากเบาๆ มองเขาด้วยสายตาแห่งความจงรักภักดี
"ข้าไม่เป็นไร เจ้าก็ต้องปลอดภัยเช่นกัน ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่" เขากล่าวเสียงสั่น พยายามจะอุ้มร่างบางมาไว้ในอ้อมแขน มู่ฝานส่ายหน้า นางรู้ดีว่าอีกไม่นานชีวิตของนางจะจบสิ้นลงแล้ว
"ทะ ท่านอ๋อง ปะ ปลอดภัย มะ หม่อมฉันก็ ดะ ดีใจเพคะ" นางรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกล่าวกับเขา ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อยๆปิดลง ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหลุดลอยไป หวางจื่อชางมองมือบางที่ตกลงข้างตัวอย่างอึ้งๆ
"มู่ฝาน ข้าบอกให้เจ้าตื่นขึ้นมา มู่ฝานได้ยินข้าหรือไม่ ข้าสั่งไม่ได้ยินหรือ เจ้าไม่เคยขัดคำสั่งข้าสักหน เหตุใดยามนี้ถึงได้เงียบไปเล่า!" ชายหนุ่มเขย่าร่างบางจนหัวสั่นหัวคลอน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร คนในอ้อมแขนก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา
"มู่ฝาน! ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าข้ารักเจ้า!" เขาตะโกนร้องก้องออกมาด้วยความเสียใจ กอดร่างไร้วิญญาณของมู่ฝานไว้แนบอก
"ท่านอ๋องรีบออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์หนุ่มเอ่ยเตือน มองเหตุการณ์รอบกายอย่างระมัดระวัง ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับร่างบางที่นอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเจ้านาย แววตาคมสั่นไหว เขาเองก็เสียใจไม่แพ้กันที่ต้องสูญเสียสหายไปจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
"ไม่ ข้าจะอยู่กับมู่ฝาน" หวางจื่อชางกล่าวอย่างดื้อรั้น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเสียใจ หยดน้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาจากดวงตาครั้งแล้วครั้งเล่า
"ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ มู่ฝานเสียสละชีวิตของนางเพื่อปกป้องฝ่าบาท ทรงอย่าทำให้ความพยายามของนางสูญเปล่าเลยพ่ะย่ะค่ะ" ฉางชินเอ่ยปากเตือน หวางจื่อชางเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะค่อยๆหยัดกายขึ้นอุ้มร่างไร้วิญญาณของมู่ฝานไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะจากไปไม่ลืมที่จะหันมามองเปาอี้ส่วงที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่กับที่ด้วยความแค้นเคือง
หากไม่ใช่เพราะชายผู้นั้นทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นท่า มู่ฝานก็คงไม่ต้องตาย! ก้อนเนื้อในอกซ้ายของหวางจื่อชางเต็มไปด้วยความเคียดแค้นใจ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดหายขึ้นไปที่กิ่งไม้ใหญ่
คล้อยหลังจากที่หวางจื่อชางจากไปแล้ว เปาอี้ส่วงหันไปมองตามทิศทางที่เขาหายไป ภาพร่างบางของมู่ฝานที่อาบชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงฉานยังติดตาเขาไม่หาย มือหนากำแน่นเข้าหากัน กรามแกร่งขบเข้าหากันแน่นจนเห็นสันนูนเด่นชัด
เขาทำให้นางต้องตาย มู่ฝานต้องตายเพราะเขา! ดวงตาคู่คมค่อยๆปิดลงด้วยความเสียใจ
"แม่หนู ตื่นเถิด ข้ามีเรื่องจะบอก" เสียงของชายชราดังขึ้นที่ข้างหูของมู่ฝานทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ในตอนแรกค่อยๆเปิดขึ้น
หญิงสาวหันมองรอบกายอย่างงุนงง บรรยากาศเต็มไปด้วยหมอกขาวขึ้นปกคลุมดูวังเวงน่ากลัว เบื้องหน้าของนางมีชายชราท่าทางใจดีผู้หนึ่งยืนอยู่
"ท่านตาเป็นใครกัน" ถามเสียงห้วน มือบางควานหาดาบประจำตัวแต่ก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า
"เดี๋ยวๆ ใจเย็นก่อน ข้าเป็นท่านเทพมาเพื่อมอบโอกาสสำคัญให้กับเจ้า"
มู่ฝานได้ยินเช่นนั้นจึงมั่นใจได้ทันทีว่าตอนนี้นางได้สิ้นชีพไปแล้วจริงๆ และนางคาดว่าที่ตรงนี้ที่นางอยู่คงเป็นโลกของวิญญาณสินะ
"โอกาส? โอกาสอะไรกัน"
"โอกาสในการมีชีวิตอีกครั้งของเจ้าอย่างไรเล่า"
"ท่านเทพจะปลุกให้ข้าฟื้นคืนชีพหรือ" ถามด้วยความตื่นเต้น นางยินดีเป็นอย่างยิ่งหากได้โอกาสนั้นกลับคืนมา
"เปล่า ข้าทำให้เจ้าฟื้นคืนชีพไม่ได้หรอก ยามนี้ร่างของเจ้าถูกฝังลงในสุสานไปแล้ว หากเจ้าฟื้นคืนชีพขึ้นมา ผู้คนคงตกใจแตกกระเจิงไปทั้งเมือง"
มู่ฝานทำหน้ายู่ ส่งเสียงชิออกมาเบาๆ "แล้วท่านเทพจะทำอย่างไร"
ชายชราคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยกมือขึ้นปิดปากส่งเสียงกระแอมเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า
"ข้าต้องบอกก่อนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นรวมถึงชีวิตของพวกเจ้าทุกคนเป็นเพียงบทบาทในนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น"
"นิยายงั้นหรือเจ้าคะ" หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน ถามด้วยความไม่เข้าใจนัก
"ใช่ มู่ฝานเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ นักเขียนสร้างตัวตนของนางขึ้นมาเพื่อทำให้การตายของนางเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พระเอกกับตัวร้ายทะเลาะกันเท่านั้น"
"..." มู่ฝานกะพริบตาปริบๆ ชีวิตของนางมีค่าเป็นเพียงแค่ตัวประกอบไร้ค่าบทน้อยที่สิ้นชีพตั้งแต่เริ่มเรื่องคนหนึ่งเท่านั้นเองหรือ
"ข้ารู้สึกเห็นใจที่เจ้ายังไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเองจริงๆจังๆแต่กลับต้องมาตายจากไปเสียแล้ว ข้าจึงจะมอบโอกาสให้เจ้า แต่เจ้าต้องเข้าไปรับบทเป็นนางรองในนิยายเรื่องนี้"
"ข้าขอเป็นนางเอกไม่ได้หรือเจ้าคะ" หญิงสาวถามอย่างมีความหวัง ได้โอกาสให้มีชีวิตใหม่ทั้งทีขอเป็นนางเอกเลยไม่ได้หรือ ทว่าท่านเทพกลับส่ายศีรษะไปมาปฏิเสธ
"ไม่ได้หรอก มีเพียงแค่บทนางรองเท่านั้นที่ว่างในตอนนี้ เหตุเพราะนางรองตัวจริงเพิ่งจากไปหลังจากป่วยเป็นไข้ป่า"
มู่ฝานเบ้ปากเล็กน้อย นางอยากเป็นนางเอกไม่ใช่นางรองนี่ ถ้าได้เป็นนางเอกนิยายก็จะได้รับความรักทั้งพระเอกและพระรอง การที่ได้เป็นคนที่มีแต่คนมารุมรักเช่นนั้นดีจะตายไป
"เอ้า ว่าอย่างไรเล่า จะเป็นหรือไม่เป็น หากเจ้าไม่เป็นข้าจะไปหาวิญญาณดวงใหม่มารับบทนางรองแทนเจ้า" ท่านเทพพูดพร้อมทำท่าจะอันตธานหายไป มู่ฝานเห็นเช่นนั้นจึงรีบร้องห้ามเขาไว้ก่อน
"ตกลงเจ้าค่ะ ข้าเป็นนางรองก็ได้" หญิงสาวรับคำอย่างเสียมิได้ อย่างน้อยการเป็นนางรองก็คงไม่แย่เท่าเป็นนางร้ายกระมัง
"ดี! เช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องราวย่อๆให้เจ้าฟัง นิยายเรื่องนี้ในช่วงแรกนางรองจะต้องแต่งงานกับพระเอก แต่พระเอกไม่ได้รักนางรอง และจะมีเหตุให้พระเอกกับนางเอกได้ใกล้ชิดกัน โดยมีอุปสรรคคือตัวร้าย ตอนจบของเรื่อง นางรองเช่นเจ้าจะมีเหตุให้ต้องเลิกรากับพระเอก และพระเอกจะได้แต่งงานกับนางเอกแทน"
"ได้เจ้าค่ะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว" นางยักไหล่ขึ้นเบาๆ เผลอๆนางจะได้ช่วยให้พระเอกกับนางเอกได้รักกันเร็วๆเสียด้วยซ้ำ นางจะได้รีบหย่ากลายเป็นอิสระเสียที คนที่ไม่เคยคิดจะแต่งงานเช่นนาง หากให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับใครอื่นคงยากไม่น้อย
ท่านเทพได้ยินคำตอบของนางจึงผงกศีรษะรับด้วยความพึงพอใจ
"นางเอกของเรื่องคือคุณหนูสกุลหยวน ส่วนตัวร้ายก็คือหวางอ๋อง เจ้าจะดำเนินชีวิตไปตามเนื้อเรื่องในนิยายหรือจะใช้ชีวิตตามใจเจ้าก็ย่อมได้ แต่จงจำเอาไว้ว่าหากเจ้าไม่ดำเนินชีวิตไปตามที่ในนิยายกำหนด เนื้อเรื่องของนิยายก็จะเปลี่ยนไป เจ้าจะเลือกอย่างไรก็ตามใจเจ้าเถิด" พูดจบร่างของชายชราก็ค่อยๆอันตธานหายไป ปล่อยให้มู่ฝานยืนงงอยู่ในดงหมอก
"เดี๋ยวสิ! ท่านเทพกลับมาก่อนเจ้าค่ะ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าใครคือพระเอกที่ข้าต้องแต่งงานด้วย" หญิงสาวตะโกนขึ้นมาเสียงดัง เมื่อนึกได้ว่าท่านเทพลืมบอกสิ่งสำคัญไปหนึ่งเรื่อง
"เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เอง!" ท่านเทพไม่ได้ปรากฏกายมีเพียงแค่ส่งเสียงมาเท่านั้น พลันไม่นานร่างบางก็เปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นก่อนที่ตัวนางจะหายเข้าไปในแสงนั้น
หลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมากเจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้างแม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ฮูห
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ"ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปากทว่ากินไปได้ไม่ก
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
"ฝานฝานไม่ต้องกินเต้าหู้ก็ได้ เปลี่ยนมากินข้าแทนเถิด" เขาจัดการพลิกคนร่างบางให้นอนหงาย ก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ปากจิ้มลิ้มอีกหน ทว่าสวีอี้ฝานกลับอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ นางก็ใช้มือดันใบหน้าของเขาออกห่าง จากนั้นจึงตวัดกายลุกขึ้นนั่งคร่อมหยิบหมอนใบใหญ่มากระหน่ำฟาดไปยังคนใต้ร่าง"ข้ากำลังโกรธท่านอยู่มิใช่หรือ ไยถึงได้ยังกล้าทำตัวลามกอีกเล่า""โอ๊ยๆ ฝานฝานให้อภัยข้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจแต่ข้าสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ" มือหนายกมือขึ้นปัดป้อง สวีอี้ฝานจัดการเขาด้วยหมอนใบใหญ่จนเหนื่อยหอบ นางจึงหยุดพักนั่งหอบหายใจสะท้านโดยที่ยังนั่งคร่อมคนตัวโตอยู่"อึ่ก!" สวีอี้ฝานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันออกมาผ่านเนื้อผ้าและตอนนี้มันกำลังทิ่มแทงไปที่กลางกายของนาง"ฝานฝาน ข้า..." เปาอี้ส่วงขานเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงเบา ดวงตาจับจ้องไปยังแก่นกลางกายที่นางกำลังนั่งทับอยู่สวีอี้ฝานก้มลงมองตามสายตาของเขาจึงได้เห็นแท่งหยกอันใหญ่ตั้งแข็งชี้โด่ขึ้น"ว้าย!" หญิงสาวอุทานร้องลั่นรีบปีนลงจากตัวเขาวิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมเปาอี้ส่วงหยัดกายลุกขึ้นตาม เขาเดินตามเข้ามาใกล้
ข่าวเรื่องจอมโจรชุดดำแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง สีหน้าของบรรดาเหล่าชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาต่างพากันเปล่งวาจาชื่นชมแม่ทัพเปาอี้ส่วงอย่างไม่ขาดปาก จอมโจรชุดดำเปรียบเสมือนหนามยอกตำใจของชาวเมืองแคว้นฮั่นมาหลายปี พวกเขาต้องคอยอยู่อย่างหวาดผวาเพราะกลัวจอมโจรชุดดำออกอาละวาด ทว่ายามนี้ไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อหัวหน้าจอมโจรชุดดำถูกจับตัวได้แล้ว อีกทั้งแหล่งกบดานของพวกมันยังถูกแม่ทัพเปาอี้ส่วงทำลายจนไม่เหลือซากฉีกังหรืออดีตท่านอาจารย์ฉีคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหล่าจอมโจรชุดดำนี้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเขาเป็นใครต่างพากันตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าคนที่สุภาพเปี่ยมไปด้วยความรู้และคุณธรรมอย่างท่านอาจารย์ฉีจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริงไปเสียได้ ทว่าคนผิดก็ต้องได้รับโทษ หลักฐานที่มีมัดตัวฉีกังจนดิ้นไม่หลุด ยามนี้เขาถูกคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอการตัดสินโทษต่อไปหวางฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากมายให้เปาอี้ส่วง ทว่าเขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้ไว้เพียงผู้เดียว เพราะสวีชางหมิงก็มีส่วนช่วยให้เขาปราบจอมโจรชุดดำได้สำเร็จเช่นกันวันนี้ที่จวนสกุลสวีจึงมีรถม้าคันใหญ่หลายคันทยอยเข้าออก เบื้องหน้า
เช้ามืดเปาอี้ส่วงได้เคลื่อนกำลังพลไปยังป่ามืดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงแหล่งกบดานของพวกจอมโจรชุดดำ เปาอี้ส่วงสั่งให้กองกำลังซุ่มอยู่บริเวณแนวเขารอบๆ ก่อนจะจัดการยิงธนูไฟไปที่กระโจมของพวกมันจนไฟติดพรึ่บฟ้ายังไม่ทันสางดีก็บังเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่โหมกระหน่ำไปทั่วกระโจมของพวกมัน เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น บรรดาจอมโจรชุดดำต่างวิ่งวุ่นพากันช่วยดับไฟ เปาอี้ส่วงอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนส่งสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนลงไปโจมตีพวกมันในขณะที่กองทัพของแม่ทัพเปาอี้ส่วงกำลังเป็นต่อกลับมีกองกำลังของคนอีกกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาห้อมล้อมคนของเปาอี้ส่วงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เปาอี้ส่วงจำได้ว่าหัวหน้ากองกำลังผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ผู้ติดตามของท่านอาจารย์ฉีกัง"คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ แท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ฉีก็เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรชุดดำจริงๆ""รู้แล้วท่านแม่ทัพจะทำอย่างไรได้ ป่านนี้ท่านอาจารย์ฉีคงพาพวกบรรดาเหล่าคุณชายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว" ซุนเชากล่าวอย่างยิ้มเยาะในทุกๆปีท่านอาจารย์ฉีกังจะทำการคัดเลือกบรรดาคุณชายสกุลต่างๆไปที่วัดบนภูเขาอันเป็นแหล่งกบดานชั้นดีอีกที่หนึ่ง โดยนำวิชา