เสียงของหญิงสาวลอยเคว้งอยู่ในอากาศ นางสะบัดความคิดนั้นออกไปแล้วก้มลงมองปลาสีเงินสีทองที่กำลังขยับตัวไปมาในถังน้ำอย่างสงบนิ่ง ปลาสองตัวนี้ถูกเตรียมไว้เพื่อใช้ในพิธีบวงสรวงเทพวารี เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองของหมู่บ้าน
เมื่อพิธีสิ้นสุด ปลาสองสีนี้จะถูกปล่อยลงแม่น้ำ เป็นการส่งสาส์นไปยังเทพวารีให้ช่วยคุ้มครองน้ำและความอุดมสมบูรณ์ในฤดูกาลข้างหน้า
แต่ในใจของอวี้เสวี่ยหนิง นางหาได้เชื่อในอำนาจของเทพวารีที่ชาวบ้านกราบไหว้ไม่ ชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดในฐานะบุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองทำให้นางรู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งได้เห็นพิธีกรรมที่ซ้ำซากก็ยิ่งรู้สึกว่าตนถูกกักขังอยู่ในขนบประเพณี
“กะอีแค่ปล่อยปลาลงน้ำ จะช่วยอะไรได้งั้นหรือ?” ความคิดเชิงเย้ยหยันแทรกเข้ามาในใจ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าใกล้ถังน้ำแล้วหยิบจับปลาสีเงินขึ้นมาพินิจพิจารณา ดวงตาสีอำพันเป็นประกายแฝงความซุกซนขณะมองดูปลาสีเงินที่ขยับไปมาบนฝ่ามือของนาง
ขณะนั้นเอง เสียงที่นุ่มนวลของ “หลินจื่อเฟย” สหายสนิทที่คอยตามนางอยู่เสมอก็ดังขึ้น
“อาหนิง เจ้าควรทำตามหลักพิธีบ้างอย่าดื้อให้มันมากนัก พิธีนี้สำคัญต่อชาวบ้านมากนะ” หลินจื่อเฟยเอ่ยเตือนเบาๆ พร้อมกับมองสหายของนางด้วยความหวัง หวังว่าร่างบางตรงหน้าจะเข้าใจบ้าง
อวี้เสวี่ยหนิงเบนสายตาหันไปมองหลินจื่อเฟยพร้อมยิ้มเยาะ
"เพียงแค่ปล่อยปลาสองตัวลงน้ำ แล้วคาดหวังให้เทพวารีช่วยเหลือหรือ? ถ้าเทพวารีมีจริงก็คงช่วยมาแต่ต้นแล้ว เจ้าเชื่อเรื่องพวกนี้จริงๆ หรือ อาเฟย?”
“อาหนิง” หลินจื่อเฟยเอ่ยเสียงเบาแฝงด้วยความเป็นห่วง "พิธีนี้ทำให้ชาวบ้านมีกำลังใจ อย่างน้อยเจ้าควรให้ความเคารพ...”
แต่ก่อนที่หลินจื่อเฟยจะได้พูดจบ อวี้เสวี่ยหนิงก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่สนใจหรอก พิธีนี้น่ะ...ใครๆ ก็รู้ว่าทำกันไปอย่างนั้นเอง” นางยิ้มเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินจากไป แม้ว่าหลินจื่อเฟยจะพยายามขอร้องให้นางระวัง แต่อวี้เสวี่ยหนิงก็ยังคงมุ่งหน้าไปยังฝายกันน้ำที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
อวี้เสวี่ยหนิงมองฝายขนาดเล็กที่กักเก็บน้ำไว้เพื่อใช้ในช่วงหน้าแล้ง ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความคิดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาในหัว
ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับแฝงด้วยแววท้าทาย ขณะที่นางหันไปมองรอบบริเวณของลานพิธี
“หากเทพเจ้ามีจริง...” เสียงในใจของนางดังขึ้นอย่างขุ่นเคือง "วันนั้นท่านควรจะช่วยแม่ข้าสิ”
ภาพความทรงจำในวัยเด็กแทรกเข้ามาในหัว ภาพของเด็กน้อยผู้สิ้นหวังคุกเข่าต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้า วิงวอนขอให้มารดาของนางรอดชีวิตจากความเจ็บป่วยอย่างรุนแรง แต่สุดท้ายการอ้อนวอนก็ไร้ผล มารดาของนางจากไปในที่สุด
ตั้งแต่นั้นมาอวี้เสวี่ยหนิงก็ตั้งปณิธานในใจว่าเทพเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่มีพลังใดที่คุ้มครองนางหรือใครได้จริง
นางเม้มริมฝีปากแน่น มองไปยังฝายที่กักเก็บน้ำไว้พลางพึมพำ “ข้าจะทำให้พิธีบวงสรวงนี้ต้องพังพินาศ ให้เห็นกันไปเลยว่าเทพเจ้าก็ไม่อาจช่วยสิ่งใดได้”
ก่อนที่หลินจื่อเฟยจะทันได้ทัดทานหรือชาวบ้านคนอื่นจะทันได้สังเกต อวี้เสวี่ยหนิงก็เอื้อมมือไปดึงแผ่นไม้ยักษ์ที่กั้นน้ำออก ฝายขนาดเล็กที่กักเก็บน้ำไว้เกิดการกระเพื่อมทันที
กระแสน้ำในฝายสะสมอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะทะลักออกมาราวกับสายน้ำขุ่นข้นที่ไม่มีสิ้นสุด และไหลลงไปยังลานพิธีที่อยู่เบื้องล่างดุจสัตว์อสูรร้ายที่หลุดออกจากกรงขัง
สายน้ำไหลเชี่ยวกราก พัดพาดอกบัวที่ลอยอยู่ในขันน้ำออกจากถาดบูชาอย่างไร้ปรานี พวงมาลัยหญ้าคาถูกพัดไปตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว เสียงสุราหกกระเซ็น กระจายเต็มลานเหมือนหยาดน้ำฝนสีเข้ม ราวกับสายน้ำเยาะเย้ยความตั้งใจของชาวบ้านที่ดาหน้ากันมาขอพร
เหล่าชาวบ้านมองความวุ่นวายตรงหน้า ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าผิดหวังและความตื่นตระหนกสะท้อนผ่านกันและกัน เสียงร้องอุทานของผู้คนดังแว่วขึ้นเป็นระลอก
"เกิดอะไรขึ้น!"
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องดังออกมาพร้อมกับน้ำเสียงสั่นเครือ ทุกคนรีบวิ่งเข้าหาลานพิธี ราวกับต้องการยื้อสิ่งที่พัดไหลไปกลับคืนมา ทว่าแรงน้ำเชี่ยวกรากที่พัดกระจายดอกไม้ไปทั่วลานดูเหมือนจะหยุดยั้งพวกเขาเสียก่อน
ชาวบ้านยืนนิ่งมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เสียงซุบซิบเริ่มกระซิบผ่านกันไปเป็นทอด ๆ ทุกสายตาหันมองไปยังบุตรสาวของเจ้าเมืองที่ยืนอยู่ริมฝาย
"อีกแล้วเหรอ... นางทำพิธีพังอีกแล้ว?" เสียงหนึ่งกล่าวพร้อมถอนหายใจ
ส่วนอีกเสียงหนึ่งส่ายหน้าราวกับเหนื่อยหน่าย "นางนี่ดื้อด้านเสียจริง ทั้งที่เกิดมาหน้าตางดงามมากแท้ ๆ แต่กลับไม่มีความเคารพนอบน้อม น้องสาวของนางถึงไม่งามเท่านางแต่ก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลอย่างนี้ ข้าล่ะสงสารท่านเจ้าเมืองเจียหรงจริงเชียวที่มีบุตรสาวคนโตแบบนี้"
“สวยแต่รูปจูบไม่หอมของแท้” เสียงหนึ่งดังแว่วมากลางกลุ่มคน
อวี้เสวี่ยยังคงหนิงยืนนิ่งมองผลงานของตัวเองด้วยความสับสนในใจ เมื่อสายตาหลายคู่รอบลานพิธีจับจ้องมาที่นางด้วยแววตำหนิและผิดหวัง
แม้หญิงสาวจะยืดตัวตรงแสดงออกว่าไม่ใส่ใจกับสายตาเหล่านั้น แต่ลึกลงในใจกลับรู้สึกถึงความเย็นชาที่คนรอบข้างมีต่อตนเอง ราวกับนางกลายเป็นคนแปลกหน้าท่ามกลางชาวบ้านที่เติบโตมาด้วยกัน ความรู้สึกนั้นกัดกินหัวใจของนางช้า ๆ
"มันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง… นับตั้งแต่วันที่ท่านแม่จากไป"
อวี้เสวี่ยหนิงเริ่มฝึกฝนการบำเพ็ญเพียรทุกวันโดยมีหลงอวี่คอยแนะนำและช่วยเหลือ บางครั้งเมื่อเสวี่ยหนิงเหนื่อยอ่อนจากการฝึก หลงอวี่ก็จะยื่นน้ำชาถ้วยเล็กให้กับนาง“พักสักหน่อยเถอะหนิงเอ๋อร์ ฝึกหนักไปเจ้าจะเหนื่อยล้า” เสวี่ยหนิงรับจอกน้ำชามาจิบเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน“ข้ารู้… ขอบใจที่อยู่ข้างข้าเสมอ อวี่เอ๋อร์”นอกจากการทำสมาธิเพื่อฝึกวิชาเซียนแล้ว พวกเขายังทำการบำเพ็ญเพียรคู่โดยการซวงซิวกันเพื่อผสมผสานของพลังหยินและหยาง ช่วยให้เกิดความกลมกลืนและเสริมพลังของกันและกัน“หนิงเอ๋อร์ เจ้างามมาก” ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมายังลาดไหล่ขาวเนียนที่กำลังนั่งสางผมอยู่หน้ากระจก เขาไม่สามารถละสายตาออกไปจากร่างบางได้เลยส่วนอวี้เสวี่ยหนิงที่ได้ยินดังนั้น ลอบมองสามีของนางผ่านกระจก สายตาของทั้งสองสบกัน ก่อนที่จะรู้ตัวร่างบางของนางก็ถูกอุ้มขึ้นมาและพาไปยังเตียงนอนและวางนางลงอย่างแผ่วเบาใบหน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีนางก็ยังไม่ชินกับใบหน้าที่งดงามของคนตรงหน้าเสียที“อวี่เอ๋อร์”“ขอบคุณที่เจ้ากลับมา ไม่ว่าจะสืออิ่งหรือเสวี่ยหนิงแต่เจ้าก็คือเจ้า ขอบคุณที่เจ้ารักและมอบ
"หนิงเอ๋อร์" หลงอวี่กระซิบเสียงนุ่มเบาข้างหูของหญิงสาว “ข้าเข้าใจ... หากเจ้าต้องการเลือกเส้นทางของตนเอง เจ้าเป็นคนเดียวที่รู้หัวใจตัวเองดีที่สุด”“อวี่เอ๋อร์...”“หนิงเอ๋อร์ ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ”อวี้เสวี่ยหนิงหันมองหลงอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน "ข้าเคยคิดว่าชีวิตที่ได้อยู่กับท่านพ่อก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อได้พบท่าน ข้ากลับรู้สึกว่ามีอีกเส้นทางที่เรียกร้องให้ข้าเดินไป"หลงอวี่กระชับมือของนาง "เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้ามีโอกาสเป็นเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ จะได้สัมผัส หากเจ้าเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ ข้าสัญญาว่าข้าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ มิใช่ว่าเจ้าจะกลับมาหาท่านพ่อของเจ้าไม่ได้อีกเสียหน่อย"นางพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้ารู้... แต่ท่านพ่ออาจจะเสียใจที่ข้าต้องจากท่านไปไกล ข้ายังมีหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ตอบแทน และข้าไม่รู้ว่าจะบอกท่านอย่างไรดี"ในขณะนั้นเอง อวี้เจียหรงก็ปรากฏกายออกมาจากเงามืด เมื่อเขาได้ยินถึงความตั้งใจของบุตรสาว ดวงตาที่เคยเข้มแข็งก็สั่นไหวเล็กน้อย"หนิงเอ๋อร์... หากการเลือกเส้นทางนี้คือความสุขของเจ้าพ่อก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ เจ้าต
ในช่วงวินาทีที่ม่อหลี่พุ่งเข้าหาอวี้เสวี่ยหนิงด้วยความโกรธที่ถูกหญิงสาวหลอกล่อจนมังกรที่ตนอุตส่าห์ปลุกขึ้นมาถูกผนึกลงอีกครั้งหลินจื่อเฟยที่เป็นเพียงคนธรรมดาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด นางกระโจนเข้าสู่ลานพิธีอีกครั้ง พลางผลักอวี้เสวี่ยหนิงให้พ้นรัศมีการโจมตีของม่อหลี่“ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายสหายของข้าหรอกนะ นางมารร้าย!” หลินจื่อเฟยพุ่งเข้าไปขวางม่อหลี่ทันที ในใจไร้ซึ่งความกลัวใดๆสายตาของหลินจื่อเฟยประสานกับไห่เฟิงที่อยู่ใกล้ที่สุด ราวกับส่งสัญญาณให้เขาช่วยหลอกล่อม่อหลี่อีกแรงไห่เฟิงสบตานางเพียงเสี้ยววินาที ความเงียบกลับหนักแน่นอย่างน่าประหลาด ก่อนที่เขาจะรู้ตัวรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ดวงตาที่เคยคมดุดันอ่อนลงอย่างไม่คาดคิด ขณะที่เขามองหลินจื่อเฟย ราวกับว่าเขาจะเผลอลืมทุกสิ่งรอบตัวไปเสียแล้ว“ตั้งสติหน่อยสิ ท่านนักพรต!”“ข้าขอโทษ...แม่นางน้อย ข้าจะทำเดี๋ยวนี้แหละ”ไห่เฟิงส่งคลื่นวารีโจมตีใส่ม่อหลี่ นางจึงเสียสมดุล ท่ามกลางแรงกดดันจากการโจมตีประสานของไห่เฟิงและหลงอวี่ไห่เฟิงเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว เขาร่ายกระแสพลังน้ำด้วยฝ่ามือข้างหนึ่งส่งกระแสวารีโถมเข้าใส่ม่อหลี่ นา
หลงอวี่ไม่รั้งรอให้ม่อหลี่ทำการปลุกมังกรฉินเฟิงจนเสร็จสิ้น เขาและไห่เฟิงพุ่งเข้าจู่โจมพร้อมกัน รัศมีพลังของพวกเขาประสานกันจนเปล่งแสงราวสายฟ้าฟาดไห่เฟิงเริ่มโจมตีด้วยกระบวนท่าที่รวดเร็วและใช้พลังลมกรรโชกที่รุนแรง ทำให้ม่านพลังรอบตัวม่อหลี่สั่นสะท้าน รอยร้าวค่อยๆ ปรากฏขึ้นตามแนวพลังที่ม่อหลี่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวขณะที่หลงอวี่ควบคุมกระแสน้ำพุ่งเป็นเกลียวรอบลานพิธีเพื่อล้อมม่อหลี่ไว้ไม่ให้หลบหนีม่อหลี่หันมาแสยะยิ้มใส่ ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ม่อหลี่ได้ซ่อนแผนการอันร้ายกาจไว้ระหว่างที่หลงอวี่และไห่เฟิงมุ่งโจมตีและพยายามป้องกันไม่ให้นางหลบหนี ม่อหลี่ก็แอบร่ายมนตร์ต้องห้ามบทหนึ่งที่นางได้ศึกษาจากคัมภีร์โบราณ นางร่ายมนตร์นี้อย่างเงียบเชียบโดยใช้เลือดของนางเอง สร้างพันธะระหว่างตัวนางและมังกรโบราณ“พวกเจ้า…คิดว่าข้านั้นมีแค่ตัวคนเดียวหรือ?”เลือดของม่อหลี่หยดลงบนพื้นและซึมลงในดิน บิดเบี้ยวเป็นลวดลายประหลาดที่เชื่อมโยงเข้ากับผนึกโบราณที่กำลังแตกออกทันใดนั้นเสียงกัมปนาทดังก้องทั่วลานพิธี ผนึกโบราณที่บิดเบี้ยวกลับแตกออก กลิ่นอายมืดดำเย็นเยียบแผ่ซ่านออกจากรอยร้าวที่ขยายตัว ก้อนห
อวี้เถียนเถียนมองดูอวี้เสวี่ยหนิงและหลงอวี่ที่เคียงข้างกัน ประคับประคองและบอกรักกันอย่างจริงใจ ภาพนั้นยิ่งทำให้นางปวดใจมากความอิจฉาและความเกลียดชังที่เคยฝังลึกพลันสลายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกผิดและสำนึกในสิ่งที่ได้ทำลงไป"นี่ข้าทำอะไรลงไป…ข้าไม่อยากเป็นคนเลวเลยสักนิด"อวี้เถียนเถียนพึมพำด้วยเสียงสั่น ก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าและวิ่งไปผลักม่อหลี่ที่กำลังใช้สมาธิเปิดประตูนรกม่อหลี่เซไปเล็กน้อยเมื่อถูกผลัก จนประตูที่นางกำลังเปิดกลับหยุดชะงักก่อนที่จะปิดลงอีกครั้ง ความโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของม่อหลี่"เจ้าบังอาจขัดขวางข้าอย่างนั้นหรือ? ทำแบบนี้แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ?" ม่อหลี่เอ่ยเสียงกร้าว มือข้างหนึ่งยกขึ้นหมายจะทำร้ายอวี้เถียนเถียนอวี้เสวี่ยหนิงเห็นเหตุการณ์นั้นจึงรีบเข้าไปยืนขวางหน้าอวี้เถียนเถียน" เจ้าเกลียดน้องสาวของเจ้ามาตลอดไม่ใช่หรือ แล้วจะปกป้องมันทำไม?"อวี้เสวี่ยหนิงหันมองอวี้เถียนเถียนด้วยแววตาอ่อนโยนที่นางเองไม่เคยคาดคิดจะมี"เพราะข้ารู้แล้วว่าการปล่อยวางความแค้นคือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสงบ ข้าไม่ต้องการเห็นการสูญเสียอีกแล้ว แม้ว่าข้าจะเคยโกรธและเกลียดพวกเขามาก แต่
“เถียนเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งใดลงไปเจ้ารู้ตัวหรือไม่” อวี้เจียหรงเอ่ยด้วยความเสียใจ แม้จะรู้ดีว่าเขาเองเป็นต้นเหตุของความบาดหมางนี้ เพราะเป็นเขาที่รักบุตรทั้งสองไม่เท่ากัน ทำให้พวกนางต้องผิดใจกันมาตลอดอวี้เถียนเถียนหลับตาลง ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตาเอ่อไหลออกมาราวกับปิดกั้นความรู้สึกไม่ไหวอีกต่อไป“ท่านพ่อ แล้วท่านเคยรักข้าบ้างหรือไม่? ท่านเอาแต่ตามใจพี่สาวจนข้านั้นเหมือนคนไร้ตัวตน ข้าโตมาใต้เงาของนาง ท่านรักบุตรทั้งสองไม่เท่ากัน ท่านทำให้ข้ารู้สึกเหมือนไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเลย”นางกลืนสะอื้นลงคอแล้วกล่าวต่อ “แม้แต่มารดาของข้าเอง นางไม่ได้สนใจความรู้สึกของข้าด้วยซ้ำ วันๆ เอาแต่พร่ำเรื่องสมบัติ เรื่องวิธีการที่จะครอบครองทรัพย์สินของท่าน นางไม่เคยให้ข้ารู้สึกว่าข้ามีคุณค่าเพียงพอสำหรับนาง”“เถียนเอ๋อร์ แม่ขอโทษ” ฮูหยินอวี้ตกใจเป้นอย่างมากกับคำพูดของบุตรสาว ที่ผ่านมานางถูกความโลภเข้าครอบงำจนเผอทำร้ายจิตใจของบุตรสาวโดยที่ไม่รู้ตัว“ข้าเพียงแค่อยากให้ใครสักคนรักข้า สักครั้งหนึ่ง...แต่แม้แต่ท่านนักพรตหลงอวี่ก็ไม่เคยแลข้าเลย ข้าทำทุกอย่างเพื่อให้เขามองมาที่ข้า ให้เขาสนใจในตัวข้า แม้จะเป็นเ