วันแรกก่อนถึงคาบหนึ่งของต้อมต้องนั่งอยู่เพียงคนเดียว มองไปทางไหนไม่รู้จักใครสักคนด้วยเป็นคนอีกจังหวัด ต้อมเห็นเพื่อนใหม่นั่งเป็นกลุ่มๆ อยู่หลายคน บ้างนั่งสองคนเป็นที่ๆ ไป คนเดียวอยู่เดี่ยวๆ มีพอสมควร รวมทั้งตัวต้อมเองด้วยนั่งเหงาๆ เพียงลำพัง
“นั่งด้วยนะ”
“อือ”
“เราชื่ออาคมนายล่ะ”
“เราชื่อต้อม”
“นายมาจากไหน”
“พิจิตร”
“จังหวะดเดียวกันนิ”
ต้อมยิ้มได้ในทันทีด้วยเจอคนบ้านเดียวกัน ในมหาวิทยาลัยฟ้าครามที่อยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ไม่ไกลจากพิจิตรมากนัก มีอยู่หลายคนเหมือนกันในหอพักชายที่มาจากจังหวัดเดียวกัน
“เขานั่งเป็นกลุ่มๆ กันน่าอิจฉา” อาคมพูดคุยพร้อมมองไปยังเพื่อนร่วมคณะ
“อีกสักพักคงสนิทกันใหม่ๆ ก็แบบนี้แหละ”
“อือ จริงอย่างนายเนาะ”
สายตาของต้อมมองเพื่อนๆ ทุกคน สะดุดตามีอยู่สี่คน นั่งไม่ไกลเขามากนักซึ่งมองอย่างไงก็เป็นแบบเขาออกชัดเจนยิ่งกว่า ไม่ว่าจะท่าทางรูปร่างและการแต่งหน้าจัด ส่วนอีกสองเป็นหญิงสาวหน้าตาถือว่าทั่วๆ ไป สามคนที่ว่าไม่มีอะไรน่าสนใจมากกว่านี้สำหรับต้อม มีเพียงคนเดียวในกลุ่มใหญ่ห้าหกคนมีความหล่อคมคาย ทะลึ่งตึงตังขึ้เล่นเห็นได้อย่างเด่นชัด
“มองอะไร” อาคมมองตามสายตาของต้อม
“ไม่มีอะไรหรอกมองไปเรื่อยๆ”
“หรือว่านายอยากอยู่ในกลุ่มนั้น”
“เปล่า”
แม้แต่จะถูกทักจากอาคม ต้อมไม่สามารถห้ามใจไม่มองได้ ด้วยแต่ก่อนไม่เคยออกไปไหนห่างไกลจากบ้าน เมื่อมาสู่ภายนอกจึงเกิดความกล้าบ้างขี้นเล็กน้อย แต่ยังสงวานท่าทีไม่ให้ใครรับรู้มากนัก
“ไอ้คงเดช มานี่ๆ มาหากูหน่อย” ชายหนุ่มอีกคนมาใหม่เดินตรงไปยังกลุ่มใหญ่ ตะโกนเรียกคนชื่อคงเดชซึ่งต้อมยังอยากรู้ว่าใครกัน
เสียงคำว่าคงเดชยังไม่ทันจางหายสลายไป หนุ่มหล่อแบดนิดๆ ที่ต้อมแอบเหล่ดู หันมามองยังชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้าไปยังกลุ่มนั้น
“มีอะไรว่ะ อยู่แค่นี้มึงเรียกซะดังเลย” หนุ่มคงเดชที่ต้อมเฝ้ามองยืนจังก้าอย่างท้าทาย
ต้อมยังอยากรู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน ถ้าให้ต้อมคาดเดาน่าจะหมายถึงสองหญิงหนึ่งชายที่เป็นแบบเขา ด้วยสายตาสองหนุ่มจ้องมองเป็นระยะ
“ต้อม ต้อม เย็นนี้ไปดื่มเหล้าไหมเราเลี้ยงเอง”
“เราไม่เคยดื่มเหล้า”
“ไม่จ๊าบเลยนายน่ะ” เสียงของอาคมยียวนกวนพอสมควร
“เราลืมถามนายพักที่ไหนเหรอ”
“อยู่บ้านญาตินายล่ะ”
“อยู่หอใน” ต้อมตอบ
“ถึงว่าสิไม่ดื่มเหล้า ไม่ต้องกลัวปีสองเดี๋ยวเราพาดื่มเอง ปีนี้อยู่หอในไปก่อน ต้องทำตัวเป็นเด็กดี” อาคมหัวเราะนิดหน่อย
ต้อมยิ้มนิดๆ พอเป็นพิธี ในระหว่างนั้นสองหนุ่มได้เดินมายังโต๊ะของต้อม เพื่อมาเหล่สาวร่วมห้อง
“นั่งด้วยคนนะ”
“ได้เลย” อาคมเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มที่ร้องเรียกคงเดชนั่งใกล้ๆ อาคม ส่วนคงเดชนั้นนั่งตัวแท่บติดต้อม จนร่างเล็กๆ ขยับออกห่างหน่อยๆ
“เฮ้ย จะขยับไปไหนเดี๋ยวตกม้านั่งหรอก” คงเดชหันมามอง
สายตาทั้งสองปะทะกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ต้อมหวั่นไหวใจสั่นระรัวเพราะดวงตากลมโตเป็นประกายของคงเดชนั้นช่างมีเสน่หเกินต้าน
“เป็นกะเทยเหรอ” ชายหนุ่มนั่งใกล้อาคมพูดขึ้น
“เปล่า” ต้อมพูดขึ้นเสียงอ่อยๆ ออกกลัวนิดๆ
“เปล่าอะไร” น้ำเสียงไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร
“ไอ้โบ้มึงก็พูดตรงไป” คงเดชกอดคอต้อมอย่างรวดเร็ว
เพียงวงแขนของคงเดชสัมผัสต้นคอบ่าไหล่ ใจต้อมหล่นหายไปในทันใด ดวงตาคู่กลมโตมองไม่วางก่อนจะเปลื่ยนไปทางอื่น
“ไอ้เดช กูให้มึงมาดูสาวมึงมาทำอะไร” โบ้รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ไม่เกี่ยวกับต้อมแม้แต่น้อย
“ไม่ผ่าน” คงเดชส่ายหัว
“ไอ้ที่มึงกอดคอนี่ผ่านเหรอ”
“ไม่ผ่านเหมือนกัน” คงเดชส่ายหัวแต่อมยิ้มนิดๆ ก่อนยกแขนออกจากคอบ่าไหล่ของต้อม
“เฮ้ย มึงชื่อไรว่ะ” โบ้ถามทันทีเมื่อคงเดชพูดจบ
“มันชื่อต้อม” อาคมเป็นฝ่ายตอบแทน
“ต้อม ต้อม นายล่ะ” โบ้หันหน้ามาทางอาคมเพื่ออยากรู้คำตอบ
“อาคม”
“อาคม ท่าจะเล่นของ เราโบ้แต่ไม่โบ๋นะ ส่วนไอ้ลามกนั่น ชื่อคงเดช พ่อมันเรียกไอ้เดช” โบ้หัวเราะร่วนด้วยสะใจ
“ไอ้โบ้มึงนี่กวนตีนอีกแล้ว” คงเดชพูดไปอย่างนั้นแหละ ด้วยความสนิทตั้งแต่มัธยมจึงไม่ถือสากัน
“ต้อมมีแฟนหรือยัง” โบ้ถามต่ออีกหน่อย
“ไม่มี”
“ไม่มีถ้างั้นสักวันจะพาไปขึ้นครูให้หายเป็นเลย”
“อย่าว่าแต่มีแฟนเลย เหล้าก็ไม่ดื่มเด็กดี อยู่หอในด้วยนะ” อาคมเสริมต่ออีกนิด
“แรกๆ ก็เด็กดีนิแหละ นานๆ ไปเดี๋ยวก็เหมือนกับพวกเรา” โบ้อมยิ้มจ้องมองต้อมแล้วหัวเราะออกมา
ต้อมรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ถึงแม้จะอยู่ใกล้คงเดชที่นั่งตัวติดกันในเวลานี้ ด้วยนิสัยและความชอบไปด้วยกันยากกับเพื่อนใหม่ แต่มีใจให้ไปบ้าง เขาจึงต้องอดทนอยู่เพื่อได้ใกล้ชิด ในช่วงเวลาสั้นๆ เพราะได้เวลาเข้าไปในห้องเรียน
คาบแรกที่ได้เรียนเป็นวิชาในคณะ ช่วงเวลายังไม่ได้สอนอาจารย์ประจำวิชาให้แนะนำตัว ต่างคนจึงได้ทำความรู้จักกัน ในคาบนี้เป็นวิชาเชิงปฏิบัติจึงได้นั่งล้อมวง ต้อมนั่งอยู่ท่ามกลางชายหนุ่มหลายคน ความรู้สึกของเขาตอนนี้มีความประหม่าและหวั่นๆ อยู่บ้าง ด้วยกิตติศัพท์การแกล้งกันของคณะที่ต้อมเรียน
ครูประจำวิชาได้สอนบ้างนิดหน่อยแล้วสั่งงานให้ทำภายในห้อง ต้อมจึงนั่งทำงานใกล้ๆ อาคมที่เริ่มสนิทคุ้นเคยกันบ้าง ระหว่างนั่งเขียนงานอยู่นั้น ต้อมมีความรู้สึกแปลกๆ อยู่ใต้โต๊ะ ศีรษะทุยของต้อมก้มลงไปมอง สายตามองเห็นแต่ยังไม่ทันพูดอะไร มีคนใต้โต๊ะจับเข้าตรงเป้ากางเกงของต้อม
“อุ๊ย” ต้อมอุทานออกมาแล้วรีบจับมือนั้นให้ออกจากเป้ากางเกงของตัวเอง
“ว้า นิดเดียว” โบ้ได้ปล่อยมือออกและคลานไปยังนอกโต๊ะ
เสียงหัวเราะดังลั่นห้อง โดยเฉพาะคงเดชหัวเราะหนักมาก พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ๆ จนแขนได้ชนกัน
“หัดใช้งานบ้างนะ” โบ้ย้ำอีกครั้ง
ใบหน้าของอันขาวใสเริ่มแดงก่ำด้วยความอาย สายตาหรี่ลงไม่อยากมองเพื่อนร่วมห้อง ต้อมจึงเดินไปยังอีกโต๊ะหนึ่ง ที่มีสองหญิงหนึ่งชายไม่แท้
“นั่งนี่ก็ได้” สาวหนึ่งในสองพูดขึ้น ซึ่งมีผิวที่คล้ำผมหยักศก
“อือ” ต้อมยิ้มพยักหน้าให้ด้วยความยินดี
“เราชื่อ ปื่น ส่วนอีกคนชื่อ จิตดี และหนุ่มสวยของเรา แหวน” สาวปิ่นแนะนำเพื่อนให้ครบทุกคน
ต้อมไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะต้องทำงานตามสั่งของอาจารย์ แต่ยังไม่วายโดนแกล้งอีกตามเคย เพื่อนใหม่คนเก่าเดินเข้ามาด้านหลัง ก้มลงเอียงคอหอมแก้มอันนวลใส ครั้งนี้ที่โดนหอมแก้มไม่ใช่ครั้งแรก ตอนเรียนมัธยมโดนอยู่หลายครั้งแต่เป็นคนเดิมๆ
โบ้ได้หอมแก้มของต้อมเสร็จเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ได้เดินไปยังกลุ่มของตัวเอง มีเพียงคงเดชคนเดียวยังไม่วายมานั่งข้างๆ พร้อมชี้มือไปทางอื่น ต้อมเผลอตัวหันไปมองแต่ไม่พบสิ่งใด เขาจึงหันกลับมาแก้มใสๆ ของเขาโดนริมฝีปากของคงเดชอย่างจัง
ต้อมหันศีรษะหนีเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้สึกชอบแต่ยังสงวนท่าที อีกอย่างในกลุ่มมีเพื่อนผู้หญิงนั่งยิ้ม เขาจึงรู้สึกเขินๆ และทำตัวไม่ถูก
“แก้มหอมจังเลย” คงเดชยิ้มนิดๆ
ด้วยความเป็นคนนิ่งๆ เฉยๆ หงิมๆ ต้อมยังเงียบตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสืออยู่เช่นเคย เพียงแต่คงเดชยังไม่ไปไหนนั่งมองหน้าสลับกับคุยสองสาวเป็นระยะๆ จนหมดคาบ
วันนี้รุ่นพี่ยังไม่ได้นัดพบ ต้อมและเพื่อนจึงแยกย้ายกลับบ้าน มีเพียงต้อมคนเดียวเกำลังจะเดินไปยังหอพักชาย
“ต้อม เดี๋ยวเราไปส่งมาเร็ว” อาคมเพื่อนใหม่จังหวัดเดียวกัน จอดมอเตอร์ไซค์ข้างๆ ต้อมลังเลอยู่พักแต่ก็ไม่ปฏิเสธความหวังดีของเพื่อน เขาจึงตัดสินใจขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินไปอีกไกลและรักษาน้ำใจของอาคม
มอเตอร์ไซค์ของอาคมจอดหน้าหอพักชาย ต้อมจึงรีบลงจากรถและยืนคุยกับอาคมพักหนึ่ง ก่อนที่จะขอตัวเขาไปในหอพัก
“ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก หอนี้มีแต่ผู้ชายไม่กลัวเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ๆ ใจดี”
“อือ ถ้างั้นไปแล้วนะ”
“อือ” ต้อมพยักหน้า
ต้อมรีบเดินผ่านบรรดากลุ่มนักศึกษาในหอพักชาย ที่กำลังเตะฟุตบอลกันอย่างสนุก เขามองแค่แวบเดียวก่อนขึ้นไปยังหอพัก
ต้อมนั่งคิดถึงเหตุการณ์รักครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว ก่อนที่จะกลับมาอยู่บ้าน หลังจากวันนี้ด้วยความอับอายและพ่อกับแม่ที่แก่ชรามากแล้ว ต้อมจึงตัดสินใจทิ้งทุกอย่างได้กลับมายังบ้านเกิดของตัวเอง ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินในส่วนมะม่วงของตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกขานดังมาแต่ไกลต้อมจึงลุกขึ้นยืนมองตรงใต้ต้นมะม่วง ซึ่งคนที่เดินมาหาไม่ใช่ใครอื่นเป็นเพื่อนรักนั่นเอง “อาคมนี่เองนึกว่าใครมาหาเราถึงที่นี่เลย”ต้อมยิ้มให้อย่างใคร่ยินดี “ปัก ปัก ปัก”อาคมรัวหมัดใส่ใบหน้าของต้อมไม่ยั้งจนล้มลงกองนอนกับพื้น “นายต่อยเราทำไมอาคม”ต้อมใช้มือกุมปากไว้ที่เลือดออกมานองอุ้งมือ “ไอ้ต้อมกูรักมึง ถึงมึงจะเป็นอย่างไรแบบไหนก็รักมึงแบบเพื่อน ไม่เคยรังเกียจมึงเลยแม้แต่น้อย ทำไมมึงทำกับกูได้ลงคอ”อาคมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เราไปทำอะไรให้นาย”ต้อมพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน “มึงยังมีหน้ามาพูดอีก เมื่อคืนมึงทำอะไรลูกกู”เมื่ออาคมพูดจบก็หันหน้าไปทางอื่น “อ่อ เมื่อคืนอาคารมานอนกับเราเอง”ต้อมพูดพาซื่อ “เพลี้ยะ
สองสามวันมานี้เรื่องราวของต่อและต่อมไมได้มีปัญหาอะไร เพราะต้อมไม่ได้ให้เงินต่อแม้แต่บาทเดียว จึงเป็นเหตุให้ต่อไม่สามารถที่จะไปเมาที่ไหนได้อีก แต่สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงด้วยที่ต่อยังไม่ได้งานทำเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมาตกที่ต้อมทั้งหมด ในค่ำคืนนี้ทั้งต่อและต้อมต่างนอนนิ่งไม่คุยกันเท่าไรนัก แต่ในความรู้สึกของต้อมในตอนนี้ก็รู้สึกที่ดีด้วยต่อไม่ได้เมามาย เพราะทำให้สบายใจนอนอิ่มหลับสนิทมาหลายคืน แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายอะไรกันอย่างครั้งก่อนๆหน้านี้ “ไม่ได้ดื่มเหล้ามันเลยทำให้มีอารมณ์”ต่อเอ่ยขึ้นแล้วมองหน้าต้อมด้วยความใคร่อยากขึ้นมา “แล้วไง”ต้อมพูดขึ้นลอยๆถึงแม้จะอยากมีอะไรกับต่อ “ไม่อยากเหรอ” “ไม่อยาก” “แต่เราอยาก” “ก็ทำเองสิ” “อยากให้นายทำได้ไหม ถือว่าให้ของขวัญเราที่ไมได้เมา และ อีกอย่างพรุ่งนี้เราจะไปหางานแล้วนะ” “ให้ทำอะไร” ต้อมพูดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต่อต้องการให้ทำอะไร แต่ก็แกล้งไปอย่างนั้นเพื่อให้ชีวิตมีสีสัน สายตาของต้อมจึงได้เหล่ไปมอง แล้วก็เห็นในสิ่งที่เคยเห็นเป
ค่ำคืนดึกดื่นเงียบสงัดต้อมได้ยินเสียงสุนัขที่บ้านเห่า จึงแอบส่องทางหน้าต่าง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นอาคารลูกชายอาคมที่เป็นเพื่อนสมัยเรียน “อาต้อมครับเปิดประตูให้ผมหน่อย” ต้อมไม่สามารถที่จะให้อาคารอยู่หน้าบ้านได้เพียงลำพัง จึงได้เดินออกไปเปิดประตูเพื่อสอบถามทำไมมาตอนดึกขนาดนี้ เมื่อต้อมเดินไปถึงก็ได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจตรงหน้า “มีอะไรเหรอ” “เดี่ยวค่อยบอกผมขอเข้าไปข้างในก่อนได้ไหม ยุงกัดผมจนคันไปหมดแล้วครับ” ต้อมไม่สามารถที่จะปฏิเสธเหตุการณ์และคำของจากอาคารได้ จึงเปิดประตูให้เข้ามาอย่างง่ายดายและพาขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง “ห้องอาต้อมใหญ่จังเลย ใหญ๋กว่าห้องผมที่บ้านพ่ออีก”ต่อนั่งลงบนเตียงนอน เพราะที่ห้องของต้อมไม่ได้มีเก้าอี้ไว้ให้นั่งแต่อย่างใด “มาหาอามีธุระอะไรหรือเปล่า ดึกดื่นขนาดนี้แล้วมาอย่างไงเนี่ยไม่เห็นมีรถเลย อ้าว กระเป๋าเสื้อผ้าด้วยยังไม่ได้กลับบ้านเหรอ”ต้อมมีท่าทีตกใจพอสมควร “ถามผมหลายอย่างเลยจนผมไม่อยากจะตอบอะไรสักอย่าง แต่ในเมื่ออาต้อมถามผมก็จะตอบให้หมดอาต้อมจะได้ไม่คาใจในตัวผมไงครับ”
ด้วยเหตุที่ต่อได้พักงานหลายวันจึงถูกให้ออก สาเหตุนี้ไม่ใช่สาเหตุหลักเท่าไร เพราะมีเหตุร้ายแรงกว่านี้อีก ด้วยต่อได้เมามายไปทำงานจึงเกิดภาพที่ดูไม่ดีหลายครั้ง ทางนายจ้างจึงต้องตัดใจเลิกจ้าง เพราะด้วยความประพฤตินั้นเกินเยียวยา “เราบอกนายหลายครั้งแล้วว่าให้เลิกดื่มเหล้า เห็นไหมโดนไล่ออกจากงานต่อไปจะทำอย่างไรล่ะ”ต้อมนั่งลงบนเตียงด้วยอารมณ์กลัดกลุ้ม ส่วนต่อนั้นหากลุ้มใจไม่นอนเล่นโทรศัพท์มือถือย่างสบายใจสบายอารมณ์ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรแม้แต่น้อย “เอาน่า ตอนนี้ถือว่าพักผ่อนเดี๋ยวเราก็ออกไปหางานเองนั่นแหละนายไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” “ให้มันจริงเถอะ”ต้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” ต้อมไม่อยากจะพูดอะไรต่อไปอีก เรพาะขืนพูดอาจมีปากเสียงกันได้ และอีกอย่างหนึ่งไปกดดดันคนตกงานมันก็เป็นอะไรที่ดูไม่ค่อยดี ด้วยเป็นครั้งแรกที่ต่อไม่ได้ทำงานซึ่งแต่ก่อนหน้านี้ขยันไปทำงานทุกวัน ได้เงินมาก็แบ่งให้ใช้จ่าย ไม่เหมือนตอนนี้แม้แต่เงินก็ไม่มีให้ต้อมแม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้อยู่กินกับต้อมทั้งนั้น “อืม” “ดีมากที่รัก ขอเง
ความรักของต้อมกับต่อคืบหน้าไปได้พอสมควร ต่างรักใคร่กันมีอะไรเผื่อแผให้แก่กันไม่ขาด แต่มีอยู่สิ่งที่หนึ่งต้อมเริ่มรู้สึกระอาในเมื่อใจยังรักจึงต้องทน ถึงค่ำคืนต่อจะเมามายไม่มีวันหยุดพักเช่นเดียวกันกับตอนนี้ “เมื่อไรนายจะเลิกดื่มเหล้าซะที นายดีทุกอย่างยกเว้นเรื่องเหล้า”ต้อมนั่งบนเก้าอี้มองต่อนอนเกือกกลั้วกองกับพื้น “ใครเมา อย่ามาพูดแบบนี้นะ”ต่อพยายามลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหาต้อม พร้อมกับลากขึ้นไปบนเตียงนอน “ปล่อยนะเราเหม็นเหล้า”ต้อมดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมกอดของต่อ “อ่อ เดี๋ยวนี้รังเกียจเรามากเลยนะ” “เปล่า แต่นายเมาเกินไป”ต้อมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายแต่ในเมื่อยังรักอยู่ จำใจต้องฝืนทนต่อไปอีก “ได้เลย ถ้างั้นคืนนี้นายอยู่คนเดียวก็แล้วกัน เราจะออกไปเที่ยวข้างนอก” เมื่อต่อพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป อย่างไม่เหลียวหลังมามองต้อมแม้แต่น้อย จนต้อมได้แต่ถอดถอนหายใจถึงแม้จะรู้สึกสบายกายและใจเมื่อได้อยู่คนเดียว แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับต่อ เพราะไปในสภาพเมามายอย่างนั้น แต่ต้อมก็พยายามทำใจแข็งฝืนทนความคิด
พักหลังอาคารได้มาหาต้อมบ่อยๆบางครั้งก็อยู่ทั้งวันกว่าจะได้กลับใช้เวลานานพอสมควร วันนี้เช่นเดียวกันเป็นวันอาทิตย์ซี่งอาคารต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพ แต่ยังไม่วายแวะเวียนเข้ามาหาต้อมอยู่ก่อนจากไปอีกหลายวัน “มาหาอาทำไมแต่เช้า วันนี้ไม่ไปกรุงเทพเหรอ”ต้อมนั่งลงตรงหน้าอาคารซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วตรงเรือนชานหน้าบ้าน “วันนี้ผมจะไปแล้วไง ก็อยากมาเห็นหน้าอาต้อมสักหน่อยไม่ได้เหรอครับ”อาคารยิ้มอย่างมีความสุข “มันก็ดี เดี๋ยวไปไม่ทันรถหรอกจะทำไง” “ถ้าไปไม่ทันก็มาอยู่กับอาต้อมไงครับ” “จะมาอยู่กับอาได้ไงบ้านของอาคารก็มี” “อยู่กับพ่อกับแม่ไม่เหมือนอยู่กับอาต้อมเลย ผมอยู่กับอามีความสุขมากที่สุด อยากหยุดเวลาทั้งหมดไว้ที่นี่” “พูดเป็นนิยายไปได้ คนเราต้องมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบนะอาคาร อย่าเอาชีวิตมายึดติดกับอาเลย” สาเหตุที่ต้อมพูดเช่นนี้ออกไป เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่อาคารได้ทำให้นั่น สามารถบอกได้เป็นลางๆว่าคิดเช่นไร แต่ยังเผื่อใจว่าอาจคิดไปเองบ้างนิดหน่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ต้อมจึงไม่อยากที่จะให้มีความสัมพันธ์มากไปกว่