LOGIN“ไปให้พ้นน้ำหน้าอย่างเธอใครจะยอมคบด้วยหัดไปส่องกระจกดูตัวเองซะบ้าง!ไปซะอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
“ทะ..ทีพูดอะไรอ่ะเราเป็นแฟนกันไม่ใช่หรอ”
“น้ำหน้าอย่างเธอใครจะเอาเป็นแฟนแค่ยอมควงด้วยก็บุญหัวเธอแล้วอย่ามาคิดฝันสูงกับคนอย่างฉัน”
“ตะ..แต่เราเป็นของทีแล้วนะ”
“หยุดพูดเถอะที่ฉันเอาเธอมันก็กล้ำกลืนฝืนทนมากพอแล้วไหนๆก็ไหนๆแล้วฉันจะบอกอะไรให้ก็แล้วกันที่ฉันยอมเอากับเธอก็เพราะเพื่อนฉันท้าพนันไว้เท่านั้นแหละถ้าไม่ใช่เพราะเงินฉันคงจะไม่ยอมเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงอัปลักษณ์อย่างเธอหรอก”
“มะ..ไม่จริง!ไม่จริงใช่ไหม?ไม่จริ๊งงกรี๊ดดด!”
เฮือก!
อีกแล้ว!กี่ครั้งกี่หนที่ฝันเวียนวนอยู่แบบนี้ทุกวันทั้งๆที่มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ฉันพยายามจะลืมทุกอย่างที่มันทำให้ฉันเจ็บพยายามไม่คิดถึงไม่นึกถึง แต่ว่ามันก็ยังเวียนวนมาในความฝันอยู่แบบนี้ตลอด...
ติ้ด ติ้ด ติ้ด~ เสียงโทรศัพท์ดัง
“ฮะ..ฮัลโหล”
‘อีก้อย!คืนนี้ที่เดิมไปนะอ๊ะ...แล้วนั่นมึงเป็นไรทำไมเสียงสั่นๆเป็นอะไรรึเปล่า?’ เสียงอีฝ้ายเพื่อนสนิทอีกคนแทรกผ่านมือถือเข้ามา
“มะ..ไม่มีอะไรกูแค่ฝันร้ายเฉยๆน่ะ” ฉันบอกปัดเพื่อนไปเพราะไม่อยากให้มันไม่สบายใจไปด้วย
‘เห้อ!นี่อย่าบอกนะว่าถึงไอ้เหี้ยนั่นอีกนี่มันปีไหนเข้าไปแล้วก้อยมึงควรลืมมันได้สักทีเลิกไปคิดถึงคนชั่วๆแบบนั้นได้แล้ว’
อีฝ้ายร่ายยาวมาจนฉันอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ใครไม่รัก..แต่เพื่อนรักนี่ฟังกี่ทีก็ยังรู้สึกดีตลอดสินะ!
“กูก็พยายามอยู่มึงก็รู้แต่มันทำยากเหลือเกิน”
‘แปดปีแล้วนะก้อยมึงว่ามันนานไปไหม?แต่ช่างเถอะๆกูรู้ว่ามึงโตแล้วแยกแยะเองได้รู้ใช่ไหมว่าเพื่อนๆรักมึงมีอะไรก็ขอให้บอกแค่นั้น’
“จ้าแม่จ๋า...รู้เรื่องแล้วจ้าเจอกันที่เดิมนะจ๊ะแม่!”
‘อีก้อยอีตอแหล!’ เสียงอีฝ้ายมันด่าแล้วก็วางสายฉันไปโดยที่ได้แต่ขำที่ด่ามันกลับไม่ทัน
ฉันชื่อก้อยมีเพื่อนสนิทสามคนชื่ออีฝ้ายที่โทรมาเมื่อกี้กับอีว่านแล้วก็อีพีทสองคนแรกเป็นหญิงแท้แต่อีพีทเป็นเก้งที่โคตรจะหล่ออ่ะ
เราสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนจนแม้จะจบออกมาทำงานก็ยังไม่แยกจากกันอีฝ้ายกับอีว่านทำงานที่เดียวกันส่วนฉันกับอีพีทแยกกันไปคนละบริษัทแต่ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เราจะนัดปาร์ตี้กันอยู่เสมอตามประสาคนโสดๆ
คืนนี้ก็อีกเหมือนกันหลังจากที่เมื่อคืนเพิ่งไปลองผับเปิดใหม่กันมาผู้เชี่ยวชาญการท่องราตรีอย่างอีฝ้ายก็อยากไปที่ร้านประจำอีกซึ่งพวกฉันก็ขัดมันไม่ได้อยู่ดี
ก็นะ!ไปก็ไป!
ถึงเวลานัดฉันก็แต่งตัวไปผับเจ้าประจำของพวกเรา
“อีก้อยๆทางนี้” อีพีทที่มาถึงก่อนแล้วโบกไม้โบกมือเรียกมองไปมองมาก็เห็นอีว่านกับอีฝ้ายเดินเข้ามาพอดี
พวกเราก็เข้าไปเปิดโต๊ะดื่มกันไปเม้าท์กันไปเต้นกันไปตามประสาขาแดนซ์ แต่อยู่ๆเว้ยอีกไม่ถึงนาทีจะเที่ยงคืนกลับมีพนักงานเดินเข้ามาพร้อมกับในมือที่ถือเค้กอยู่ ส่วนบนเวทีนักร้องประจำผับก็กำลังร้องเพลงแฮปปี้เบิรดเดย์ให้แต่ว่าทำไมถึงมาหยุดตรงหน้าฉันอ่ะ?
พวกเขาร้องเพลงจบลงไปแล้วในขณะที่ฉันยังงงมาวันนี้วันเกิดใครกัน อีฝ้ายก็มากระซิบให้ฉันอธิษฐานแล้วเป่าเค้กก่อน ส่วนฉันก็ทำตามมันอย่างงงๆ พอเป่าเค้กเสร็จหลายคนที่มาร่วมร้องเพลงให้ก็แยกย้ายกันไป ส่วนฉันก็ขยับไปใกล้ๆแล้วกระซิบถามเพื่อนเบาๆ
“มึงวันนี้วันเกิดกูหรอ?” ไม่ใช่อะไรก็ฉันเกิดวันที่ยี่สิบหกตุลาไงแต่ว่าวันนี้มันวันที่ยี่สิบสี่
“ก็ใช่ดิยี่สิบสี่ตุลาวันเกิดมึงไง!” อีว่านตอบดูท่ามันน่าจะจำวันเกิดฉันผิดสินะ...
“อีว่าน!กูเกิดวันที่ยี่สบหกตุลาอีกตั้งสองวันนู่น” ฉันบอกมันก่อนจะหลุดขำเสียงดังยกใหญ่
โอ๊ยอีว่าน!อุตส่าห์จะทำเซอร์ไพรส์เพื่อนทั้งทีดันจำวันผิดอีก แต่ก็ไม่เป็นถือว่าจัดเรื่องหน้าไปก็แล้วกัน
ก่อนที่มันจะหันไปฟาดงวงฟาดงากับอีพีทอีฝ้ายที่รู้ว่าไม่ใช่วันนี้แล้วยังไม่ท้วงปล่อยให้มันหน้าแตกอีก
“ยังไงก็ขอบคุณมึงมากนะว่านที่เป็นเพื่อนที่ดีมาตลอดแม้จะจำวันเกิดกูผิดก็ตาม พวกมึงด้วยอีฝ้ายอีพีทขอบคุณที่ยอมคบกับเพื่อนที่เคยอัปลักษณ์อย่างกูไม่รังเกียจและคอยช่วยเหลือกูทุกอย่าง”
“คิดมากเรื่องมันผ่านมานานแล้วมึงลืมมันเถอะมีความสุขกับปัจจุบันดีที่สุดกูรักพวกมึงนะ!” อีพีทบอกพร้อมทั้งกอดคอพวกเราทั้งสี่ไว้ด้วยกัน
“กูด้วยกูก็รักพวกมึงมากๆเหมือนกัน” อยู่ดีๆอีฝ้ายก็ร้องไห้โฮๆเสียงดังซะงั้น!
“กูก็รักพวกมึงทุกคน” ฉันกับอีว่านก็พูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะกอดคอกันร้องไห้ซะอย่างนั้น
“แดกเหล้าต่อเถอะพวกมึงจะดราม่าทำไมเนี่ย!” อีพีทดันพวกเราออกจากกันก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมารอชนแก้ว
“เอ้าชนนน” แล้วพวกลำยองจอมดราม่าทั้งหลายก็ชนแก้วแล้วยกดื่มขึ้นรวดเดียวหมดแก้วไปเลย
ทุกวันนี้ที่ทำให้ฉันมีความสุขได้ก็เพราะเพื่อนๆนี่แหละ ถ้าไม่มีพวกมันวันนี้ก็คงไม่มีฉันมานั่งดื่มอยู่แบบนี้หรอก
แปดปีก่อนฉันที่หน้าตาขี้เหร่กลับมาคนมาจีบ เพราะกลัวเพื่อนจะมองไม่ดีเรื่องนี้ฉันจึงเก็บเป็นความลับไว้อย่างมิดชิดจนกระทั่งวันนึงที่ถูกเขาหลอกทั้งเสียตัวทั้งเสียใจ เจ็บปวดมากมายกลับคำพูดดูถูกของเขา วันนั้นมันทำให้ฉันคิดสั้นขึ้นมาชั่ววูบ
ต้องบอกว่าฉันโชคดีที่อีพวกนี้เข้ามาช่วยฉันไว้ได้ทันไม่งั้นคงได้กลายเป็นผีเฝ้าห้องเรียนไปเสียแล้ว
วันนั้นหลังจากทะเลาะกันรุนแรงกับเขาผู้ชายที่เป็นรักแรกเป็นคนแรกแต่เขากลับบอกว่าไม่เคยคิดอะไรกับฉันที่ยอมมาคบด้วยก็เพราะพนันกับเพื่อนไว้ มันทำให้ฉันเจ็บถ้อยคำดูถูกพวกนั้นมันทำให้ฉันทั้งเจ็บทั้งอายจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
วันนั้นหลังเลิกเรียนฉันใช้ผ้าผืนยาวผูกเป็นห่วงมัดเข้ากับขื่อห้องเรียนแล้วสวมเข้าไปในคอจากนั้นก็ถีบเก้าอี้ให้ล้มลง
วินาทีนั้นฉันทั้งเจ็บปวดและทรมานอาการทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก วินาทีที่ใจกำลังจะขาดลมหายใจฉันเริ่มขาดห้วง เสียงร้องไห้และตกใจของอีว่านอีฝ้ายและอีพีทก็ดังเข้ามาในหัว
“กรี๊ดดด!อีก้อยทำไงดีๆฮื่อๆอีเหี้ยก้อยมึงเป็นเหี้ยอะไรทำไมถึงทำอะไรบ้าๆแบบนี้” เสียงพวกมันสามคนร้องตะโกนทั้งด่าทั้งร้องไห้ต่อว่าฉันที่ทำอะไรโง่ๆแบบนี้ และฉันก็ยอมรับว่าทำอะไรโง่ๆแบบนั้นไปจริงๆเพราะอารมณ์ชั่ววูบตัวเดียวเลย
อีพีทใช้บ่ามันให้ฉันยืนเหยียบในขณะที่อีฝ้ายกับอีว่านช่วยกันปีนเก้าอี้เพื่อตัดเชือกที่คอฉันให้หลุดออก แล้วร่างฉันก็หล่นลงมานอนบนพื้นอย่างแรงเมื่ออีพีทรับน้ำหนักฉันไม่ไหว
สรุปจากเรื่องวันนั้นก็คือฉันแท้งลูกที่มีโดยไม่รู้ตัวกับไอ้ผู้ชายเฮงซวยที่เป็นตราบาปให้ฉันจนถึงทุกวันนี้ โชคดีที่อายุครรภ์ยังไม่มากแค่เดือนกว่าๆจึงทำให้ฉันไม่ต้องตกเลือดจนตายไปด้วย
หลังจากวันนั้นพวกมันก็ตามติดชีวิตฉันแทบจะทุกฝีก้าวผลัดกันไปนอนเฝ้าฉันที่หอเพราะกลัวว่าฉันจะคิดสั้น และฉันก็เล่าให้มันฟังทุกอย่างกับเรื่องที่ผ่านมาจะตามไปเอาเรื่องไอ้คนเฮงซวยนั่นแต่ว่ามันกลับย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศเสียก่อนทำให้หลังจากนั้นเราไม่เคยเจอกันอีกเลยจนกระทั่งผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็เกือบแปดปีแล้ว
หลังจากเรียนจบฉันก็ปรึกษาพวกมันว่าฉันอยากทำศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นเพื่อลบถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามในอดีต จนถึงตอนนี้เวลาไปไหนมาไหนฉันไม่เคยอายใครอีกแล้ว เพราะมีดหมอทำให้ฉันทั้งสวยและดูดีชนิดที่เป็นนางแบบได้สบายมีคนมาทาบทามแต่ว่าฉันไม่อยากทำ ที่ฉันเปลี่ยนตัวเองก็เพื่อที่วันนึงถ้าฉันมีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้ง ฉันจะทำให้เขาต้องเจ็บเหมือนที่ฉันเคยเจ็บบ้างสักครั้ง!
เนิ่นนานเป็นชั่วโมงที่เราดื่มกันอย่างนั้นจนกระทั่งอีว่านที่ดัดจริตทำทีขอไปสูดอากาศข้างนอกก่อนจะหายไปกับผู้ชายยาวเลย ส่วนพวกฉันที่เหลือก็เลยเช็คบิลแล้วเตรียมแยกย้ายกันกลับ
โดยมีอีพีทเป็นคนวนรถไปส่งให้เพราะมันไม่ค่อยเมาเท่าไหร่ อีพีทไปส่งอีฝ้ายที่คอนโดมันก่อนแล้วจึงขับวนมาส่งฉันที่คอนโดจากนั้นเลยไปอีกหน่อยก็เป็นคอนโดของมันแล้ว ที่จริงเราจะซื้อคอนโดอยู่ที่เดียวกันแหละ แต่เพราะอีพีทมันไปถูกใจเด็กเจ้าของคอนโดที่มันไปซื้อนั่นแหละมันก็เลยซื้อทำสัญญาที่นั่นไปเลย
ส่วนฉันก็ซื้อมานานแล้วเหมือนกันนะตั้งแต่ที่แม่เสียไปหลายสิบปีก่อน ‘เขา’ ที่ไม่เคยเชื่อว่าฉันเป็นลูกเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาก็ให้เงินก้อนใหญ่มาซื้อคอนโดที่นี่ให้อยู่คงเพราะหน้าตาฉันอัปลักษณ์เกินไปแม้ว่าจะแอบเอาเลือดฉันไปตรวจดีเอ็นเอแล้วก็ตามดูเหมือนเขาก็จะยังรับไม่ได้ที่ฉันไม่ได้สวยเหมือนลูกสาวคนเล็กของเขากระมัง
หลายปีแล้วที่ฉันออกมาใช้ชีวิตตามลำพังโดยไม่คิดกลับไปเหยียบหรือไปเรียกร้องอะไรกับเขาอีก เงินก้อนใหญ่ที่เขาโยนให้ครั้งนั้นมันก็มากพอจะใช้ชีวิตตัวคนเดียวให้อยู่อย่างสบายโดยไม่จำเป็นต้องทำงานก็ได้
แต่ฉันมันเป็นผู้หญิงมีค่าไง ค่าร้อยไหมฉีดโบท็อกซ์ ค่าฉีดผิวขาว ค่าครอสเสริมความงาม ไหนจะค่าเหล้าอีกก็เลยต้องหาทำงานเพื่อเก็บเงินส่วนนั้นไว้ยามจำเป็นดีกว่า
“รีบขึ้นห้องล่ะมึง!” อีพีทบอกหลังจากจอดส่งฉันตรงหน้าคอนโด
“ค่าา...ขอบคุณมากนะคะที่มาส่งขับรถดีๆล่ะมึงอ่ะ” ฉันบอกมันพร้อมกลับยืนโบกมือบ๊ายบายให้จนมันขับรถออกไปฉันถึงได้เดินเข้าไป
เดินผ่านล็อบบี้จะไปขึ้นลิฟท์ห้องฉันอยู่ชั้นสิบแปดระหว่างยืนรอลิฟท์มาก็มีผู้ชายคนนึงมายืนข้างๆรอลิฟท์เหมือนกัน ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งลิฟท์ลงมาถึงฉันก็เดินก้าวเข้าไปในลิฟท์พร้อมกับเขาแล้วกดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้นเดียวกันอีก
ในลิฟท์มีแค่ฉันกับเขาสองคนขึ้นมาด้วยกัน ตอนแรกฉันก็ยังไม่ได้สังเกตหรอกว่าเขาเป็นใครจนกระทั่งได้ยินเสียงเขาเอ่ยทักขึ้นและฉันก็เงยหน้าขึ้นมองเขาเท่านั้นแหละ...
“เอ่อขอโทษครับ...คุณอยู่ชั้นสิบแปดเหมือนกันหรอครับพอดีผมเพิ่งย้ายมาใหม่พอดียินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
วินาทีแรกที่ฉันได้เห็นหน้าเขาฉันก็นึกว่าตัวเองตาฝาดนะ ผู้ชายที่กำลังชวนฉันคุยอยู่ตอนนี้กับเขาคนที่เคยขับไสไล่ส่งฉันเมื่อในอดีตเป็นคนคนเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาคงจะจำฉันไม่ได้แล้ว
แน่ล่ะสิก็ฉันตอนนี้ไม่ได้อัปลักษณ์เหมือนสมัยนั้นแล้วนี่นะ สีหน้าราวกับอยากรู้จักทำให้รับตอบรับไปเรียบๆ
“ค่ะ” จริงๆฉันก็ไม่ได้อยากจะทำหยิ่งหรอกนะ แต่แบบว่าฉันกำลังตั้งตัวไม่ทันไงอยู่ๆเขาก็โผล่มาในเวลาที่มันกระทันหันแล้วแบบนี้
“ผมชื่อทีไทนะครับชื่อเล่นว่าทีอยู่ห้อง104ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เขาบอกเสียงทุ้มนุ่มพลางส่งยิ้มมาให้จนลักยิ้มบุ๋มขึ้น
‘เดี๋ยวได้ฝากแน่!ไม่ต้องกลัวหรอก!’ ฉันเคยเจ็บมายังไงฉันจะให้นายเจ็บกว่าเป็นสองเท่า!
“ค่ะ..บังเอิญจังเลยนะคะฉันก็อยู่103ห้องตรงข้ามกับคุณเลยฉันชื่อก้อยค่ะ”
ฉันบอกพลางแสร้งส่งยิ้มหวานไปให้บางๆ แอบสังเกตุว่าเขาชะงักไปครู่นึงที่รู้ว่าฉันชื่ออะไร ถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปคาดว่าชื่อนี้คงไปสะกิดใจเขาเข้ากระมัง
“อ้าวหรอครับบังเอิญจังเลยนะครับเนี่ย” เขาส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง
“อ๊ะ!เกิดอะไรขึ้นอ่ะ” ฉันอุทานเสียงสูง
จู่ๆลิฟท์ที่ขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงชั้นที่สิบแล้วแต่อยู่ดีๆไฟในลิฟท์เกิดดับทำให้ลิฟท์ค้างขึ้นมาเสียอย่างนั้น ร้อยวันพันปีอยู่ที่นี่มาก็หลายปีไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยสักครั้ง นี่คงเป็นคราวซวยของฉันจริงๆที่ต้องมาติดอยู่ลิฟท์กับผู้ชายอย่างเขาแบบนี้
“สงสัยไฟจะดับลิฟท์มันก็เลยค้างคุณก้อยใจเย็นๆก่อนนะครับ” เขาพยายามปลอบเสียงอ่อนโยนแต่ฉันคงไม่หลงกลซ้ำสองหรอกย่ะ
“คะ..คือฉะ..ฉันหายใจไม่อะ..ออก” อาการหายใจติดๆขัดๆเมื่ออยู่ในที่แคบๆและไม่มีอากาศเช่นนี้เริ่มมาเยือน ผลจากการคิดสั้นเมื่อคราวนั้นของฉันมันมีผลกระทบถึงการใช้ชีวิตในประจำวันของฉันแบบนี้ด้วยเหมือนกัน แต่โดยส่วนมากฉันไม่ค่อยเจอเหตุการณ์แบบนี้ไง
อาการหายใจไม่ออกมันทำให้ฉันทรมานเหมือนมนตอนนั้นขึ้นมาจน)ันต้องค่อยๆเลื่อนตัวลงนั่งพิงผนังลิฟท์ช้าๆ
“คุณก้อยทำใจดีๆไว้นะครับค่อยๆหายใจลึกๆหายใจเข้า...หายใจออกช้าๆครับ ดีครับอย่างนั้นแหละครับ” เขาบอกส่วนฉันก็พยายามทำตามแต่มันก็ยังรู้สึกแน่นหน้าอกอยู่ดี ส่วนเขาก็พยายามตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออยู่
“ฮะ..หายใจไม่ค่อยออกเลยคุณจะมีใครมาช่วยเราไหม?” ฉันยังไม่อยากตายทั้งๆที่คนที่รอให้แก้แค้นเพิ่งมาปรากฎกายตรงหน้านี้นะ!
“เอ่อ...เคยมีคนบอกว่าถ้าติดอยู่ในลิฟท์ให้พยายามปลดเสื้อผ้าระบายความร้อนออกบ้างนะครับคุณก้อย” เขาเอ่ยตะกุกตะกักเบาๆ แววตาเป็นประกายแปลกๆ
“ระ..หรอคะ?แต่ว่านะ..ในนี้มีกล้องไหมคะ”
“ตอนนี้ไฟดับหน้าจะไม่ทำงานแล้วล่ะครับคุณก้อยปลดกระดุมออกเฉยๆก็ได้”
“อะ...โอเคค่ะ” ฉันค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกช้าๆทีละเม็ดๆจนมันสุดรังดุมโชว์เนินอกที่ถูกห่อหุ้มด้วยชั้นในสีชมพูหวานวับๆแวมๆ
“...” เขาเงียบในขณะที่สายตาจับจ้องเนินอกของฉันนิ่ง
“เอ่อมะ..มันยังรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ค่อยออกอยู่เลยค่ะทำไงดี?” ฉันทั้งเขินทั้งอายกับแววตาเป็นประกายของเขาที่จับจ้องมาแต่ว่าก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน
“ลองถอดอีกชิ้นดูไหมเผื่อช่วยให้หายอึดอัดมากขึ้น” เขาบอกพลางมองมาที่เสื้อเชิ้ตของฉัน
“เอ่อ..เอางั้นหรอฉะ..ฉันอายนะคะ” แม้ว่าเราจะเคยเห็นของกันมาแล้ว แต่ว่านั่นมันก็หลายปีแล้วนะ
“ไม่ต้องอายหรอกครับ...ผมแค่อยากให้คุณรู้สึกสบายตัวไม่อยากให้รู้สึกอึดอัด” คำพูดเขาเหมือนหวังดีนะ แต่ทำไมแววตาเขาดูล้ำลึกราวกับเสือหิวยังไงก็ไม่รู้
แต่ในลิฟท์มันก็สลัวๆพอมองเห็นรางๆฉันก็ถอดเสื้อเชิ้ตออกนะจนเหลือแค่บราเซียตัวจิ๋วห่อหุ้มสองเต้าอวบใหญ่ของฉันเอาไว้ แว่วเสียงกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ดังขึ้นตามมา
.
.วันต่อมาผมก็พาพี่ปรางกลับบ้านที่มีลูกชายเธอและเพื่อนสนิทผมนั่งหน้าบอกบุญไม่รับรออยู่ก่อนแล้ว“แม่ไปไหนมาทำไมไม่กลับบ้านแล้วนี่ไปไหนกันมา”เมื่อมาถึงคิวก็เดินดุ่มๆเข้ามาถามสีหน้าและแววตาเกรี้ยวกราดสุดฤทธิ์คนเป็นแม่ได้แต่ก้มหน้านิ่งเพราะรู้ว่าตัวเองผิดจริงๆ“ว่าไงไอ้โจ้มึงพาแม่กูไปไหนมาทั้งคืนทำไมถึงเพิ่งกลับมากันป่านนี้”“คือ..ว่าไอ้คิวมึงฟังกูพูดก่อนนะคือ..” ผมเองก็ยังหวาดๆกับสีหน้าเกรี้ยวกราดของมันจนถึงขั้นตัวลีบเลยทีเดียว“ฟังเหี้ยอะไร!มึงพาแม่กูหายไปทั้งคืนเนี่ยนะไอ้สัสโจ้” ไอ้คิวตะคอกใส่ผมเสียงดีังลั่น“คิวใจเย็นๆก่อนนะลูกค่อยๆพูดกันก็ได้” พี่ปรางพยายามปลอบไอ้คิวเสียงอ่อนพลางลูบหลังมันเบาๆ“งั้นแม่ก็บอกมาดิว่าหายไปไหนกับมันมาทั้งคืน” ไอ้คิวตะคอกใส่พี่ปรางจนหน้าเสีย“ไอ้สัสคิวมึงอย่าตะคอกใส่แม่มึงแบบนั้นสิวะ” พอเห็นเมียผมหน้าเสียแบบนั้นก็อดสงสารไม่ได้“อย่าเสือกนี่แม่กู!”“แม่มึงแต่เมียกู!”“ไอ้สัสโจ้!”ผลั๊ว!เสียงหมัดหนักๆกระแทกเข้าที่ตรงปากและจมูกผมพอดีจนมึนไปชั่วครู่สักพักลิ่มเลือดก็ไหลออกมาจากมุมปากผมเล็กน้อย“ว๊าย!อย่านะลูกหยุดๆ” พี่ปรางร้องไห้เสียงดังพยายามรั้งแขนไอ้คิวไม่ให
บันทึกพิเศษปรางในความเย็นเยียบที่ได้รับทำให้ฉันรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้านวาบไปทั่วทั้งร่างกายรับรู้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆแต่ทว่า...ผ้าห่มไปไหน?รู้สึกได้ว่าตัวเองนอนเปลือยเปล่าซึ่งนั่นเป็นปกติเวลาที่ฉันเข้านอนจะชอบโนบราและแก้ผ้านอนเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ว่าทำไมคืนนี้มันหนาวผิดปกติกันนะแม้จะแปลกใจแต่มือฉันก็ปัดป่ายควานหาผ้าห่มที่คาดว่าตัวเองน่าจะถีบออกจากตัวไปอยู่มุมไหนสักที่นั่นแหละ คลำหาไปได้สักพักก็รู้สึกว่าตัวเองไปคว้าหมับเข้ากับอะไรสักอย่างที่มัน ‘ร้อนผ่าว’ และนุ่มนิ่มมือ เมื่อเห็นว่าเออจับแล้วมันก็อุ่นดีฉันก็เลยจับๆขยำๆไปเรื่อยๆสักพักอ้าวเห้ย!ทำไมมันใหญ่ขึ้นวะ?แถมมันยังแข็งและร้อนราวกับอังไฟมา รูปร่างลักษณะมันคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับ....ไอ้นั่นของผู้ชาย!แม้จะไม่อยากลืมตาตื่นสักเท่าไหร่แต่ความสงสัยก็ทำให้ฉันต้องตื่นลืมตามองสิ่งที่อยู่ในมือ แต่แวบแรกเลยทีเห็นคือแผงอกแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามลากสายตาลงมาก็หน้าท้องหนั่นแน่นชวนให้ลูบไล้ขยำเล่นดีจังถัดมาก็เออ!นั่นแหละฉันกำลังจับไอ้นั่นของเพื่อนลูกชายอยู่ แถมไม่ได้จับธรรมดานะทั้งลูบคลึงขยำชักรูดชักลงอีกต่างหาก ให้ตายเถอะนี่เธ
โรมแรมม่านรูดไม่ไกลจากห้างดังเสียงปิดประตูรถดังปังทันทีที่เด็กรับรถรูดม่านมาปิดไว้ผมยื่นเงินค่าห้องให้เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมพร้อมทั้งทิปแล้วดึงมือพี่ปรางลากเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วเมื่อครู่แม้จะปลดปล่อยไปแล้วครั้งนึงแต่ทว่าตรงหน้าขาผมยังแข็งปึ๋งผงาดทิ่มเนื้อผ้ากางเกงออกมาให้ได้เห็น ปวดไปหมดสงสัยมันอยากจะทลวงเข้าไปในช่องแคบอีกครั้งเสียแล้ว“อ๊ะ..เบาๆ หน่อยสิชั้นเจ็บนะ” พี่ปรางดุเบาๆ ในตอนที่ถูกผมดันร่างเธอเข้ากับพื้นผนังเย็นเยียบอย่างแรง“ขอโทษ...ผมทนไม่ไหวต้องตายแน่ๆ ถ้าไม่ได้กระแทกพี่ตอนนี้” ผมงึมงำเบาๆ ขณะริมฝีปากไล่ขบเม้มซอกคอเนียนหอมละมุน“ซี๊ดดดดด~~บ้าเวอร์ไปล่ะไปอดอยากจากไหนมาห๊ะ...”“ฮื้มม~ตัวพี่หอมจัง...พี่ไม่รู้หรอที่จริงผมอยากแล้วก็แข็งตั้งแต่เห็นพี่ที่สระว่ายน้ำแล้ว” เสียงผมสั่นกระเส่าอยากไม่อาจห้ามได้ ยิ่งได้กลิ่นหอมอ่อนลอยมามังกรยักษ์ก็อยากโผล่หัวมาทักทายเหยื่อสาวเสียแล้ว“หมายความว่าเมื่อคืนเธอแอบดูพี่ที่สระด้วยหรอ” พี่ปรางดันหน้าผมออกจากเนินอกเธอแล้วถามเสียงเข้ม“อื้ม..ก็เมื่อคืนผมนอนไม่หลับกะว่าจะไปเดินเล่นเฉยๆ ใครจะไปรู้ว่าจะได้เจอเงือกสาวแสนสวยใส่บิกินี่
คืนนั้นหลังจากถูไถแค่ภายนอกจนเสร็จสมอารมณ์หมายด้วยกันทั้งคู่ดึกๆช่วงตีสี่กว่าๆผมก็ย่องออกมานอนที่ห้องของตัวเองที่ไอ้คิวมันจัดไว้ให้แล้วหลับต่อไปยันสายตรู่ทั้งผมทั้งไอ้คิวต่างตื่นสายด้วยกันทั้งคู่โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์เราไม่ต้องรีบตื่นไปเรียน ส่วนแม่ไอ้คิวผมยังไม่เห็นเลยนะสงสัยจะเขิน“ไงมึงหลับสบายดีไหมบ้านกู” เสียงไอ้คิวถามพลางยิ้มอารมณ์ดี แน่ล่ะสิเมาหลับไปตั้งแต่หัวค่ำละมั้ง“อืม..ดีมากกูหลับสนิทเลย” เสียไปตั้งหลายน้ำจะไม่หลับได้ยังไง!“มากินข้าวก่อนนี่แม่กูทำข้าวต้มปลาไว้ให้มึงจะเอากาแฟไหมกูจะได้ให้พี่สมพรไปชงมาให้”“เออเอาก็ได้” ผมพยักหน้ารับรู้สึกอยากได้คาเฟอีนเข้ามาในร่างกายเหมือนกันเพราะเช้านี้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงจริงๆฝีมือทำกับข้าวของแม่ไอ้คิวก็อร่อยดีนะ ส่วนคนทำไม่รู้หนีหายไปไหนแล้วผมมองๆหาก็ไม่ยักจะเห็นเลย“เออแล้วนี่แม่มึงไปไหนหรอวะ”“ไม่รู้เหมือนกันว่ะสงสัยอยู่บนห้องมั้งว่าแต่มึงเถอะวันนี้จะไปไหนต่อเปล่า”“ไม่รู้ว่ะเบื่อๆคงนอนอยู่บ้านแหละกูขี้เกียจออก”“ไปดูหนังกับกูไหมล่ะพอดีกูชวนแม่ไปดูหนังรอบบ่ายมึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิไปกับแม่สองคนกูอาย” ไอ้คิวมันบอกในขณะที่ผมนึกขำ
หญิงสาวผมเผ้าหลุดรุ่ยเนื้อตัวเปลือยเปล่ามองหนุ่มรุ่นลูกตาปรอยเนื้อตัวสั่นระริกราวกับจะอ้อนวอนขอให้เด็กหนุ่มช่วยเติมเต็มสิ่งที่เธอขาดหายไปหลายสิบปีให้หน่อย เด็กหนุ่มหลุบตามองริมฝีปากอิ่มเอิ่มที่แย้มออกดูเย้ายวนชวนให้คลุกเคล้าดื่มด่ำความหวานหอมในโพลงปากนุ่มเหลือเกิน“อื้อออออออ” เสียงหวานครางกระเส่าในลำคอเมื่อถูกเด็กหนุ่มบดจูบอย่างดูดดื่ม เรียวลิ้นอุ่นชื้นพลิกไล้ไปตามไรฟันขาวสะอาดเลาะเล็มน้ำหวานตามโพลงปากด้านในจนน้ำลายของทั้งสองคนไหลย้อยออกมาตามมุมปาก“ชอบไหม?ชอบให้ผมสัมผัสแบบนี้ไหมครับ” เสียงทุ้มแหบพร่าของเพื่อนลูกดังขึ้นอีกครั้งที่ข้างใบหูพร้อมกับลมร้อนที่เขาเป่าใส่อย่างยั่วเย้าหลังจากที่เขาละริมฝีปากออกปล่อยให้เธอได้หายใจหายคอออกบ้างหลังจากที่ถูกจูบดูดวิญญานเข้าไปหลายนาทีจากนั้นก็ลากริมฝีปากลงมายังซอกคอขาวเนียนดูดกลืนผิวเนื้ออ่อนหอมละมุนจนมันขึ้นสีคล้ำเป็นจ้ำแล้วก็ลากลงมาไซร์เนินอกอวบอิ่มเบียดชิดชูชันตั้งตะหง่านอีกครั้ง“อื้มมมมม” มีเพียงเสียงครางอื้ออึงไม่ได้สรรพ์ดังตอบรับการกระทำแค่นั้น นาทีนี้หัวสมองเธอว่างเปล่าไปหมดครุ่นคิดอะไรไม่ออกแม้แต่นิด“แม่ครับ...ผมขอเลียหน่อยนะครับ” คำพูด
ร่างขาวโพลนในชุดบิกินี่ตัวจิ๋วที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในสระท่ามกลางไฟที่สาดส่องพอให้เห็นสลัวๆชวนให้ผมนึกจินตนาการถึงนางเงือกแสนสวยที่แหวกว่ายวนไปมาขาเรียวขาวได้รูปไร้ไขมันปะปนที่กำลังตีขาบนน้ำก็ดูน่าหลงใหลชวนให้นึกถึงเวลาที่ขาเรียวงามสองข้างมาพาดบนบ่ากว้างของผมมันคงให้ความรู้สึกดีไม่น้อยเลยทีเดียวบิกินี่สีแดงสดช่างขับผิวของแม่ไอ้คิวได้ดีเหลือเกินเพราะเมื่อมันทาบลงบนร่างอรชรยิ่งทำให้ตัดกับสีผิวขาวผ่องไปทั้งตัวจริงๆ สายเส้นเล็กๆที่เกาะต้นคอเนียนนั่นดูเกะกะตาดีเหลือเกินเห็นแล้วผมอยากกระตุกมันออกทิ้งไปไม่นานเหมือนว่าแม่ไอ้คิวคงจะว่ายน้ำจนเหนื่อยแล้วมั้ง ร่างบอบบางของเธอจึงเดินขึ้นมานั่งบนขอบสระ หลังจากนั้นเธอก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอวันนี้นั่นก็คือแม่ไอ้คิวปลดบิกินี่ทั้งท่อนบนและท่อนล่างออกจนเหลือแต่เนื้อตัวเปลือยเปล่าท้าสายลมจากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมช้าๆราวกับว่าไม่ได้รู้สึกอะไรที่อยู่ๆก็แก้ผ้าท้าลมหนาวเช่นนี้ขนผมลุกซู่หอบหายใจรัวเลยล่ะรู้สึกว่าหัวใจทำงานหนักมากเวลานี้ ไม่ใช่แต่ขนนะที่ลุก ‘อย่างอื่น’ ผมก็ลุกเช่นกัน‘ให้ตายเถอะนี่แม่เพื่อนนะไอ้โจ้ท่องไว้แม่เพื่อน...แม่เพื่







