LOGINถึงแม้คำขู่ของอเล็กซี่จะทำให้ฉันชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใจฉันหวั่นไหวแม้แต่น้อยฉันมองว่ามันก็แค่เสียงหมาเห่าหอน จึงเพียงเบี่ยงตัวหลบ แล้วเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ
ถุงข้าวต้มปลาในมือส่งกลิ่นหอมอบอวล ของโปรดของแม่ จากร้านเจ้าประจำชื่อดังหน้าปากซอยทางเข้าคอนโด ฉันเผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงใบหน้าแม่ที่กำลังรออยู่ในบ้าน… รอยยิ้มอบอุ่นที่ฉันคุ้นเคยมาทั้งชีวิต
ทันทีที่เสียง คลิก ดังขึ้น ประตูค่อย ๆ เปิดออกแสงสุดท้ายของวันสาดเข้ามากระทบดวงตา ฉันยกมือขึ้นบัง หรี่ตามองผ่านแสงนั้น แม่ของฉันนอนนิ่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว ท่ามกลางความเงียบงันของห้อง“แม่จ๋า… ลูกกลับมาแล้วจ้ะ”
“แม่...”เสียงของฉันสั่นระรัว ขณะก้าวเข้าใกล้ทีละก้าว ใบหน้าของแม่เรียบนิ่ง ไร้การตอบกลับ ความหวาดกลัวค่อย ๆ กัดกินใจ มือที่ยื่นออกไปแตะบนแขนแม่เริ่มสั่นเทา ผิวที่เคยอบอุ่น… กลับเย็นเฉียบจนใจฉันแทบหยุดเต้น
“แม่…?”
เสียงฉันเบาหวิวแทบขาดหาย พลางยกหลังมือขึ้นแตะที่ลำคอของแม่ ชีพจรนั้น… นิ่งสนิทโลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุน หายใจแทบไม่ออก มือสั่นเทาคว้าโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เสียงรอสายของเจ้าหน้าที่ดังแข่งกับจังหวะหัวใจที่แทบระเบิด
“ช่วยด้วยค่ะ! แม่ฉัน… แม่ไม่หายใจ!”
ความกลัว ความสับสน และความเสียใจพุ่งทะลุหัวใจฉัน น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย มือสั่นรัวราวกับจะคว้าทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเพื่อยึดเหนี่ยวตัวเอง แต่ไม่มีอะไรช่วยให้ใจสงบได้เลยไม่นาน เสียงไซเรนแว่วมาจากที่ไกล ก่อนจะค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟสีแดงวาบสะท้อนบนผนังห้อง ประตูถูกผลักออก เจ้าหน้าที่กรูกันเข้ามา อุปกรณ์ในมือส่องแสงเย็นเฉียบ พวกเขารีบช่วยกันยื้อชีวิตแม่ เสียงเครื่องตรวจชีพจรดังเป็นจังหวะสั้นๆ ฉันยืนมองอยู่ข้างๆ มือกำแน่น น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ความหวังและความกลัวปะปนกันอยู่ในหัวใจ ราวกับทั้งจักรวาลหยุดหมุนรอผลลัพธ์ของวินาทีนี้
เวลาผ่านไป... เหมือนนิรันดร์ ทุกเสียงค่อย ๆ เงียบลง เหลือเพียงเสียงหัวใจฉันที่เต้นแผ่ว หนึ่งในเจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้น สบตาฉันนิ่ง ๆ ก่อนเอ่ยช้า ๆ
“แม่คุณ… จากไปอย่างสงบครับ”
***เสียงนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว แม้เวลาจะผ่านไปหลายวัน สายฝนโปรยปรายแผ่วเบาเหนือสุสานบาทหลวงยกไม้กางเขนขึ้นเหนือหลุมศพ เสียงทุ้มของเขาเรียบช้า เต็มไปด้วยความสงบและศรัทธา “ขอให้ดวงวิญญาณของเธอได้พบแสงสว่างนิรันดร์ และให้ผู้ที่ยังอยู่ ได้รับความเข้มแข็งจากความรักที่ยังคงอยู่…”เสียงภาวนาดังคลอไปกับเสียงฝนกระทบดิน กลิ่นดอกลิลลี่ลอยอวลในอากาศ อ่อนโยนราวกับกำลังปลอบประโลมความสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืน
ฉันยืนอยู่ข้างหลังเงียบ ๆ มีเพียงไม่กี่คนที่มาร่วมส่งแม่เป็นครั้งสุดท้ายร่มในมือสั่นไหวตามแรงลม ดอกไม้สีขาวเปียกชื้นจนกลีบเริ่มร่วง
บาทหลวงปิดคัมภีร์อย่างช้า ๆ ก่อนถอยหลังไปพร้อมคำภาวนาสุดท้ายผู้คนทยอยออกจากสุสานทีละคน เหลือเพียงเสียงรองเท้าที่ค่อย ๆ จางหายไปในระยะไกลแนนซี่ยกมือโอบหลังฉันเบา ๆ เป็นสัญญาณแห่งการปลอบใจ ก่อนจะถอยห่างออกไป จางหายไปพร้อมสายฝนที่เริ่มซา
ฉันยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น รองเท้าดำจมอยู่ในดินชื้น กลิ่นฝนและกลิ่นดินปะปนอยู่ในลมหายใจ มือที่กำดอกลิลลี่ขาวแน่นจนกลีบยับสั่นอยู่กลางอากาศ โลกทั้งใบพร่ามัว... ราวกับภาพที่ยังไม่ถูกโฟกัส
“แม่...” เสียงเรียกนั้นแทบไม่หลุดจากลำคอ
แล้วในความเงียบนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากด้านหลัง แล้วขยับมาขนานข้าง สูทนิ่มถุกคลุมบนไหล่ฉัน อย่างแผ่วเบา น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มั่นคง
“ท่าน… คงภูมิใจในตัวคุณ” “ผมจะอยู่กับคุณตรงนี้… จนกว่าคุณจะกลับ”เพียงไม่กี่วินาที… แต่เหมือนทุกสิ่งรอบตัวหยุดนิ่ง
ฉันเงยหน้าขึ้นตามเสียงนั้น เห็นอารัญในเสื้อเชิ้ตสีเรียบ ยืนตรงอย่างสุภาพ ท่าทางของเขาสงบและมั่นคงราวกับกำลังพยุงโลกทั้งใบไว้ไม่ให้ฉันล้มใบหน้าของเขาแฝงทั้งความอ่อนโยนและความเข้มแข็ง เมื่อเขาเงยสายตาขึ้นมองฉันช้า ๆ ในแววตานั้น… มีบางอย่างอบอุ่น ลึกซึ้ง และอ่อนโยน ราวกับคนที่เคยผ่านความสูญเสียมาก่อน เข้าใจความเจ็บปวดที่ฉันกำลังเผชิญโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด
ความรู้สึกซึ้งใจและสับสนประดังเข้ามาในอก ความอบอุ่นจากสายตาและคำพูดของเขา ค่อย ๆ หลอมละลายความเหน็บหนาวในใจที่ฉันไม่อาจปกปิดได้อีก
อารัญ… ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ชายในกรอบเลนส์อีกต่อไป
“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







