LOGINนับวัน แม่ยิ่งอ่อนแรงลง ผิวซีดบางราวกระดาษ ฉันประคองแม่ขึ้นจากเตียงช้า ๆ
“แม่คะ ดื่มชาสักหน่อยนะ”ฉันยื่นแก้วชาอุ่นให้ ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านม่านบาง ๆ เข้ามาในห้องแม่รับแก้วไปด้วยมือสั่นนิด ๆ แล้วยกขึ้นจิบ
“ไปทำงานเถอะลูก” เสียงท่านยังคงอ่อนโยน แม้แผ่วลงกว่าเดิม “ภาระหน้าที่สำคัญกว่า ถึงแม่จะอายุมากแล้ว แต่ก็ดูแลตัวเองได้”แม่ของฉันเข้มแข็งเกินกว่าที่ฉันจะเอ่ยคำท้อ รอยยิ้มของท่านเป็นทั้งพลังและความเจ็บในเวลาเดียวกัน ข้อความจากวรากรยังค้างอยู่บนหน้าจอ
“ เข้าพบ ท่านประธาน วันนี้ 11โมงชั้น64”
ฉันมองข้อความนั้นอยู่ครู่หนึ่ง สูดหายใจลึก แล้วหันกลับมาตอบแม่
“ค่ะ แม่”***
ที่สำนักงาน StrideX Group ชั้น 64
ก๊อก… ก๊อก… “เข้ามาเลยครับ” เสียงทุ้มเรียบดังขึ้นจากด้านในฉันผลักประตูที่แง้มไว้เข้าไปช้า ๆห้องรับรองหรูหราบนชั้นสูงสุดของตึกระฟ้าปรากฏต่อสายตา ม่านบางสีครีมพลิ้วไหวรับลมจากระเบียง ทุกอย่างในห้องดูสงบจนเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
ทั้ง เฟอร์นิเจอร์เรียบหรู โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และชั้นวางที่เต็มไปด้วยกรอบรูปเรียงราย ราวกับเป็นที่เก็บ “ความทรงจำ”มากกว่าของตกแต่งฉันก้าวเข้าไปอีกนิด
“เริ่มได้เลย” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น พร้อมกับเขาหันหน้ามามองฉัน
กระจกบานใหญ่ด้านข้างสะท้อนภาพชายในชุดเรียบหรูไร้ที่ติ ราวกับทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างพอดี
“ค่ะ” ฉันตอบเบา ๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก
ฉันขยับเข้าไปทีละก้าว ตรวจดูแสงจากกระจก ปรับมุมกล้อง แล้วค่อยยกขึ้นแนบตา มองผ่านช่องเล็ง
ปลายนิ้วแตะปุ่มชัตเตอร์ แชะ! เสียงเดียวสะท้อนก้องในห้องที่เงียบสนิท
อารัญขยับศีรษะเล็กน้อยตามคำแนะนำของฉัน ฉันก้มลงดูภาพในหน้าจอ เช็กโฟกัส แล้วเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเราประสานกันอย่างจัง เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนเวลาหยุดลง ฉันรีบหลบสายตา ยกกล้องขึ้นใหม่ ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
***
ระหว่างพัก ฉันมองความหรูหรารอบตัวพลางก้าวไปด้วยแรงดึงดูด ปลายนิ้วแตะขอบโต๊ะไม้สัก พลัน สายตาสะดุดกับ “ภาพในกรอบไม้เก่า” ที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่ง ฉันเอียงหน้ามอง ภายในนั้นคือภาพถ่ายของเด็กชายคนหนึ่งที่ยิ้มเคียงข้างหญิงสาวผมยาว“อย่าหยิบของที่ไม่เกี่ยวข้อง” เสียงทุ้มเย็นดังขึ้นทันที
ฉันรีบชักมือกลับ “ขะ...ขอโทษค่ะ ฉันแค่ ”เขาเดินมาหยุดที่ข้างๆฉัน
“นั่นคือคนที่ฉันล้มเหลวในการปกป้อง” นิ้วโป้งของเขาลูบขอบกรอบไม้ช้า ๆ ราวกับจะส่งคำขอโทษให้คนในภาพฉันยืนนิ่ง หันมองเสี้ยวหน้าของเขา เห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ใต้ความสงบนิ่งนั้นอย่างชัดเจน … ฉันรู้ว่าเบื้องหลังดวงตาที่เข้มแข็งของอารัญ คือรอยแผลลึกที่ยังไม่เคยมีใครแตะต้อง…
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนกรอข้าม แดดบ่ายสาดลงบนพื้น ฉันเดินลงมาด้านล่างของอาคาร ผ่านทางเดินไปยังห้องพักน้ำชาและกาแฟความสงบที่นี่ถูกทำลายเล็กน้อยด้วยเสียงพนักงานสองคนคุยกันดังลอดออกมา“เห็นไหม คุณ อารัญ เริ่มพาเด็กช่างภาพมาด้วยตลอดเลย” เสียงหนึ่งกระซิบอย่างตื่นเต้น แฝงความอยากรู้อยากเห็น“เธอคนนั้นเหรอ… ช่างภาพในงาน Gala น่ะ?” อีกเสียงตอบพร้อมหัวเราะเบา ๆ ราวกับกำลังซุบซิบเรื่องราวลับ
“ระวังเถอะ เดี๋ยวโดนสาว...จิกเอา”
เสียงหัวเราะแหบพร่าปนความหมั่นไส้ดังตามหลังมา
ฉันได้ยินชัดทุกคำ แต่ไม่ได้สนใจ เดินเลยผ่านไปเหมือนเสียงนั้นเป็นแค่ลมพัดผ่าน
…
จนเวลาเลิกงาน ฉันก้าวออกจากประตูอาคาร ลมเย็นพัดใบปาล์มไหวเบา ๆ หญิงสาวร่างสูงในชุดสูทขาวเรียบหรูยืนรออยู่ริมฟุตบาธ ริมฝีปากแดงยกขึ้น ราวจะทักทาย แต่สายตาของเธอยังคงเยือกเย็น“ อเล็กซี่” เสียงฉันแผ่วเบากับตัวเอง
“ลิลิน โฮชิคาวะ… ช่างภาพคนพิเศษของคุณอารัญ”
น้ำเสียงของเธอนุ่ม แต่แฝงแรงกดดันชัดเจน“ฉันไม่ได้พิเศษอะไรค่ะ แค่ทำงานตามหน้าที่”
อเล็กซี่หัวเราะในลำคอ
“แน่ใจเหรอคะ? สำหรับคุณอารัญ... ไม่มีใครได้อยู่ใกล้ขนาดนั้นง่าย ๆ หรอก”หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นทุกวินาที ลมเย็นพัดผ่าน แต่ความร้อนจากสายตาของเธอกลับทำให้รู้สึกราวกับถูกตรวจสอบทุกลมหายใจ
ฉันก้าวถอยอีกก้าว แต่เธอไม่ถอยตาม กลับก้าวเข้ามาใกล้แทน ระยะห่างลดลงจนฉันแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเธอ
เธอยืนมั่นคง ริมฝีปากแดงยกขึ้นเล็กน้อย แต่แววตาไม่เคยอ่อนโยน เธอหัวเราะอีกครั้ง แล้วก้าวเข้ามาใกล้จนแทบชิด สายตาคมฟาดมาที่ฉันเต็มแรง แล้ว... เธอพูดเพียงคำเดียว จนฉันชะงัก
“ระวังตัวหน่อยนะ... ลิลิน”
เธอ ขู่ ฉันเหรอ อเล็กซี่“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







