로그인หลังจากส่งแม่ได้พบกับความสงบชั่วนิจนิรันดร์แล้ว ความเงียบในบ้านยังคงอยู่ชั่วคราว แต่รอยยิ้มอ่อนโยนของแม่ยังอบอุ่นเป็นแสงสว่างให้ฉันในทุกๆวัน
ยิ่งใกล้วันเปิดตัวแคมเปญใหญ่ของ ‘Quantum Prime’
ชีวิตก็ยิ่งหมุนเร็วราวเครื่องจักรที่ไม่เคยพัก ทุกบทความ ทุกภาพ ต้องเป๊ะ ต้องดึงดูด ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ฉันอยู่แต่ในห้องถ่ายภาพและสตูดิโอที่สว่างวาบด้วยไฟนับสิบดวง แสงที่เจิดจ้าจนแทบกลืนความเหนื่อยล้าและในทุกวัน อารัญ ก็อยู่ตรงนั้นเสมอ บางครั้งเขายืนพิงกำแพง มีกาแฟในมือ บางครั้งแค่ยืนนิ่ง มองมาโดยไม่พูดอะไร
แต่ทุกครั้งที่ฉันเผลอเหลือบสายตาไป… เขาก็หันกลับมาสบตาในจังหวะเดียวกัน ราวกับรู้ทันความคิดทุกอย่างในหัวฉัน
ไม่มีคำพูด มีเพียงลมหายใจที่คล้ายจะประสานกันโดยบังเอิญ...
หรือบางที มันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยก็ได้.***แล้ว... วันงานก็มาถึงแสงไฟทั่วฮอลล์ค่อย ๆ ดับลง เหลือเพียงเส้นแสงสีฟ้าที่เลื่อนผ่านพื้นเวทีราวกับกระแสพลังงานกำลังปลดปล่อย เสียงชีพจรเบา ๆ ดังขึ้นในลำโพง ก่อนเสียงทุ้มลึกของพิธีกรเอ่ยขึ้นช้า ๆ
“ในทุกก้าวที่คุณเดิน… โลกกำลังจดจำทุกการเคลื่อนไหวของคุณ และวันนี้ StrideX จะเปลี่ยนข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นพลัง”
ม่านแสงเปิดออก เผยให้เห็น อารัญ ในชุดสูทสีเทาเข้ม เดินออกมาช้า ๆ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ก้องสะท้อนทั่วฮอลล์
บนจอ LED ด้านหลังปรากฏโลโก้ Quantum Prime เส้นสายโค้งคมเรืองแสง คล้ายวงโคจรของอนุภาคพลังงาน“Quantum Prime ไม่ใช่แค่รองเท้า แต่คือระบบชีวภาพอัจฉริยะที่เรียนรู้จากทุกย่างก้าวของคุณ”
“เพราะเราเชื่อว่าเทคโนโลยีที่แท้จริง… ควรเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ไม่ใช่เพียงสิ่งที่คุณสวมใส่”เสียงปรบมือดังอีกครั้ง พื้นเวทีเปล่งแสงสีเงิน เผยภาพ รองเท้า Quantum Prime รูปทรงเฉียบ เรียบสง่า ลวดลายเส้นพลังเรืองแสงเคลื่อนไหวช้า ๆ ราวมีชีวิต
ฉันยืนอยู่มุมเวที มือกำกล้องแน่น ปลายนิ้วเย็นเฉียบจากความตื่นเต้น แฟลชจากกล้องสาดวาบรัว เสียงชัตเตอร์และเสียงหัวใจผสมกันเป็นจังหวะเดียว
อเล็กซี่ ในชุดสูทสีแดงเลือดหมู ถือ ไมโครโฟนไร้สาย ก้าวขึ้นไปใกล้แท่นรองเท้า เธอเริ่มด้วยคำถามปกติ
“รองเท้า Quantum Prime แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างไรคะ?”
อารัญยิ้มบาง ๆ ตอบช้า ๆ แต่ชัดเจน
“รองเท้า Quantum Prime ออกแบบใหม่ทุกส่วน ผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสุด ที่เรียนรู้ทุกการก้าว เพื่อให้สมดุลทั้งความสวยงามและการทำงานรองรับทุกการเคลื่อนไหวของคุณ”
แฟลชจากกล้องยังรัวต่อไป แต่จังหวะเริ่มก่อตัวของความตึงเครียดเตรียมขึ้นทันใดนั้น สายตาของอเล็กซี่เหลือบมองฉันอย่างเย็นชา ก่อนที่เธอจะยิงคำถามที่ไม่มีใครกล้าเอ่ย
“คุณอารัญคะ! ข่าวลือเรื่องคุณกับช่างภาพคนใหม่… เป็นความจริงไหมคะ?”
ทุกอย่างรอบตัวเหมือนหยุดชั่วขณะ ฉันชะงัก มือที่ถือกล้องสั่นจนแทบหลุดจากนิ้ว เสียงแฟลชกระหน่ำราวกระสุน แต่เป้าหมายตอนนี้ชัดเจน… เป็นฉัน
อารัญเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงมั่นคงและหนักแน่น
“ใช่… เธอคือคนที่ฉันเลือกจะร่วมงานด้วย”
เสียงฮือฮากระจายออกไป กล้องหันไปทุกทิศ สายตาของเขากวาดมาที่ฉัน ราวกับบอกว่า “ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ข้างเธอ”
ผู้บริหารบางคนสีหน้าตึง แต่ฉันไม่ได้สนใจ นอกจากเสียงหัวใจและความมั่นใจที่เขามอบให้ฉันหลบมุมเวที ค่อย ๆ ตั้งสติ แต่ในใจ… รู้ชัดว่าความจริงและแรงปกป้องนั้นชัดเจนยิ่งกว่าคำถามใด ๆ***
ผู้คนที่มาร่วมงานเริ่มทยอยออกจากฮอลล์ เสียงพูดคุยค่อยๆ จางลง เหลือเพียงเสียงรองเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะเบา ๆ ที่สะท้อนอยู่ในอากาศกลุ่มหญิงสาวในเดรสหรูเดินสวน พลางมองฉันด้วยหางตาจากหัวจรดเท้าก่อนเชิดคอตรง แสงนีออนเย็น ๆ จากเพดานยังคงส่องสะท้อนบนผนังกระจกใส ทอดเงาฉันซ้อนกับภาพของผู้คนที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ฉันก้มลงเก็บของใส่กระเป๋า มือสั่นนิด ๆ ไม่รู้เพราะเหนื่อย หรือเพราะคำถามของนักข่าวคนนั้นที่ยังดังก้องในหัวอารัญยืนอยู่ไม่ไกล เขามองฉันครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้ามาใกล้
แล้วหยุดตรงหน้าฉันในระยะลมหายใจ ดวงตาคมนิ่งมองฉันอย่างไม่กระพริบ พลางยื่นมือมาแตะกระเป๋ากล้อง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ“ผมไม่ได้โกหก..ลิลิน”
ฉันยกสายตาขึ้น เห็นเพียงแววตาทีคมชัด ในใบหน้าที่เรียบนิ่ง หัวใจเต้นแรงจนแทบได้ยินเสียงสะท้อนในความเงียบของเมือง
แล้วแชะ!เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมแสงแฟลชวาบ ตัดขาดช่วงหายใจของฉันในทันที ฉันหันขวับ มองตามไป เห็นเพียงเงาคนหนึ่งรีบชักกล้องกลับแล้วหายลับไปในมุมมืดของฮอลล์
ลมหายใจฉันสะดุด อารัญมองตามเงานั้น แววตาเขาแข็งขึ้นในเสี้ยววินาทีพลางเปล่งเสียงเข้ม
“ใคร…”
“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







