تسجيل الدخول
ค.ศ. 2005 - บ้านเก่าคาร์เตอร์
เสียงเครื่องบินเจ็ตพาดผ่านท้องฟ้ากว้าง... เด็กหญิงตัวเล็กในชุดกระโปรงลายลูกไม้สีซีด ยืนเกาะขอบหน้าต่างมองออกไปที่สวนดอกกุหลาบที่เริ่มเหี่ยวเฉา แววตาของ อีวา คาร์เตอร์ วัยห้าขวบเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ในมือถือตุ๊กตาผ้าที่ขาดวิ่น
“ย่า... ย่าจะยังรักบ้านนี้ใช่ไหมคะ ถ้าหนูต้องไปอยู่ที่อื่น” เสียงเล็กๆ ถาม คุณย่าแคโรไลน์ ที่กำลังกอดเธอแน่นอยู่ข้างๆ
“บ้านหลังนี้คือชีวิตของย่าอีวา... คือทุกอย่างที่เราเหลืออยู่” แคโรไลน์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พลางกวาดสายตาไปยังรั้วไม้ที่กั้นอาณาเขต ซึ่งถัดไปคือบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่โตโอ่อ่าของตระกูล แบล็กเวลล์
“หนูเกลียด! เกลียดพวกแบล็กเวลล์!” อีวาพึมพำอย่างไม่เข้าใจ แต่รู้ดีว่าความทุกข์ของย่ามาจากคนพวกนั้น
ประตูบ้านเปิดผางออกทันที ดีแลน แบล็กเวลล์ ในวัย 15 ปี ร่างสูงโปร่งเต็มไปด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยามเดินเข้ามาพร้อมบิดาของเขา
"พวกเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว คาร์เตอร์!" ดีแลนพูดเสียงดังกร้าว "บ้านหลังนี้... และที่ดินผืนนี้... เป็นของตระกูลแบล็กเวลล์แล้ว"
ภาพสุดท้ายที่อีวาจำได้ในวันนั้นคือภาพใบหน้าเศร้าสร้อยของคุณย่าที่ถูกดึงออกไปจากบ้านอย่างทุลักทุเล และสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยามของเด็กชายดีแลนที่
มองตามเธอมา
แสงอาทิตย์จางๆ
บ้านของตระกูล คาร์เตอร์ ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ ชานเมือง เป็นบ้านไม้โอ๊กสีขาวขนาดใหญ่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของความมั่งคั่ง แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาและสถานะที่เริ่มตกต่ำ
เสียงเปียโนเก่าในห้องรับแขกบรรเลงเพลงคลาสสิกเบา ๆ นั่นคือเสียงของ คุณย่าแคโรไลน์ ผู้ซึ่งรักษามารยาทและความสง่างามของตระกูลไว้ไม่ให้ร่วงหล่นไปตามฐานะที่ย่ำแย่ลง
อีวา คาร์เตอร์ ในวัยห้าขวบ สวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีอ่อนวิ่งเล่นอยู่ใต้ต้นเมเปิลใหญ่ในสวนที่เคยเขียวชอุ่ม แต่บัดนี้เริ่มมีหญ้าวัชพืชขึ้นแซมแซม แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงมาบนเรือนผมสีทองอ่อน ๆ ของเธอ ซึ่งเป็นประกายเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากความรุ่งโรจน์ของตระกูล
อีวาไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจที่ซับซ้อน เธอรู้แค่ว่าบ้านของเธอมีคนแปลกหน้ามาเยี่ยมบ่อยขึ้น ย่ามักจะเคร่งเครียดกับการคุยโทรศัพท์นาน ๆ และดอกกุหลาบที่ย่ารักก็เริ่มเหี่ยวเฉาลงทุกวัน
กำแพงอิฐสีเทาเก่า ๆ เป็นเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างบ้านของตระกูลคาร์เตอร์ กับคฤหาสน์หินอ่อนหลังใหม่ที่โอ่อ่าทันสมัยของตระกูล แบล็กเวลล์
ครอบครัวแบล็กเวลล์ คือ ลูคัส แบล็กเวลล์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จจากการเข้ายึดธุรกิจของคู่แข่งอย่างโหดเหี้ยม และนั่นรวมถึงการพยายามบีบธุรกิจเก่าแก่ของตระกูลคาร์เตอร์ด้วย
ความบาดหมางระหว่างสองครอบครัวไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องธุรกิจ แต่มันเป็นความเกลียดชังที่ฝังลึกราวกับเป็นมรดกตกทอด แคโรไลน์ คาร์เตอร์ มองว่าตระกูลแบล็กเวลล์คือพวกไร้รากฐานที่ใช้เงินซื้อทุกอย่าง ส่วนลูคัส แบล็กเวลล์ ก็มองว่าตระกูลคาร์เตอร์เป็นพวกหัวเก่าที่ล้าสมัยและสมควรจะถูกกำจัดไปจากแผนที่ธุรกิจเสียที
วันหนึ่ง อีวากำลังวิ่งตามลูกบอลของเธอที่กลิ้งหลุดเข้าไปในฝั่งของตระกูลแบล็กเวลล์
ที่นั่น... เด็กชายวัยสิบห้าปี กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ร่มเงาไม้ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความเย็นชา ดีแลน แบล็กเวลล์ ลูกชายคนเดียวของลูคัส
อีวาเดินเข้าไปใกล้ด้วยความกลัว ๆ กล้า ๆ
“เอ่อ... ลูกบอลของฉัน” เสียงเล็ก ๆ เอ่ย
ดีแลนเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมกริบมองอีวาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วย ความดูถูก ชัดเจน
“นี่มันที่ดินของฉัน” ดีแลนพูดเสียงเรียบ แต่เต็มไปด้วยอำนาจ “ของสกปรกพวกนั้นไม่ควรมาแตะต้องที่นี่”
เขาไม่ขยับตัวไปหยิบลูกบอลให้ แต่กลับยกเท้าขึ้นเหยียบมันอย่างจงใจ แรงเหยียบทำให้ลูกบอลแบนติดพื้นแล้วแตกดัง ป๊อบ!
อีวาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ น้ำตาคลอเบ้า ดีแลนยืนขึ้นเต็มความสูง ก้มลงมองเด็กหญิงด้วยสายตาที่เย็นชาจนน่ากลัว
“จำไว้ อีวา คาร์เตอร์” ดีแลนกระซิบเสียงต่ำ “ทุกอย่างที่เป็นของตระกูลเธอ... ฉันไม่ชอบ และฉันเกลียดมัน ฉันจะรอดูวันที่ทุกสิ่งที่เป็นของพวกเธอ... หายไปจากที่นี่ทั้งหมด”
อีวาวิ่งร้องไห้กลับไปหาย่า แคโรไลน์กอดหลานสาวแน่นพลางมองข้ามรั้วไปยังบ้านหลังใหญ่ของแบล็กเวลล์ด้วยความโกรธแค้นในใจ เธอรู้ดีว่าคำพูดของเด็กชายวัยสิบห้าคนนั้น ไม่ได้มาจากตัวเขาเอง แต่มาจากคำสอนของบิดาที่ต้องการทำลายตระกูลคาร์เตอร์อย่างแท้จริง
นั่นคือครั้งแรกที่ อีวา สัมผัสได้ถึงความเกลียดชังอย่างรุนแรง และมันเป็นเชื้อไฟที่ทำให้เธอต้องจำ
ภาพ ดีแลน แบล็กเวลล์ ไปตลอดชีวิต
บทเสริม: ความท้าทายใหม่—การเป็นผู้นำด้านศีลธรรม การกลับเข้าสู่สาธารณะชนในฐานะผู้ไถ่บาปหลายปีหลังจากที่ ดีแลน แบล็กเวลล์ยุติสงครามกับบิดาและทิ้งอาณาจักรธุรกิจของเขาไป เขาก็ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบในฐานะคุณพ่อและผู้บริหารมูลนิธิ อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเขาในฐานะอดีตซีอีโอที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อความถูกต้องและภรรยาของเขา ก็ยังคงดึงดูดความสนใจจากโลกภายนอกอยู่เสมอมูลนิธิคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ ไม่ได้เป็นเพียงองค์กรการกุศล แต่กลายเป็น สถาบันทางความคิด ด้านจรรยาบรรณธุรกิจ ดีแลนและอีวาเริ่มได้รับคำเชิญให้ไปพูดในที่สาธารณะ โดยเฉพาะจากสถาบันการศึกษาและกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ดีแลนตัดสินใจที่จะกลับเข้าสู่สาธารณชนอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อแสวงหาอำนาจ แต่เพื่อ มอบบทเรียนที่เขาได้รับมาจากการไถ่บาปของเขา ปาฐกถาที่มหาวิทยาลัย: บทเรียนจากความมืดมิด วันหนึ่ง ดีแลนได้รับเชิญให้ไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งเป็นสถาบันที่เขาเคยบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อล้างภาพลักษณ์ของตระกูลในอดีต แต่คราวนี้เขามาในฐานะ วิทยากรที่มีความซื่อสัตย์เมื่อดีแลนยืนอยู่บนเวที ห้องประชุมเต็มไปด้วยนักศึกษาและนักธุรกิจที่ต่างจ
บทเสริม: ช่วงเวลาแห่งแสงแดด—ฤดูหนาวในบ้านที่อบอุ่น พลังงานของฤดูหนาว (The Winter Solace)เป็นช่วงกลางฤดูหนาวในคฤหาสน์บนเนินเขาหลังใหม่ของครอบครัวแบล็กเวลล์ แม้ภายนอกจะปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือก แต่ภายในบ้านกลับอบอวลไปด้วยไออุ่นจากเตาผิงและกลิ่นหอมของช็อกโกแลตร้อนที่ อีวา กำลังเตรียมอยู่ลูก ๆ ทั้งสามคนกำลังวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมของตนเองในห้องนั่งเล่น:อีธาน (วัยเจ็ดขวบ) นั่งอยู่บนพรมหน้าเตาผิง เขากำลังพยายามสานผ้าพันคอสีเข้มให้กับ ดีแลนโดยมีสมาธิอย่างสูง ตามแบบฉบับของเขาที่ชอบทำงานฝีมือที่ละเอียดอ่อนโนอาห์ (วัยหกขวบ) ที่เต็มไปด้วยพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ กำลังก่อสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่จากหมอนอิงและผ้าห่มกลางห้อง เขามักจะอธิบายถึงโครงสร้างของป้อมปราการอย่างละเอียดด้วยศัพท์ทางวิศวกรรมที่เขาไปค้นคว้ามาลินน์(วัยหกขวบ) ผู้มีจิตใจอ่อนโยนและจินตนาการกว้างไกล กำลังนั่งวาดรูปครอบครัวอยู่บนโต๊ะกาแฟ เธอวาดกุหลาบขาวดอกใหญ่ไว้ที่มุมหนึ่งของภาพเสมอดีแลน กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เก่า ๆ (เขาไม่สนใจข่าวสารทางธุรกิจอีกต่อไป) แต่ดวงตาของเขากลับมองเลยขอบกระดาษเพื่อเฝ้าดูลูก ๆ ของเขาอย่างเงียบ ๆอีว
บทเสริม: การเดินทางเพื่อรำลึก—การกลับไปสู่จุดเริ่มต้น วันครบรอบ การเดินทางที่ไม่ใช่การหนีเจ็ดปีผ่านไปนับตั้งแต่ ดีแลน แบล็กเวลล์ และ อีวา คาร์เตอร์ เริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของพวกเขา และครบรอบห้าปีนับตั้งแต่การกำเนิดของลูกแฝด โนอาห์ และ ลินน์ ชีวิตของพวกเขาถูกเติมเต็มด้วยความสุขสงบ และการเติบโตของลูก ๆ ทั้งสามปีนี้ในวันครบรอบ ดีแลนและอีวาตัดสินใจที่จะเดินทางไปพักผ่อนเพียงลำพัง โดยฝาก อีธาน, โนอาห์, และ ลินน์ ไว้กับพี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้ การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางเพื่อการพักผ่อนทั่วไป แต่เป็นการเดินทางเพื่อ รำลึกถึงจุดเริ่มต้น ของพวกเขาจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือ ที่ดินเก่าของตระกูลคาร์เตอร์ ที่ตอนนี้ถูกพัฒนาเป็น ศูนย์การเรียนรู้และยุติธรรมสำหรับเยาวชน ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ ที่ดินนี้เคยเป็นจุดเริ่มต้นของความแค้นและความเจ็บปวดทั้งหมดของพวกเขาการเดินทางที่เงียบสงบดีแลนขับรถไปอย่างช้า ๆ มือของเขากุมมือของอีวาไว้ตลอดทาง พวกเขาสื่อสารกันด้วยความเงียบมากกว่าคำพูด ความเงียบที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและซาบซึ้งในเส้นทางที่พวกเขาได้เดินผ่านมาอีวา: "คุณยังจำได้ไหมคะ ดีแลน วันที่คุณ
บทเสริม: การเติบโต—ปีที่สี่ของแบล็กเวลล์น้อยความวุ่นวายที่มีระเบียบ (Structured Chaos)สี่ปีผ่านไปอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่การกำเนิดของลูกแฝด โนอาห์และ ลินน์ บ้านคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ไม่ได้เป็นเพียงบ้านที่อบอุ่นอีกต่อไป แต่เป็นศูนย์กลางของพลังงานที่ไม่เคยหยุดนิ่ง อีธานตอนนี้อายุห้าขวบ เป็นพี่ชายที่รักน้องและเป็นผู้ช่วยตัวน้อยของพ่อแม่ ส่วน โนอาห์และ ลินน์ แฝดสี่ขวบ กำลังอยู่ในช่วงของการค้นพบโลกและเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สิ้นสุดดีแลนผู้ที่เคยเป็นซีอีโอที่เคร่งครัด ได้เปลี่ยนบทบาทเป็นคุณพ่อที่อดทนและมีไหวพริบ เขาใช้หลักการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่เขาเคยใช้ในบริษัทมาปรับใช้กับการเลี้ยงลูกได้อย่างน่าประหลาดใจในห้องครัวที่เต็มไปด้วยแสงแดด ดีแลน กำลังพยายามทำอาหารเช้าสามอย่างพร้อมกัน (โจ๊กสำหรับอีธาน, แพนเค้กสำหรับโนอาห์, และผลไม้สำหรับลินน์) ในขณะที่ต้องตอบคำถามที่ซับซ้อน:โนอาห์ "คุณพ่อคะ ทำไมพระอาทิตย์ต้องไปนอนด้วยคะ? โนอาห์ไม่เคยไปนอนตอนเที่ยงวันเลย!"ดีแลน"เพราะพระอาทิตย์ต้องให้ดวงจันทร์ได้ทำงานบ้างครับ ลูกชาย มันเหมือนกับการแบ่งปันหน้าที่กันในครอบครัวไงครับ"ลินน์(นั่งวาดรูปอยู่บนเก้า
เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคนิคในการสร้างข้อความ ความสุขที่สมบูรณ์แบบของครอบครัว (The Complete Joy) ยามเช้าในบ้านคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์: วงจรชีวิตใหม่บ้านคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ในช่วงเช้าไม่ได้เงียบสงบอีกต่อไป แต่เต็มไปด้วยพลังงานที่วุ่นวายและเสียงหัวเราะ ดีแลน ตื่นก่อนใครเสมอ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เพื่ออ่านรายงานการเงิน แต่เพื่อตรวจสอบอุณหภูมิห้อง, เตรียมขวดนมสองขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างสมบูรณ์แบบ, และเตรียมชาขิงให้กับ อีวาเมื่อลูกแฝด โนอาห์ (มักจะตื่นก่อนและมีเสียงดัง) และ ลินน์ (มักจะตื่นทีหลังและร้องเบา ๆ) เริ่มส่งเสียงร้องขออาหารเช้าจากห้องทารก อีธาน ลูกชายคนโตวัยสามขวบก็จะวิ่งลงจากเตียงและตรงมาที่ห้องพ่อแม่เพื่อขอให้ ดีแลน อุ้มเขาไปดูน้อง ๆดีแลน ที่เคยรังเกียจความวุ่นวายและสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ตอนนี้กลับโอบกอดความโกลาหลนี้ไว้ด้วยความสุขเต็มเปี่ยม เขาสามารถอุ้ม อีธาน ไว้ที่สะโพกข้างหนึ่ง ขณะที่ใช้มืออีกข้างผสมนมผงสำหรับแฝดได้อย่างชำนาญการทำงานเป็นทีมที่ไร้ที่ติอีวา ที่ออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน จะเดินตรงไปหา ลินน์ ทันที ขณะที่ดีแลนจัดการกับ โนอาห์ ที่เริ่มส่งเสียงเรียกร้องอย่าง
ความทรงจำของลูคัสและจุดจบของยุคสมัย ความเงียบเหงาที่ถูกควบคุม (The Controlled Solitude)หลังจากที่ ลูคัส แบล็กเวลล์ยอมลงนามในสัญญาการยอมรับความผิด เขาถูกย้ายไปยังสถานที่ดูแลส่วนตัวที่ห่างไกลออกไปภายใต้ข้อตกลงลับกับดีแลน ที่ซึ่งเขายังคงได้รับการดูแลทางการแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดที่เคยมี แต่เขาถูกตัดขาดจากการควบคุมโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงสถานที่นั้นเป็นคฤหาสน์ขนาดเล็กตั้งอยู่บนเนินเขาที่เงียบสงบ แต่สำหรับลูคัส มันคือ คุกที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีผู้บริหารคนใดมาเข้าพบ มีเพียงพยาบาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ถูกจ้างโดยดีแลนเท่านั้นการเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าตลอดชีวิตของลูคัส เขาเคยชินกับการกรอกเวลาทุกวินาทีด้วยการวางแผน การบงการ และการแสวงหาอำนาจ แต่ตอนนี้... เวลาว่างเปล่า ได้กัดกินเขาอย่างช้า ๆเขานั่งอยู่ในห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือที่ไม่เคยเปิดอ่าน มองออกไปนอกหน้าต่างที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่ความงามเหล่านั้นไม่ได้สร้างความหมายใด ๆ ให้กับเขาเลย“ฉันทำอะไรลงไป?” ลูคัสคิดในใจเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่การเสียดายที่สูญเสียธุรกิจ







