แชร์

บทที่ 16 (ต่อ)

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 20:58:14

 #####บทที่ 16 (ต่อ)

            “เจ้ามัน มันชั่วช้า! ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก” 

            มือข้างที่ถูกเข็มผิดนั้นไร้ความรู้สึกไปแล้ว เขาจึงใช้มืออีกข้างชี้หน้าซูเมิ่ง แม้พูดกระนั้นแต่ในใจหวั่นผวากลัวว่าที่ชายสวมหน้ากากขาวจะเป็นเรื่องจริง

            “แล้วแต่เจ้า หากมือข้างนั้นเจ้ากลับมารู้สึกเช่นเดิมเมื่อไรก็รู้ไว้เสียเลยว่าพิษนั้นออกฤทธิ์แล้ว ทีนี้เจ้าก็ลองพิสูจน์เอาเองละกันว่าเจ้าจะมีทายาทได้หรือไม่ แม่นางไปกันเถอะ”

            พอซูเมิ่งพูดจบก็เดินนำไปทันทีแต่ก็ไม่วายหันมามองชายร่างอ้วนอีกคราก่อนเอ่ยขึ้น

            “ลืมบอกไปหากรอจนพิษนี้ออกฤทธิ์มันไม่มีทางย้อนกลับล่ะ หากที่ข้าพูดเป็นจริงสิ้นทายาทแล้วสิ้นเลย” 

            ซูเมิ่งเเสยะยิ้มมุมปากก้าวเดินออกจากบริเวณนี้ สองมือกุมท้ายทอยจนลืมว่าตนพาสตรีอีกคนมาด้วย

            “พิษนั้นทำให้สิ้นทายาทจริงหรือเจ้าคะ คุณชาย”

            ไป๋จื่อเอ่ยขึ้นทำเอาซูเมิ่งสะดุ้งตื่นจากโลกส่วนตัวของตนหันมองสตรีที่ตนเองช่วยไว้จริงจังครั้งเเรก นางเป็นสตรีใบหน้ารูปไข่ รูปร่างและความสูงใกล้เคียงกับซูเมิ่งมาก หากไม่ดูมอมเเมมก็ถือว่าเป็นสาวงามนางหนึ่ง เป็นความงามที่ไม่โดดเด่นแต่สบายตา

            “ใช่ที่ไหนกัน ไหนเลยข้าจะพกยาจำพวกนั้นไว้กับตัว”

            ริมฝีปากบางหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็เเค่ยาชาทั่วไปเท่านั้นแหละ ครึ่งชั่งยามก็หายชาแล้ว”

            นี่จึงเป็นสาเหตุที่นางรีบเดินออกมา 

            ส่วนที่นางบอกชายร่างอ้วนไปก็ปดทั้งนั้น ให้เจ้าอ้วนนั่นร้อนรนหายาเเก้ไปนางจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงเยอะกว่านี้ …ร่างกายอันบอบบางนี้ไหนเลยจะเหมาะกับเรื่องแบบนี้กัน

            “คุณชายฉลาดที่สุดเลย แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ?” 

            ไป๋จื่อยิ้มตาหยีมองไปยังเจ้านายคนใหม่ของตนที่เดินอยู่ข้างหน้า ซึ่งพอซูเมิ่งได้ยินดังนั้นก็หยุดฝีเท้าทันที

            “อ้อ เรื่องเงินหนึ่งตำลึงนั่นเจ้ามิต้องถือสาอันใด จากนี้ไปเจ้าก็เป็นอิสระหางานทำเสียแล้วอย่ายอมขายตัวเป็นบ่าวมั่วซั่วอีกล่ะ ข้าไปแล้ว”

            ซูเมิ่งหมุนตัวเตรียมจะจากไปแต่นางก็ต้องก้มมองที่ขาตนเองเพราะนางรู้สึกเหมือนมีบางอย่างยึดไว้แน่น

            …เป็นไป๋จื่อที่ใช้สองเเขนกอดขานางไว้นั่นเอง

            “คุณชายมีพระคุณแก่ข้าชาตินี้ทั้งชาติข้าน้อยขอรับใช้คุณชายไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เจ้าค่ะ”

            ซูเมิ่งผ่อนลมหายใจออกอย่างแรงทีหนึ่ง นางย่อตัวลงจนสายตาอยู่ระดับเดียวกับไป๋จื่อ

            “ข้าแค่ช่วยเจ้าเพราะจำเป็นเท่านั้น เจ้ามิกลัวข้านำเจ้าไปทำมิดีมิร้ายรึ” 

            พูดจบซูเมิ่งก็จับปลายคางของไป๋จื่อให้เชิดขึ้น นางมองเข้าไปยังนัยน์ตาของสตรีตรงหน้าอย่างค้นหา

            “ข้าเหลือตัวคนเดียว แม่ข้าก็จากไปแล้ว ไม่ว่าคุณชายจะเอาข้าน้อยไปทำอะไรข้าก็ยอมทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”

            …เป็นอนุข้าก็ยอม ไป๋จื่อได้เเต่เอ่ยในใจ นางจ้องตอบสายตาของซูเมิ่งอย่างไม่กลัวเกรง

            ซูเมิ่งหยักยิ้มมุมปากและปล่อยมือออกจากหน้าของไป๋จื่อ

            “หากข้าสั่งให้เจ้าไปตายเจ้าก็จะทำตามงั้นหรือ?”

            สิ้นคำซูเมิ่ง ไป๋จื่อก็พยักหน้าตอบทันที ความมุ่งมั่นและความภักดีที่เเสดงออกมาทางสายตาคู่นั้นทำให้ซูเมิ่งจำยอม นางลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกจากชายชุดตนเอง

            “หวังว่าเจ้าจะจำที่เจ้าพูดวันนี้ได้ตลอดไป ตามข้ามาสิ” 

            ซูเมิ่งเดินนำมุ่งไปยังโรงเตี๊ยมที่พักของนางโดยมีไป๋จื่อกระโดดโลดเต้นดีใจและวิ่งตามเจ้านายคนใหม่ของตนไป

            หลังจากพักผ่อนอยู่ที่เมืองตงเปียนนานข้ามคืน ซูเมิ่งอูสิงและบ่าวรับใช้คนใหม่ของนางอย่างไป๋จื่อก็ออกเดินทางมุ่งหน้าตรงเข้าสู่เมืองหลวงเสียที ซูเมิ่งยกม่านหน้าต่างขึ้งมองออกไปด้านนอก ข้างทางเต็มไปด้วยรถม้าที่เเต่ละคันล้วนตกแต่งหรูหรา ผู้คนเดินเต็มถนน ร้านรวงเปิดเต็มสองข้างทาง เรียวตาคู่งามเปล่งประกายเจิดจรัส หันมองทางนู้นทีทางนี้ที พลันความจำมากมายก็หลั่งไหลเข้าสู่สมอง…

            ไป๋ซูเมิ่งคนก่อนชอบให้พี่ชายทั้งสองพาออกมานั่งรถม้าเที่ยวรอบเมืองอยู่บ่อยครั้งยามเมื่อพี่ชายมีเวลาว่าง นางมองเข้าไปยังร้านขายเครื่องประดับขนาดใหญ่เเห่งหนึ่ง ร้านนี้เป็นร้านชื่อดังในเมืองหลวง เหล่าคุณหนูมักแวะเวียนเข้ามาดูเครื่องประดับรวมทั้งคุณหนูตระกูลไป๋อย่างเจ้าของร่างนี้ด้วย พอรถม้าเคลื่อนไปอีกสักพักความทรงจำอีกสายหนึ่งก็วาบเข้ามา

            “อูสิงหยุดรถตรงร้านน้ำชาข้างหน้า”

            ซูเมิ่งเดินลงจากรถม้าหยุดยืนตรงหน้าร้านน้ำชาเจ้าประจำ นางเงยหน้าอ่านป้ายสีทองเด่นสง่ามีตัวอักษรเขียนไว้ว่า เฟิงชิง เป็นสถานที่ที่นางรู้สึกคุ้นเคยมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ด้วยสาเหตุใดนางจึงรู้สึกว่านางต้องเข้ามาที่ร้านนี้

            สองเท้าก้าวพ้นประตูเสียงพูดคุยก็ดังเข้าสู่โสตประสาททันที มีเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งวิ่งเข้ามารับรองซูเมิ่งอย่างเร็ว ก่อนพานางไปยังโต๊ะว่างตัวหนึ่ง นางสั่งน้ำชาหนึ่งชุดพอเสี่ยวเอ้อจากไปนางก็มองรอบด้านไปทั่ว ปล่อยสมองให้ประมวลผลความจำที่อยู่ดีดีก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาอีกครั้ง…

            พี่ชายของคุณหนูซูเมิ่งคนก่อนมีนามว่าไป๋เหิงซานเป็นบุตรชายคนโต ไป๋ลู่ซานพี่ชายคนรอง ของไป๋หย่งคังหรือก็คือผู้เป็นบิดาของนาง ส่วนบุตรชายคนรองมีนามว่าไป๋ลู่ซาน ในตระกูลไป๋มีบิดาของนางเป็นสายหลักสืบทอดตำแหน่งขุนนางขั้นสองต่อจากท่านปู่ซึ่งตายในสนามรบไปเมื่อหลายปีที่แล้ว ในจวนตระกูลไป๋ก็ยังมีน้องชายท่านพ่ออีกหนึ่งคนซึ่งเขาทำงานในราชสำนักฝ่ายบุ๋น ไป๋หย่งคังมีไป๋เฟยจินเป็นฮูหยินซึ่งก็คือแม่ของนางและพี่ชายทั้งสองนั่นเอง แต่ในความจำของซูเมิ่งนั้นนางไม่ได้รู้สึกผูกพันกับผู้เป็นมารดาเหมือนอย่างที่รู้สึกกับพี่ชายทั้งสองและท่านพ่อของตน

            “คุณชายเจ้าคะ ชามาแล้วเจ้าค่ะ” 

            ไป๋จื่อเรียกเสียงดังขึ้นเพราะเห็นซูเมิ่งมองจ้องไปข้างหน้านิ่งค้างท่านี้มาสักพักจนกระทั่งเสี่ยวเอ้อนำน้ำชามาให้ตามที่สั่งไปก่อนหน้า

            “อ้อ อืม” 

            ซูเมิ่งยกชาสีเข้มขึ้นดื่ม เป็นชาดำชนิดหนึ่งที่นางไม่รู้จักชื่อแต่สั่งไปเพราะความเคยชิน ในชาติก่อนนางชอบดื่มชาดำมากกว่าเพราะรสชาติมันเข้มข้น และชาดำสำเร็จรูปของฝั่งยุโรปก็รสชาติถูกปากนางมาก

            “หายากนะขอรับที่จะมีคนสั่งชาดำ ข้าน้อยทำงานที่นี่มาเป็นสิบปีมีคนสั่งชาดำนับจำนวนหัวได้ นอกจากฮ่องเต้พระองค์นี้แล้วก็มีท่านนี่เเหละขอรับ” 

            เสี่ยวเอ้อที่ยังไม่จากไปเอ่ยขึ้น เขาแอบมองใบหน้าภายใต้หน้ากากซ้ำหลายคราอย่างประหลาดใจ ทั้งจากเรื่องรสนิยมการดื่มชา และเรื่องที่ลูกค้าคนนี้ปิดบังใบหน้าด้วย แต่เขาก็มิมีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว

            ฝ่ายซูเมิ่งที่ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น “ที่ร้านนี้ฮ่องเต้มาประจำหรือ” 

            เสี่ยวเอ้อรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน “ไม่ใช่ขอรับ เเต่เป็นสั่งใบชาผู่เอ๋อร์ไปเป็นประจำต่างหากขอรับ ข่าวนี้ทำเอาขุนนางขั้นสูงมักจะมาซื้อใบชาชนิดนี้ ขายดิบขายดีขอรับ”

            ซูเมิ่งพยักหน้าเข้าใจ “งั้นเอาใบชาผู่เอ๋อร์ให้ข้าห่อหนึ่ง” 

            “ขอรับ”

            พูดจบก็ยกชาขึ้นจิบอีกรอบ รสขมเล็กน้อยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาดำอบอวลทั่วปาก นางชอบรสขมนี้ มันทั้งทำให้ชุ่มคอและทำให้นางรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นคล้ายได้ดื่มกาแฟอย่างชาติก่อน

            ระหว่างที่ซูเมิ่งกำลังดื่มด่ำกับรสชาติชานั้นนางก็นั่งสังเกตลักษณะท่าทางการดำรงชีวิตของชาวเมืองหลวงไปด้วยจนกระทั่งนางได้ยินบทสนทนาของคนกลุ่มหนึ่งเข้า

            “นี่คุณหนูบ้านเจ้าได้รับจดหมายเชิญเข้าร่วมงานชมดอกไม้ที่ฮองเฮาจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของท่านเองหรือไม่” 

            เป็นสตรีชุมสีม่วงเอ่ยขึ้น นางมวยผมอย่างหญิงรับใช้

            “เจ้าถามอะไรเยี่ยงนั้นเล่า ตระกูลซ่งในเมืองหลวงนี่ก็ถือว่าเป็นอับดับต้น ๆนะ คุณหนูบ้านข้าย่อมได้รับเชิญแน่นอนอยู่แล้ว”

            สตรีที่นั่งตรงข้ามในชุดเขียวเอ่ยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “นี่ข้าออกมารับเครื่องประดับที่สั่งทำให้คุณหนูใส่ไปงานวันนี้เลยมีโอกาสได้เจอเจ้าเนี่ยล่ะ”

            “ต้องเป็นเครื่องประดับชุดใหม่ที่ออกมาไม่กี่ชุดเป็นแน่! ข้าอยากเห็นจริงเทียว” 

            ตาลุกวาวสว่างวาบ ไม่ว่าจะสตรีชนชั้นไหนย่อมต้องรักของสวย ๆงาม ๆ

            “ส่วนข้าก็มารับชุดที่คุณหนูบ้านข้าสั่งตัดเช่นกัน โชคดีที่เสร็จทันงานวันนี้มิเช่นนั้นคุณหนูของข้าคงอาละวาดเรือนพินาศเป็นแน่” นางผ่อนหายใจโล่งอก

            “ข้าได้ข่าวมาว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วเมืองหลวงที่เลยวัยปักปิ่นมาแล้วต่างก็ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานนี้ หากมิได้มีข่าวว่าไท่จื่อ[8]มีคู่หมายแล้วล่ะก็ข้าคงคิดว่างานนี้เป็นงานเลือกชายาเอกเป็นแน่”

            พอพูดจบก็ยกมือป้องปากหัวเราะเสียงเบา

            “แค่คู่หมายปากเปล่าที่ยังมิได้ประกาศอย่างเป็นทางการเสียหน่อยใครนับกันเล่า แล้วอีกอย่างตำแหน่งชายารองก็ยังว่าง” 

            ยังไม่ทันพูดจบดี สตรีฝั่งตรงข้ามก็รีบเอามือขึ้นปิดปากสหายคู่สนทนา หันมองรอบข้างก่อนเอ่ย

            “เจ้าอย่าพูดดังไป คู่หมายขององค์ไท่จื่อเป็นถึงคุณหนูตระกูลไป๋เชียวนะ ไม่ว่าคุณหนูบ้านเจ้าหรือบ้านข้าก็หาสู้ได้ไม่”

            คนถูกปิดปากหัวเราะเยาะ “คุณหนูตระกูลไป๋นั้นก็มีดีแค่ชาติตระกูลเท่านั้นแล ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือความงามคุณหนูบ้านข้าเหนือกว่าแทบทุกด้าน ฮิฮิ” 

            สตรีอีกคนก็พลอยหยักหน้าอย่างเห็นด้วย

            “เอ้อ แล้วข้าได้ข่าวมาว่าช่วงนี้คุณหนูตระกูลไป๋นั้นป่วยหนัก มิได้ออกจากจวนร่วมเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าจะมางานนี้หรือไม่?”

            “หนักเเค่ไหนก็ต้องมา นี่เป็นงานฉลองวันพระราชสมภพเเม่ว่าที่สามีเชียวนะ ไม่มาได้หรือ?"

            นางเอ่ยเสียงหนักเเน่น "แล้วอีกอย่างไม่กี่วันมานี่ก็มีข่าวลือว่าสาเหตุที่แท้จริงที่มิมีใครเคยเห็นคุณหนูตระกูลไป๋เลยไม่ใช่เพราะป่วยหนัก แต่เป็นเพราะถูกคนลักพาตัวไปต่างหากเล่า!” 

            ช่วงประโยคหลังนางลดเสียงเบาลงมาก ประโยคนั้นทำเอาสตรีฝ่ายตรงข้ามเบิกตาโพรง

            “เจ้าพูดจริงรึ!?"

            "จริงไม่จริงข้าไม่รู้ ข้าก็ได้ยินมาอีกทีเช่นกัน อย่างไรก็คงดูกันที่งานวันนี้นั่นเเลว่าเห็นคุณหนูตระกูลไป๋หรือไม่”

            นางพูดจบก็ลุกขึ้นยืน “ข้าต้องรีบไปก่อนแล้ว ไว้อาจเจอเจ้าที่งานวันนี้”

            “ได้ ข้าก็ต้องไปแล้วเช่นกัน”

            ซูเมิ่งมองตามสาวใช้ทั้งสองเดินออกจากร้านไป เรียวคิ้วงามขมวดมุ่นสมองประมวลผลสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่

            …นางก็คือคุณหนูตระกูลไป๋ที่สตรีทั้งสองนางกล่าวถึงเมื่อครู่ ดูจากที่ทั้งสองเอ่ยถึงคุณหนูตระกูลไป๋คนก่อนจะมีภาพลักษณ์ไม่ดีมากนัก เท่าที่นางจำได้เจ้าของร่างเดิมดูเป็นคนอ่อนหวานนิสัยดี วัน ๆก็อยู่แต่ในจวนไม่รักษาตัวก็เรียนศิลปะทั้งสี่ ฝีมืออาจไม่ถือว่าเป็นหนึ่งแต่ก็ไม่อายใครแน่นอน แต่คงด้วยสัญญาการหมั้นหมายอันเป็นที่อิจฉาของสตรีทั่วพระนครเลยทำให้คนส่วนใหญ่พาลเกลียดนางกระมัง

            เเต่สิ่งที่ทำให้ซูเมิ่งเเปลกใจคือข่าวลือเรื่องที่นางหายตัวไปนั้นหลุดออกมาได้อย่างไร ทั้งบิดาและพี่ชายของนางไม่น่าปล่อยให้เรื่องนี้หลุดรอดออกมาได้ และยิ่งไปกว่านั้นข่าวนี้ออกมาได้เหมาะเจาะมากทีเดียว 

            …เป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว

            หนึ่งคือ หากนางไม่โผล่ไปงานวันฉลองวันพระราชสมภพของฮองเฮาครานี้ก็เป็นการยืนยันได้ว่าข่าวลือนี้เป็นจริงแน่นอน เหตุเป็นเพราะอย่างที่บ่าวรับใช้คนนั้นกล่าว นั่นก็คือ งานวันนี้ถือว่าเป็นงานหนึ่งที่สำคัญยิ่งโดยเฉพาะลูกสะใภ้ในอนาคตอย่างนาง หากอาการป่วยไม่หนักหนาขนาดลมหายใจรวนระรินการไม่เข้าร่วมงานถือว่าหมิ่นเกียรติยิ่ง นั่นก็เป็นการทำให้ตำแหน่งว่าที่หวงไท่จื่อเฟย[9]สั่นคลอนซึ่งก็คือนกตัวที่สอง

            ไป๋ซูเมิ่งหยักยกมุมปาก มือเรียวยกขึ้นจับคางอย่างใช้ความคิด

            …ดูท่าเบื้องหลังการลักพาตัวนางจะมิใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว การวางแผนที่เป็นขั้นเป็นตอน เริ่มตั้งแต่จับตัวนางจนมาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน คงตั้งใจทำลายทั้งสัญญาการหมั้นหมายนี้และรวมถึงตระกูลไป๋ด้วย

            …จะถือว่านี่เป็นความโชคดีของนางได้หรือไม่ที่นางมาได้ทันเวลาพอดี ไม่ว่าใครที่จ้องจะทำร้ายนางหรือตระกูลไป๋ก็อย่าได้สมหวังเลย!!!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status