เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 26
คืนนั้นชินหวังมาส่งซูเมิ่งที่จวนตระกูลไป๋ราว ๆ ยามอิ๋น แต่ถึงกระนั้นทั้งพี่ใหญ่ พี่รองและท่านพ่อของซูเมิ่งก็ยังไม่นอนเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของซูเมิ่ง วันนั้นซูเมิ่งต้องตอบคำถามที่ทุกคนถามนางจนทุกคนหมดข้อสงสัยถึงปล่อยให้นางไปนอน ทำให้กว่าวันนี้ซูเมิ่งจะตื่นก็ปาเข้าไปยามที่ดวงอาทิตย์อยู่กลางหัวแล้ว หลังไป๋จื่อนำน้ำเข้ามาล้างหน้าล้างตาให้นางแล้วซูเมิ่งก็เข้าห้องหนังสือของตนทันทีเพราะวันนี้นางได้รับอนุญาติให้หยุดเรียนวิชาเย็บปัก ซูเมิ่งจึงคิดว่าวันนี้นางจะไล่อ่านตำราสมุนไพรทั้งวัน แต่จนแล้วจนรอดซูเมิ่งก็ต้องปิดหนังสือในมือลง ตอนนี้ในหัวนางคิดเเต่เรื่องเมื่อคืนจนไม่มีสมาธิอ่านอะไรไปก็ไม่เข้าหัวเลยสักนิด
พอซูเมิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อคืนใบหน้าติดเย็นชาของชินหวังก็ลอยเข้ามา หลังจากรู้ว่าที่ผ่านมาชินหวังส่งคนมาติดตามตนเองก็เฝ้าคิดถึงสาเหตุ หากจะเข้าข้างตัวเองว่าชินหวังอาจชอบตนหรือเปล่า เพราะซูเมิ่งในชาตินี้ก็ถือเป็นสาวงามคนหนึ่งในเมืองหลวง แต่นางหาใช่งามที่สุดไม่ แล้วคนอย่างชินหวังแม้จะยังไม่แต่งชายาเอกแต่หน้าตาดีอย่างเขาก็คงไม่ขาดชายารองหรือผู้หญิงเป็นแน่ เพราะฉะนั้นซูเมิ่งจึงตัดเหตุข้อนี้ทิ้งไป หรือว่ามีใครสั่งให้ชินหวังส่งคนมาติดตามนางทว่าคนที่สั่งคนอย่างชินหวังได้ก็คงมีเพียงแต่ฮ่องเต้ งั้นแล้วคนอย่างฮ่องเต้จะทำอย่างนี้ทำไมก็ดูไม่สมเหตุสมผล ฉะนั้นนางจึงสรุปได้ว่าหากอยากรู้ความจริงคงต้องถามเจ้าตัวเองเท่านั้น ซึ่งจากจิตใต้สำนึกของซูเมิ่งบอกว่าอย่าไปยุ่งกับเขาเลยจะดีกว่าดังนั้นนางจึงได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไปเพียงในใจ นอกจากเรื่องนี้ในหัวของนางก็ยังมีอีกที่ยังคิดไม่ตก คราที่ซูเมิ่งลอบตามกลุ่มโจรที่ปล้นวัดเมื่อวานไปนางพบเข้ากับแหล่งกบดานของพวกมันซึ่งมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับค่ายทหาร จำนวนคนในค่ายน่าจะประมาณหลักร้อยคนได้ ค่ายแห่งนี้เป็นเหมือนหมู่บ้านหนึ่งที่อาศัยเป็นครัวเรือนมีกำเเพงที่สร้างจากไม้หนาแน่นล้อมรอบ เท่าที่ซูเมิ่งสำรวจดูทางเข้าที่นางเข้ามาน่าจะเป็นทางเข้าหนึ่งที่เชื่อมโยงกับวัดจิวเลี่ยน และน่าจะมีทางเข้าอื่นด้วยแต่ซูเมิ่งไม่มีเวลาสำรวจเพราะนางกลัวว่าเส้นทางที่นางเข้ามาจะยากเกินแกะรอยกลับแล้วอีกอย่างตอนนั้นซูเมิ่งก็ไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพวกโจรด้วย นางจึงรีบถอยออกมาก่อนไว้คราหลังค่อยกลับไปสำรวจใหม่ เพราะนางคิดว่าจุดประสงค์โจรวันนั้นต้องมีอะไรแอบเเฝงเป็นแน่ หากเป้าหมายของพวกเขาคือนางซูเมิ่งยิ่งต้องรู้ให้ได้ว่าพวกโจรคือใคร อีกใจซูเมิ่งก็คิดว่าจะเอ่ยเรื่องนี้แก่พี่ชายและพ่อของนางแต่พอเห็นอาการเป็นห่วงซูเมิ่งเกินกว่าเหตุเมื่อวานซูเมิ่งจึงยังไม่พูดไป “คุณหนูเจ้าคะ วันนี้นายท่านให้คนมาบอกว่าเย็นนี้ให้คุณหนูไปทานข้าวร่วมกับท่านที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” เสียงของเย่าถิงทำให้ซูเมิ่งหลุดออกจากภวังค์ นางพยักหน้ารับคำพอสาวใช้ตนออกไปแล้วนางก็ก็สลัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไป ใบหน้าเรียวรูปไข่ก้มลงอ่านหนังสืออีกครั้ง จนกระทั่งถึงเวลามือเย็นเย่าถิงก็เดินเข้ามาตามนางให้ไปทานอาหาร ซูเมิ่งเปลี่ยนชุดเป็นชุดที่สุภาพขึ้นพอเดินมาถึงเรือนใหญ่นางก็พบว่านอกจากท่านพ่อแล้วยังมีท่านอาซือฉี พี่ชายนางทั้งสอง และฮูหยินโยวหงของท่านอา และลูกสาวคือน้องสามซ่วนเชิง แต่ที่น่าแปลกคือนางกลับยังไม่เห็นท่านแม่และหยางเจียงเหมย “แล้วฮูหยินล่ะ” ไป๋หย่งคังเอ่ยเสียงเข้มหลังจากที่ซูเมิ่งนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว “ฮูหยินและคุณหนูเจียงเหมยจับไข้เลยขอไม่มาร่วมเจ้าค่ะ” พอได้ยินดังนั้นผู้เป็นสามีก็คลายความกดดันลง ใบหน้าฉายความเป็นห่วงเป็นใยแทน เขาก็ลืมไปว่าหลังที่ฮูหยินของตนถูกคนของชินหวังพากลับมานางก็ไม่ได้สติ พอถึงเวลาต้องไปว่าราชการจึงไม่ทันรู้ว่าหลังที่ฮูหยินตนรู้สึกตัวแล้วจะยังกลัวไม่หายจนจับไข้ ดังนั้นหย่งคังจึงกำชับให้บ่าวนำข้าวและยาบำรุงไปให้ทั้งสองก่อนหันกลับมามองไปยังลูกสาวคนเดียวของเขาที่ยังดูปรกติต่างจากหญิงสาวอีกสองคนที่เจอเหตุการณ์เดียวกัน “หากเจ้าไม่สบายกลับไปพักก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวค่อยให้บ่าวนำข้าวไปให้ที่ห้อง” ซูเมิ่งส่งยิ้มบางเบาตอบความกลับความหวังดีของผู้เป็นพ่อพร้อมเอ่ยน้ำเสียงสดใส “ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ แข็งแรงมาก” …แค่เรื่องเมื่อวานไม่ทำให้นางตกใจจนไข้จับได้หรอก ชาติก่อนซูเมิ่งเจอมามากกว่านี้เสียอีก “น้องรองเจ้าทำเป็นเก่งไป เดี๋ยวข้าให้คนนำยาบำรุงไปให้เจ้ากินก่อนนอนแล้วกัน” พอได้ยินดังนั้นซูเมิ่งก็แอบเบะปาก อุตส่าบอกว่าตนแข็งแรงแล้วแท้ ๆแต่ดันยังต้องกินยาบำรุงอีก พอหันไปหาพี่ใหญ่กะหวังให้เขาช่วยให้นางไม่ต้องกินก็ต้องผิดหวัง เพราะไป๋เหินซานก็พลอยพยักหน้าเห็นด้วยกับผู้เป็นน้องชายไปแล้ว ซูเมิ่งจึงได้แต่ต้องยอมรับชะตากรรมของตน จากที่เคยดีใจที่ชาตินี้นางได้เกิดในครอบครัวที่มีครบและทั้งพ่อและพี่ชายที่รักนาง และได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่เหมือนชาติที่แล้วที่นางเป็นเด็กกำพร้าและถูกเลี้ยงให้เติบโตท่ามกลางการแข่งขันและความกดดันที่ไร้ซึ่งความรัก ดังนั้นนางจึงโหยหาความรักจากครอบครัว ทว่าโชคชะตาก็เหมือนเล่นตลก ชาตินี้นางได้รับความรักจริงแต่กลับเป็นความรักที่มากเกินไป พวกเขาถนอมนางเหมือนไข่ในหินทำให้ซูเมิ่งขาดอิสระ หากเป็นคุณหนูทั่วไปคงถือว่าโชคดี แต่สำหรับสาวขาลุยอย่างซูเมิ่งนั้นถือว่าเป็นความโชคร้ายในความโชคดีแล้วกัน “ตั้งแต่พี่รองกลับมาครานั้นร่างกายก็แข็งแรงขึ้นมากเชียว ผิวก็เปล่งปลั่งขึ้น จนแม้กระทั่งข้ายังอิจฉา” ซ่วนเชิงเอ่ยขึ้น เสียงเล็กของนางฟังดูน่าถนุถนอม ด้วยนางยังอายุไม่ถึงวัยปักปิ่นจึงไม่ค่อยได้รับการอนุญาติให้ออกจากเรือนเท่าไหร่ ซูเมิ่งจึงไม่ค่อยเคยเห็นนาง แต่เท่าที่จำได้น้องสาวนางคนนี้ดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัยอะไร เป็นคนคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น แม้บางคราในอดีตจะเคยดูถูกนางบ้างแต่สำหรับซูเมิ่งคนแบบนี้น่าคบกว่าคนที่แม้ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอเสียอีก “เอาล่ะ ทานข้าวกันได้แล้ว มีเรื่องอะไรจะคุยไว้ค่อยคุยกันหลังกินเสร็จ” หย่งคังพูดจบเขาก็เริ่มตักกับข้าวเป็นคนแรก คนอื่น ๆจึงเริ่มกินบ้างเสียงพูดคุยจึงเงียบลง ทำให้ในเรือนแห่งนี้เหลือเพียงเสียงช้อนชามกระทบกัน หลังจากทานข้าวเสร็จซูเมิ่งก็ตรงกลับเรือนนอน ส่วนบ่าวของพี่รองก็ทำงานไม่บกพร่อง เขานำยาบำรุงที่กำลังอุ่นพอดีกินมาให้นางถึงเรือนและอยู่รอจนนางกินเสร็จจึงขอตัวกลับไป ซูเมิ่งอาบน้ำเสร็จก็เตรียมนอน ไป๋จื่อเข้ามาปิดหน้าต่าง และดับไฟก่อนออกจากห้องของซูเมิ่งไป ภายในห้องนอนมืดสนิทซูเมิ่งหลับตาสักพักกำลังเคลิ้มเข้าสู่นิทรา พลันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีวัตถุเเข็งมากระทบบานหน้าต่างที่ปิดอยู่ ร่างบางจึงผุดลุกขึ้น และเสียงก็เกิดขึ้นอีกครั้งแต่ครานี้เป็นเสียงเหมือนคนใช้กำปั้นเคาะที่หน้าต่างนางไม่ดังไม่เบาแต่พอให้คนในห้องได้ยิน “เป็นเจ้าอีกแล้ว!” ซูเมิ่งเอื้อมมือไปเปิดก็พบถงฝูในชุดดำล้วนอยู่นอกหน้าต่างนาง คิ้วเรียวขมวดมุ่น ถงฝูยิ้มแหย ๆส่งไปให้ ในใจเขาก็รู้สึกเกรงใจหญิงสาวตรงหน้าที่ต้องถูกปลุกยามนอนเยี่ยงนี้ แต่เขาก็ขัดคำสั่งเจ้านายตนมิได้เหมือนกัน “คุณหนูซูเมิ่งคงยังไม่ง่วงกระมัง อยากลองไปล่องเรือชมดาวยามย่ำคืนไหมขอรับ?” แสงจันทร์แจ่มกระจ่างเฉิดฉายโดดเด่น ดวงดาวพราวระยิบเต็มน่านท้องฟ้า อาจเป็นเพราะยังดูในฤดูร้อนทำให้ยามค่ำคืนมีดวงดาวมากกว่าปกติ แต่ยามค่ำคืนนี้ลมที่พัดมาก็ทำให้นางอดต้องยกมือขึ้นมากอดตัวเองไม่ได้ อืม…อาจเป็นเพราะอีกไม่กี่วันก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วกระมังอากาศตอนกลางคืนจึงหนาวกว่าปรกติ และเพราะซูเมิ่งต้องออกมาโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนชุดที่นางใส่จึงเป็นเพียงชุดบาง ๆ ผมก็ไม่ได้เกล้า ปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง ใบหน้าก็ไร้เครื่องสำอางใดใด ทว่ามองโดยภาพรวมซูเมิ่งจึงคล้ายเซียนสาวที่ละทางโลกดูบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่ง …หากเย่าถิงเห็นว่าซูเมิ่งออกมาข้างนอกด้วยชุดนี้นางต้องถูกดุจนหูชาเป็นแน่ ซูเมิ่งถูกพามาที่ริมแม่น้ำทิศประจิมของเมืองหลวง ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงตอบรับคำเชิญยอมออกมาข้างนอกดึกดื่น โดยไม่มีใครในจวนรู้เพราะถงฝูพาซูเมิ่งออกมาทางประตูเล็กของจวน โดยระหว่างทางเดินในจวนนางไม่เจอคนเฝ้าจวนเลยสักคน จากนั้นก็พานั่งรถม้ามาที่นี่ และตอนนี้ซูเมิ่งก็ก้าวเท้าขึ้นเรือลำใหญ่เสียแล้ว ภายนอกเรือสลักลวดลายมังกรห้าเล็บตกแต่งเพียงสีดำและทองสลับไป พอก้าวเข้ามาด้านในทั้งเครื่องเรือนและผนังก็ถูกตกแต่งอย่างหรูหราเช่นเดียวกัน ซูเมิ่งเดินตามถงฝูไป เขาพานางขึ้นมาชั้นสองของเรือซึ่งก็คือชั้นดาดฟ้า เบื้องหน้ามีตั่งหรูตัวหนึ่งตั้งอยู่พร้อมเบาะรองสองเบาะ และบนเบาะหนึ่งนั้นเป็นชายเจ้าของเรือเอนตัวใช้มือข้างหนึ่งท้าวหัวนอนหลับตาพริ้ม แต่ซูเมิ่งรู้ว่าเขาไม่ได้หลับหรอกมิเช่นนั้นจะเรียกนางมาทำไมล่ะ “คารวะท่านชินหวังเพคะ” ซูเมิ่งยังคงย่อเข่าค้างอยู่รอเจ้าของตำเเหน่งชินหวังเอ่ย แต่จนและจนรอดเขาก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมา แต่มือหนาของชายหนุ่มกลับเอื้อมหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นจิบได้อย่างแม่นยำ …นี่มันจงใจไม่ตอบนางชัด ๆ ซูเมิ่งกัดฟันแน่น นางเอี้ยวตัวกลับไปมองถงฝูอย่างขอความช่วยเหลือ ใบหน้าแฝงความกระอักกระอ่วนของลูกน้องหนุ่มไม่ทำให้ซูเมิ่งละความพยายาม นางจ้องหน้าถงฝูจนเจ้าตัวยอมก้าวเข้ามาเอ่ยกับเจ้านายแทนหญิงสาว “คุณหนูซูเมิ่งมาแล้วพะยะค่ะ” ซือหมิงส่งเสียงอืมเบา ๆออกมา ผ่านไปหนึ่งพริบตาถึงค่อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชาทั้งที่ยังหลับตาอยู่เช่นเดิม “บอกนางที ข้าบอกให้นางเรียกว่าอะไรทำไมไม่เรียกตามที่ข้าเคยบอก” ถงฝูมองผู้เป็นเจ้านายอย่างไม่เชื่อสายตา เท่าที่จำได้ชายหนุ่มไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆเช่นนี้นี่นา แต่เขาก็ทำทีแกล้งเป็นสุขุม หมุนตัวหันกลับมาพยักหน้าให้ซูเมิ่งก่อนหลบไปเบื้องหลังเช่นเดิม ฝ่ายซูเมิ่งทันทีที่ได้ยินประโยคเเรกของชินหวังก็ถึงกับลมออกหูแต่นางก็ทำใจร่มไว้ แสร้งฉีกยิ้มกว้างก่อนเอ่ยเสียงหวานเท่าที่สุดเท่าที่ทำได้ “คารวะท่านพี่ซือหมิงเพคะ” สิ้นคำเปลือกหน้าของชายหนุ่มนามซือหมิงก็เปิดขึ้น เขาลอบหยักยิ้มมุมปากชั่วครู่ก่อนกลับมาราบเรียบคงเดิม “นั่งสิ” สายตาคมกวาดมองเสื้อผ้าและใบหน้าของหญิงสาวที่เขาเชิญมาก่อนนึกขันในใจ สตรีนางนี้ถือเป็นคนแรกของเมืองหลวงกระมังที่กล้าออกจากห้องด้วยสภาพนี้ …แต่สำหรับเขากลับรู้สึกชอบรูปลักษณ์นี้ของซูเมิ่งเป็นอย่างมาก มองไปแล้วก็พลันนึกถึงค่ำคืนหนึ่ง คืนนั้นเป็นเพราะโชคชะตาจึงทำให้ในระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวงครั้งล่าสุดเขาได้มีโอกาสเห็นปิศาจบุปผาเริงระบำเล่นน้ำ หลังจากวันนั้นใจของชายหนุ่มก็จะเต้นตุบ ๆทันทีที่นึกถึงภาพนั้นอย่างมิอาจห้ามใจ นี่เป็นคราแรกตั้งแต่เกิดมาที่เขามีอาการที่ควบคุมไม่ได้เช่นนี้ “ท่านชิน…ไม่สิ ท่านพี่ซือหมิงไม่สบายหรือเปล่าเพคะ ทำไมอยู่ดีดีหน้าก็แดง หูก็แดง” ซูเมิ่งนั่งลงนานแล้ว และนางก็เห็นชายคนที่ชวนนางออกมาข้างนอกยามค่ำคืนตรงหน้านั่งเหม่ออยู่ แล้วอยู่ดีดีหน้าก็แดงอย่างไม่มีสาเหตุ จนนางอดเอ่ยทักไม่ได้ ซือหมิงหลุดจากภวังค์ เขาหันมาสบหน้าซูเมิ่งก่อนกระแอมไอเล็กน้อยและตอบปฏิเสธออกมา จากนั้นมือหนาก็เอื้อมไปรินชาให้นาง “ชานี้เหมาะแก่การดื่มก่อนนอน เจ้าดื่มสิ” ซูเมิ่งยกชาขึ้นอังที่จมูกทำให้กลิ่นหอมของชาลอยเข้าสู่โสตประสาท และจิบหนึ่งอึก “หากได้ดื่มชานี้แล้วเข้านอนจริง ๆคงดียิ่งนะเพคะ” น้ำเสียงหวานแต่รอยยิ้มดูเหือดแห้งของหญิงสาวทำเอาชายหนุ่มถึงกับยิ้มมุมปาก …นางคงลอบต่อว่าเขาในใจเป็นแน่ที่นำนางออกมาทั้งที่ยามนี้สมควรนอนได้แล้ว ฟังจากประโยคก่อนหน้าก็พอจะเดาได้ แต่เขาหาได้ใส่ใจไม่ ยังคงยกชาขึ้นดื่มเสมองผืนน้ำอย่างสบายอารมณ์ ผ่านไปกว่าเค่อซูเมิ่งรอให้ชายหนุ่มเริ่มพูดเรื่องที่เรียกนางมาเขาก็ไม่เอ่ยสักทีจนนางต้องเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน “มิทราบว่าพระองค์เรียกหม่อมฉันมาทำไมหรือเพคะ คงไม่ได้เรียกมาแค่จิบน้ำชาดูดาวอย่างเดียวกระมัง” “ไม่หรอก” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ เขาหันกลับมามองที่นางอีกครั้ง “ข้าเรียกมาเพื่อให้เจ้าถามคำถามข้า อยากรู้อะไรถามมาได้เลย” จบประโยคก็มีเครื่องหมายคำถามปรากฎบนหน้านาง …เขาเรียกนางมาเพื่อให้นางถามคำถามเนี่ยนะ? …ประหลาดเสียจริง แต่ก็ดีนางมีเรื่องอยากถามพอดี “หม่อมฉันอยากรู้ว่าเหตุใดท่านชิน…ท่านพี่ซือหมิงถึงส่งคนติดตามหม่อมฉันด้วยเพคะ”#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







