LOGIN#####บทที่ 27
“หม่อมฉันอยากรู้ว่าเหตุใดท่านชิน…ท่านพี่ซือหมิงถึงส่งคนติดตามหม่อมฉันด้วยเพคะ” “อ้อ เรื่องนั้น…” ซือหมิงจ้องกลับสายตาซูเมิ่งที่จ้องมาที่ตน เขาคิดไว้แล้วว่านางต้องสงสัยข้อนี้ “ข้าก็แค่อยากน่ะ ไม่มีอะไรมาก” หลังจากได้ฟังคำตอบนั้น รูม่านตาของซูเมิ่งพลันหดเล็ดลงทันที …ก็แค่อยาก “ตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ?” “เมื่อไม่นานมานี้” “แล้วรู้เรื่องอะไรของหม่อมฉันบ้างเพคะ?” ชินหวังยกชาขึ้นจิบ “ไม่มากเท่าไหร่” “อ่อ รับทราบเพคะ” ซูเมิ่งหยุดการถามลงเพียงเท่านี้เพราะนางรู้ว่าถามไปก็เท่านั้น จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เเล้วเรื่องโจรที่ปล้นวัดจิวเลี่ยนมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้วหรือเพคะ?” “ตอนนี้คนของทางการกำลังสืบหาร่องรอยจากบริเวณที่พวกโจรหายไป แต่เหมือนถูกกลบและบิดเบือนหมดทำให้เบาะแสขาดไป ทำให้ยังจับไม่ได้” ฟังดังนั้นซูเมิ่งก็พยักหน้า ในหัวคิดถึงตอนที่นางออกมาจากโพรงหินจากทางที่นางทำเครื่องหมายไว้ นางเดินออกมาสักพักก็หลงอยู่ในป่าโชคดีที่ถงฝูไปเจอนางจึงออกมาได้ ป่าหลังวัดจิวเลี่ยนเต็มไปด้วยต้นไผ่แทบจะทั้งหมด ทำให้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เหมือนกันไปหมด แล้วที่ตามพวกโจรเข้าไปซูเมิ่งก็ไม่ได้พกของมีคมติดตัวและต้องเร่งฝีเท้าตาม นางจึงได้แต่โรยผงสมุนไพรที่เอาติดตัวไว้ แต่พอนางออกมาร่องรอยก็ปลิวไปเลือนลางยิ่ง แต่สิ่งที่ซูเมิ่งจำได้แม่นยำคือบริเวณหน้าโพรงหินและทางในโพรงหินที่นางเอาก้อนหินขีดทำสัญลักษณ์ไว้ตามทางเดินทะลุไปยังค่ายโจร หากนางเห็นโพรงหินนั่นอีกรอบต้องจำได้แน่นอน “หากหม่อมฉันบอกว่ารู้ล่ะเพคะว่าพวกโจรหายไปไหน?” พลันคิ้วหนาของซือหมิงก็เลิกขึ้นเล็กน้อย สายตาดุจเหยี่ยวมองมาที่ซูเมิ่ง ใบหน้านางแฝงความเหนือกว่าอยู่หนึ่งขั้น มีหรือที่เขาจะมองความหมายที่นางต้องการจะสื่อไม่ออก “อืม เจ้าอยากได้อะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนล่ะ” พอได้ยินดังนั้นนางก็ฉีกยิ้มกว้าง “ไม่ขออะไรมากเพคะ ไม่เกินอำนาจท่านชิ…พี่ซือหมิงแน่นอน!” หลังจากซือหมิงยอมรับข้อเสนอของซูเมิ่งทั้งสองก็นั่งจิบชา เวลาผ่านไปไม่นานหญิงสาวก็ขอตัวกลับ ซึ่งก่อนจากมาซือหมิงได้ให้ของสิ่งหนึ่งแก่นางไว้ เป็นนกหวีดเหล็กอันเล็กเท่าหัวแม่มืออันหนึ่ง ห้อยเชือกสีดำและผูกติดกับแผ่นหยกสลักลายมังกรห้าเล็บไว้ เขาบอกให้นางติดตัวไว้และใช้ในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งซูเมิ่งก็รับไว้แต่โดยดีแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเขาต้องให้นางไว้ก็ตาม เวลาล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงหรือสารทฤดูมากว่าสองเดือน ที่ผ่านมาฝนตกเสียแทบทุกวัน มีคราหนึ่งที่ซูเมิ่งขอนุญาติออกไปเที่ยวข้างนอกโดยมีพี่ใหญ่พาไป และวันนั้นก็เป็นหนึ่งวันที่ฝนตกเช่นกันพอกลับบ้านแล้ววันถัดมาร่างกายซูเมิ่งจากที่ไม่ได้ป่วยมานานนางก็ลมป่วยอีกครา จึงทำให้นางรู้สึกถึงอาการป่วยของร่างนี้เป็นคราแรก จากที่ซูเมิ่งอยู่ในร่างซูเมิ่งคนนี้มาประมาณสามเดือนกว่าผ่านทั้งฤดูร้อนและฤดูฝนมาแล้วรวมกับความทรงจำเดิมทำให้สรุปได้ว่า ในช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงที่ร่างกายนางแข็งแรงที่สุด ไม่ค่อยเจ็บป่วยถึงขนาดล้มหมอนนอนเสื่อแต่สิ่งที่นางรู้สึกได้ก็คือร่างนี้ภูมิคุ้มกันค่อนข้างต่ำ แพ้สิ่งต่าง ๆง่ายมากอาจเป็นเพราะในอดีตเคยถูกวางยาพิษจนเกือบตายพอรอดมาได้จึงร่างกายอ่อนแอบวกกับวัน ๆไม่ค่อยออกกำลัง นั่ง ๆนอน ๆร่างกายจึงยิ่งอ่อนแอ แต่พอหน้าฝน อากาศเย็นขึ้นและน้ำฝนเป็นตัวพาพวกเชื้อโรคมาได้ดียิ่งทำให้ซูเมิ่งเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น ดังนั้นซูเมิ่งจึงคิดว่านางจะขอท่านพ่อฝึกวรยุทธ์ ทั้งเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและนางก็อยากได้วิชาการต่อสู้ของชาตินี้ด้วย “น้า เจ้าคะท่านพ่อให้พี่ใหญ่หรือพี่รองฝึกให้ลูกก็ได้” ซูเมิ่งคุยกับไป๋หย่งคังหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ วันนี้นางขอมาทานกับผู้เป็นบิดาเพราะต้องการขอเรื่องนี้เป็นพิเศษ ซูเมิ่งมองสบกับสายตาลังเลของหย่งคังก็พอจะรู้ว่าเรื่องที่ขอฝึกยุทธ์อาจไม่สำเร็จเกือบเก้าส่วนได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลที่ซูเมิ่งเป็นผู้หญิงไม่ควรแตะเรื่องชกต่อยแล้วก็เรื่องที่นางร่างกายไม่แข็งแรง “มีอย่างที่ไหนกันที่เป็นสตรีแล้วมาฝึกต่อยตีแบบบุรุษ” “ข้าอยากมีวิชาพอไว้ป้องกันตัวเจ้าค่ะ อีกอย่างเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงด้วย ท่านพ่อไม่อยากให้ลูกร่างกายแข็งแรงห่างจากโรคภัยหรือเจ้าคะ” พอได้ยินซูเมิ่งพูดอย่างนั้นไป๋หย่งคังก็รีบเอ่ยเสียงดุดันทันที “พูดอะไรออกมา! ข้าต้องอยากให้เจ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว” “งั้นเอาอย่างนี้ไหมเจ้าคะ ให้หมอมาตรวจร่างกายลูก ให้ท่านพ่อมั่นใจว่าลูกหายป่วยแล้ว” หย่งคังนิ่งชั่วครู่ก่อนพยักหน้าให้นาง จากนั้นก็ให้คนไปตามหมอ ซึ่งหมอที่เขาให้ไปตามคือหมอหลวงเจิ้ง หัวหน้าหมอหลวง คนที่ทำหน้าที่รักษาเพียงไทเฮา ฮ่องเต้ ฮองเฮา และชินหวังเท่านั้น แต่หลังจากงานวันพระราชสมภพของฮองเฮา ฝ่าบาทก็ออกคำสั่งให้หมอหลวงเจิ้งรับหน้าที่ดูแลซูเมิ่งด้วยอีกคนเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งตระกูลใหญ่ ๆในเมืองหลวงไม่เพียงมีเงินอย่างเดียวถึงจะเชิญหมอหลวงเจิ้งมารักษาได้ ต้องมีรับสั่งของฮ่องเต้ด้วยจึงจะได้สิทธิ์นั้น วันรุ่งขึ้นประมาณยามซื่อหมอหลวงเจิ้งก็เข้ามาตรวจอาการให้ซูเมิ่ง นางทำตัวสบาย ๆไม่กังวลอะไร พอหมอหลวงเจิ้งออกจากห้องนางไปเขาก็ถูกพาไปยังห้องอ่านหนังสือของไป๋หย่งคังเพื่อรายงานผล ซูเมิ่งสั่งให้ไป๋จื่อเข้าไปแอบฟังที่ทั้งสองคุยกันด้วย พอไป๋จื่อกลับมาก็รายงานเรื่องที่ได้ยินให้ซูเมิ่งฟังแบบไม่ขาดหล่น พอซูเมิ่งฟังจบก็หยักยิ้มพึงพอใจ “อย่างนี้ก็แปลว่าคุณหนูจะได้เรียนฝึกยุทธ์แล้วใช่ไหมเจ้าคะ” ไป๋จื่อพูดด้วยน้ำเสียงแฝงแววตื่นเต้น “บ่าวอยากเรียนด้วยจังเลยเจ้าค่ะ เผื่อจวนตัวบ่าวจะได้ปกป้องคุณหนูได้” ซูเมิ่งพยักหน้า “ได้สิ” ที่นางมั่นใจว่าอย่างไรตนก็ได้เรียนฝึกยุทธ์แน่เป็นเพราะคำพูดของหมอหลวงเจิ้งที่บอกแก่ผู้ป็นบิดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ซูเมิ่งได้คาดไว้อยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้แหละคือสิ่งที่นางขอให้ชินหวังช่วยเมื่อคืนนั้นที่ริมแม่น้ำฝั่งประจิมที่เขานัดนางไป ซูเมิ่งคิดไว้นานแล้วว่านางจะต้องฝึกยุทธ์เพื่อให้ทั้งพี่ชายและบิดายอมให้นางเผชิญโลกภายนอกบ้าง ให้ลดความกังวลบ้าง ซูเมิ่งจะค่อยเป็นค่อยไป จึงให้ชินหวังใช้เส้นสายทำให้ซูเมิ่งมีโอกาสได้ติดต่อกับหัวหน้าหมอหลวงเจิ้งและนางก็ขอให้เขาช่วยเรื่องนี้เช่นกัน นางขอให้เขาช่วยรับรองเรื่องอาการป่วยและบอกกับท่านพ่อนางว่าการที่นางออกกำลังโดยเฉพาะฝึกยุทธ์จะทำให้ซูเมิ่งร่างกายแข็งแรงและหายจากอาการป่วยได้ คราแรกหมอหลวงเจิ้งก็ไม่อยากทำเรื่องนี้ให้นางแต่ซูเมิ่งก็บอกถึงเหตุผลไปทำให้เขายอมช่วย เพราะเห็นว่าสิ่งที่นางให้ช่วยก็ไม่ได้ทำให้เสียหายอะไร เพราะมันก็คือเรื่องจริง หลังจากวันนี้เป็นต้นมาช่วงเช้าก่อนแสงเเดดเจิดจ้าก็จะมีไม่พี่ใหญ่ก็พี่รองมาช่วยสอนซูเมิ่งทุกวัน จากนั้นก็จะเป็นท่านครูตั๋วลู่ที่เป็นสหายบิดาของนาง เขาคือรองแม่ทัพคนเก่าที่ลาออกจากราชการมาหลายปีเพราะอาการบาดเจ็บที่ขาทำให้เดินไม่สะดวก แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการสอนฝึกกำลังภายในท่าต่าง ๆ “คุณหนูเรียนรู้ไวจนบ่าวท้อแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋จื่อที่มาฝึกซ้อมกับนางทุกวันบ่นเรื่องนี้ทุกวัน ซึ่งซูเมิ่งก็ได้แต่เอ่ยปลอบและให้กำลังใจบ่าวตัวน้อยของนางในใจ ไป๋จื่อที่วัน ๆคอยรับใช้นางจะมาเทียบกับซูเมิ่งที่มีพื้นฐานด้านการต่อสู้อยู่แล้วได้อย่างไรเล่า มีบางทีซูเมิ่งก็แอบทำเป็นเรียนช้า ๆบ้างเพราะนางขี้เกียจหาเหตุผลมาตอบทั้งท่านพ่อและพวกท่านพี่ แต่ถึงกระนั้นซูเมิ่งก็เรียนรู้ไวเกินปรกติอยู่ดี นางเรียนพื้นฐานของการฝึกกำลังภายใน และวิชาตัวเบา พวกท่าต่าง ๆจบภายในเดือนเดียว ทั้งที่คนปรกติต้องใช้เวลาร่วมปี จริง ๆก่อนหน้านี้ซูเมิ่งก็แอบอ่านหนังสือฝึกยุทธ์มาบ้าง แต่เรียนด้วยตัวเองแล้วไม่เข้าใจและพัฒนาไม่ถึงไหน พอมีคนคอยแนะเเนวทำให้นางไปได้อย่างรวดเร็วอย่างที่เห็น “ข้าสอนเจ้าจนหมดแล้วเรื่องที่ควรจะสอน หลังจากนี้เจ้าจะฝึกอะไรเพิ่มเติมย่อมทำได้” ซูเมิ่งคำนับตั๋วลู่ด้วยความเคารพจากใจจริง พอผู้เป็นครูกลับไปนางก็เข้าห้องเพื่อไปอาบน้ำ พอออกมาก็เจอกับเย่าถิงที่นำน้ำมันถนอมผิวมาทาที่มือของซูเมิ่งอย่างเช่นทุกวัน พร้อมบ่นเรื่องที่นางเป็นสาวเป็นนางแต่กลับฝึกยุทธ์จนมือหยาบกร้าน แล้วก็พูดถึงเรื่องออกเรือนและเรื่องที่สตรีควรทำอีกยืดยาว แล้วมาจบด้วยประโยคสุดท้าย “นายท่านเรียกทุกคนรวมตัวที่ห้องโถงเจ้าค่ะ” นั่นทำให้ตอนนี้ซูเมิ่งนั่งอยู่ตำเเหน่งข้างพี่รองในห้องโถงกลาง ณ ตอนนี้ ภายในห้องมีทั้งครอบครัวท่านอา พี่ใหญ่ พี่รอง ท่านแม่ และหยางเจียงเหมย ไป๋หย่งคังเห็นว่าทุกคนมากันครบแล้วเขาจึงเอ่ยขึ้น “ที่ข้าเรียกรวมวันนี้เพราะจะแจ้งเรื่องงานล้อมป่าล่าสัตว์ประจำปี คนที่จะต้องไปงานครั้งนี้นอกจากเหิงซาน ลู่ซาน น้องรอง แล้วสตรีที่จะต้องไปข้าเลือกไว้แล้วเช่นกัน” งานล้อมป่าล่าสัตว์จะจัดโดยฮ่องเต้เอง งานนี้จะจัดขึ้นที่ป่าที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวง เป็นงานรื่นเริงสำหรับบุรุษหรืออีกในก็คืองานที่มีไว้ให้บุรุษที่ถึงวัยแต่งงานแสดงศักยภาพของตนเองออกมา โดยจุดชูหลักของงานนี้คือการเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อล่ารางวัลจากฮ่องเต้ ดังนั้นตระกูลที่ถูกเชิญไปร่วมงานส่วนใหญ่จะเป็นตระกูลฝ่ายบู๊เสียมากกว่า นอกจากนี้ก็ยังพาครอบครัวไปด้วยได้เช่นกัน ซึ่งสตรีส่วนใหญ่ที่ไปก็จะทำหน้าที่ปรนนิบัติหรือเป็นเพื่อนเล่นให้เจ้านายชั้นสูง เชื้อสายราชวงค์ มีขี่ม้าบ้างเล็กน้อยแล้วแต่บุคคล และด้วยสุขภาพร่างกายของซูเมิ่งแต่ก่อนทำให้นางไม่เคยได้ไปเลยสักครา …แต่ปีนี้ซูเมิ่งคาดหวังไว้ว่านางต้องไปให้ได้ แต่ก็ต้องฝันสลายเมื่อได้ฟังประโยคถัดไปของผู้เป็นใหญ่ “เป็นซ่วนเชิง และก็เจียงเหมยแล้วกัน” ซ่วนเชิงนั้นสีหน้าไม่ได้ดีใจมากเพราะนางเคยไปกับพี่หญิงใหญ่เมื่อปีที่แล้วก่อนที่ปีนี้พี่หญิงใหญ่นางจะออกเรียนไปคราหนึ่ง แต่เจียงเหมยกลับดีใจเกินหน้าเกินตา ในเมื่อนางได้รับโอกาสที่ดีที่สุดอันหนึ่ง ภายในงานนางต้องพยายามเฉิดฉายและนางก็คาดหวังว่านางอาจเจอคนที่ถูกใจเพราะปีนี้ก็ถึงวัยปักปิ่นของตนแล้วแต่ยังไม่มีคู่หมั้นเลย แล้วยิ่งคนที่ไปไม่มีชื่อของซูเมิ่งนางยิ่งดีใจใหญ่ สายตาลอบมองพร้อมส่งสายตาเยาะเย้ยไปให้ “ท่านพ่อเจ้าคะ ขอลูกไปด้วยได้ไหมเจ้าคะ ปีนี้สุขภาพลูกก็ดีขึ้นมากแล้ว” ซูเมิ่งเอ่ยเสียงหวาน พร้อมมองไปที่ไป๋หย่งคังอย่างคาดหวัง พอซูเมิ่งเห็นผู้เป็นบิดายังนิ่งเฉยนางก็ใช้กลเดิมคือส่งสายตาอ้อนวอนให้พี่ชายทั้งสองช่วย ซึ่งทั้งเหินซานและลู่ซานก็เห็นเป็นจริงดังซูเมิ่งว่า บางทีพวกเขาก็สงสารน้องอยากให้นางได้เปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง “ลูกว่าก็จริงของน้องรองนะขอรับ ให้นางไปก็ดีจะได้ให้นางได้เปิดหูเปิดตาบ้าง” ลู่ซานบอกแก่หย่งคังทำให้เจ้าบ้านคิดหนักกว่า เพราะเขาก็กลัวเรื่องความปลอดภัยของบุตรีรวมถึงสุขภาพของนางด้วย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเจ็บป่วยเท่าแต่ก่อนแต่ใครจะรู้เล่าว่าหากไปเจออากาศหนาวของวสันต์ฤดูที่กำลังมาถึงจะอาการเป็นอย่างไร ยิ่งครานี้เขารับหน้าที่เฝ้าเมืองหลวงไม่ได้ติดตามขบวนไปด้วยยิ่งรู้สึกเป็นห่วง “มีทั้งลูกและน้องรองอยู่ เดี๋ยวพวกเราจะดูแลอย่างดีขอรับ” เหิงซานรีบเอ่ยสำทับ “งั้นก็ได้ เดี๋ยวให้ฮูหยินเตรียมเสื้อผ้าให้หนา ๆแล้วก็เตรียมยาบำรุงไปด้วยดีดี แล้วเจ้าก็อย่าไปดื้อซนเล่า” หย่งคังหันไปพูดกับหยางฮูหยินจบก็หันมากำชับซูเมิ่งอีกครา จากนั้นก็คุยเรื่องจิปาถะก่อนแยกย้ายไป#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







