เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 25 (ต่อ)
ซูเมิ่งชะงักกึก หันมองเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยเสียงเบาแต่ชัดเจน หากนางจำไม่ผิดบุรุษผู้นี้มิใช่คนที่มักยืนอยู่กายชินหวังหรอกหรือ? ไยมาอยู่ที่นี่ได้ “ข้าน้อยถงฝูได้รับคำสั่งของชินหวังให้มาคุ้มกันคุณหนูขอรับ” ถงฝูเห็นว่าซูเมิ่งคงจำตนได้จึงรีบแนะนำตัวให้นางแน่ใจ การที่เขาปรากฎครานี้ถือว่าทำผิดมหันต์จากคำสั่งเจ้านายที่บอกให้เขาติดตามคุณหนูซูเมิ่งอยู่ห่าง ๆคอยส่งข่าวกลับไปบอกรายวันว่านางทำอะไรบ้าง แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดชินหวังผู้ไม่เคยยุ่งเรื่องผู้อื่นโดยเฉพาะผู้หญิงธรรมดานางหนึ่ง แต่ด้วยเป็นคำสั่งไม่เข้าใจอย่างไรก็ต้องทำ หลังจากที่เขาลอบติดตามคุณหนูซูเมิ่งมาห่าง ๆ จากที่จวนไป๋จนถึงวัดจิวเลี่ยนจากนั้นก็เฝ้ามองอยู่ไกลตลอด จนกระทั่งตอนนี้ทำให้เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หลังจากที่คุณหนูซูเมิ่งและคุณหนูอีกคนเข้าไปพักผ่อนในห้องพักแล้วผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามเหล่าองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็ถูกโจมตีจากห่าอาวุธลับพี่อาบยาสลบจนล้มลงทั้งหมด จากนั้นก็มีกลุ่มคนชุดดำราวยี่สิบคนกระจายล้อมโบสถ์แห่งนี้ไว้ และให้คนเป่าควันยาสลบเข้าไปในห้องสักพักพอเสียงสวดมนต์เงียบลงก็กรูกันเข้าไปด้านใน ทิ้งคนเฝ้าประตูทางออกประตูละสองคน พอถงฝูที่ได้คำสั่งให้เพียงมาติดตามและส่งข่าวแต่บังเอิญมาเจอเหตุการณ์นี้เข้า เขาได้ส่งข่าวเร่งด่วนบอกเเก่พรรคพวกแล้ว แต่กว่าจะมาถึงอาจไม่ทันกาล ตอนนี้เขาจึงจำเป็นต้องเผยตัวและดูเเลคุณหนูซูเมิ่งให้ดีที่สุด ถงฝูเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทั้งสองฟัง จิวซินที่พอฟังจบก็พลันเข่าอ่อนนั่งกับพื้น ปากพร่ำเอ่ยว่าจะเข้าไปหาท่านแม่ตน ส่วนซูเมิ่งก็นิ่งเงียบในหัวคิดวิเคราะห์สิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ย “พวกมันมานานเท่าไหร่แล้ว?” “ราว ๆสองเค่อกว่าขอรับ” ซูเมิ่งพยักหน้าเชิงรับรู้ สองเค่อเอาคนมาเกือบยี่สิบคน หากเป็นเป็นโจรมาขโมยทรัพย์สินวัดหรือของมีค่าของผู้มาสักการะ ก็น่าจะกำลังขนของใกล้เสร็จ ควรการมีทยอยเอาของออกมาบ้าง และก็ควรแบ่งคนไปค้นทรัพย์สินต่อที่หอพักเพราะคงไม่มีใครพกเงินทองติดตัวเยอะขณะมาสวดมนต์หรอก หากเอามาที่วัดก็ต้องเก็บไว้ที่ห้องตัวเองมากกว่า เรื่องนี้พวกโจรปล้นทรัพย์น่าจะรู้เพราะดูจากการลอบฆ่าเหล่าองครักษ์ต้องมีการวางแผนมาอย่างดี ไม่น่าพลาดเรื่องพวกนี้ง่าย ๆ ฉะนั้นพวกมันไม่น่าทำเพื่อปล้นทรัพย์ แล้วจะทำเพื่ออันใดล่ะ? ลักพาตัวคน หรือฆ่าคน เพราะมีใครบางคนสั่งการมา อย่างนั้นป่านนี้ก็น่าจะออกมาแล้วสิ เพราะคนในนั้นถูกวางยาสลบหมดแล้วแค่หาตัวคนแล้วฆ่าหรือพาตัวไปไม่น่าจะใช้เวลานานเพียงนั้น ยิ่งนานก็ยิ่งเสี่ยง นอกเสียจากว่า… เป้าหมายของพวกเขาไม่ได้อยู่ในนั้น!!! พลันประตูบานที่ซูเมิ่งและจิวซินออกมาก่อนหน้าก็ถูกเปิดออก คนด้านในราวสามคนเดินออกมาย่องเสียงเบาไปยังบริเวณห้องพักที่พวกนางเพิ่งจากมา ซึ่งนั่นเป็นการไขความจริงให้นางได้เป็นอย่างนี้ เป้าหมายคงหนีไม่พ้นเป็น ซูเมิ่ง หรือไม่ก็ จิวซิน เป็นแน่! ชายสามคนนั้นค้นห้องพักทุกห้องพอไม่เห็นวี่แววของคนที่ตามหาก็รีบเข้าไปรายงานหัวหน้าในโบสถ์ “จิวซินไม่ต้องกังวลไป ข้าคิดว่าคนข้างในน่าจะปลอดภัย ถงฝูข้าฝากดูแลนางด้วย” ซูเมิ่งเอื้อมบีบมือสหายที่นั่งตัวสั่น นัยน์ตาเศร้าสลดน้ำตาอาบหน้า “แล้วคุณหนูจะไปไหน อันตรายนะขอรับ” ถงฝูรีบเอ่ยเพราะเห็นนางกำลังจะลุกขึ้น เขาไม่มีทางปล่อยให้คุณหนูในห้องหออย่างนางออกไปจากที่ซ่อนตรงนี้หรอก แต่มืออีกข้างเขาก็ถูกสตรีนามว่าจิวซินจับไว้แน่น หวังให้เขาเป็นที่พึ่งพิง “ข้าไปสำรวจแถวนี้เฉย ๆ ระหว่างรอคนมาช่วย” ซูเมิ่งหมายถึงพรรคพวกที่ถงฝูเอ่ยก่อนหน้าว่าเขาเรียกคนมาเพิ่ม น่าจะกำลังเดินทาง ซึ่งระหว่างนี้ซูเมิ่งคิดว่านางจะไปสำรวจรอบ ๆเสียหน่อย นางอยากให้ตัวเองแน่ใจว่าคนข้างในปลอดภัยจริง พูดจบนางก็ไม่รอให้ถงฝูเอ่ยอีกรอบ ซูเมิ่งกระโดดพวดเดียวไปหลบที่ก้อนหินใหญ่ไม่ไกล และค่อย ๆเคลื่อนเข้าใกล้ตัวโบสถ์มากขึ้นโดยนางอาศัยจุดที่แสงส่องไม่ถึง พรางตัวไปเรื่อย ๆ ฝ่ายถงฝูจะคว้าก็คว้าไม่ทันด้วยติดที่แขนข้างหนึ่งถูกยึดไว้จะสะบัดก็หาใช่ที่ และด้วยไม่คาดคิดว่าคุณหนูที่ป่วยพักแต่ในห้องหับอย่างซูเมิ่งจะรวดเร็วปานนั้น ในใจเขาได้เเต่ภาวนาว่าพรรคพวกของตนจะมาถึงให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายกับคุณหนู กุบกับๆ “เป็นข้างหน้าพะยะค่ะ” เป็นหลิ่งเอ้อเร่งม้าขึ้นมาเท่าซือหมิง เขาพยักหน้าให้หลิ่งเอ้อ จากนั้นตนก็หยุดม้า พอเท้าแตะพื้นชายในชุดองครักษ์ประจำตำแหน่งชินหวังหลายสิบนายก็กระจายกำลังล้อมวัดจินเลี่ยน ฝ่ายถงฝูที่รับรู้ได้ว่าชินหวังมาเขาก็รีบพาคุณหนูจินซินเข้าไปหา แต่ด้วยแม่นางไหนเลยจะเดินได้ตามที่ชายหนุ่มที่นางเกาะเดิน จิวซินขาอ่อนปวกเปียกการเดินตามของนางเหมือนถูกลากเสียมากกว่า ชินหวังหันมาสนใจถงฝู มองแม่นางข้างหลังที่พอเข้ามาในรัศมีการมองเห็นของเขา เขาก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนที่ตนกำลังมองหา จึงละสายตาเปลี่ยนเป็นจ้องมองถงฝูแฝงความดุดัน “คุณหนูซูเมิ่งแยกกับกระหม่อมไปสักพักแล้วขอรับ จนป่านนี้ยังไม่กลับมา ไม่…” ถงฝูคุกเข่ายอมรับสารภาพผิด ขณะนั้นหลิ่งเอ้อก็วิ่งเข้ามารายงาน “พวกมันหนีกันไปได้ทั้งหมดขอรับ คาดว่าน่าเตรียมทางหนีเป็นอย่างดี ส่วนคนข้างในปลอดภัยและอยู่ในอาการหลับไหลทุกคน สภาพของในโบสถ์ถูกรื้อค้น พวกมันน่าจะเอาของมีค่าไปด้วย ส่วนคุณหนูซูเมิ่งนั้นยังไม่มีใครพบขอรับ” ฉับพลันบรรยากาศโดยรอบก็เย็นยะเยือกลง รูม่านตาของซือหมิงหดเล็กลง “หาจนกว่าจะเจอ!” บริเวณโดยรอบมืดตื๋อไร้แสงส่อง สองเท้าเล็กย่างก้าวไปข้างหน้า มือคลำจับสองข้างที่เป็นผนังกำแพงหินมีความชื้นเล็กน้อย นางค่อย ๆเดินพอเท้าเหยียบถูกหินก้อนเล็กก็ยกขึ้นใหม่หาวางบริเวณพื้นเรียบเพื่อไม่ให้เกิดเสียง ขณะที่นางลัดเลาะหาช่องทางเพื่อจะดูว่าข้างในโบสถ์เกิดอะไรขึ้นบ้าง อยู่ดี ๆเหล่าโจรชุดดำก็พากันหลบหนีอย่างมีแบบแผน แต่ทุกคนต่างมุ่งไปทางเดียวกันคือป่าบริเวณที่ลึกไปทางหลังโบสถ์ ซูเมิ่งแอบตามมาจนได้รู้ว่ามีทางลับตรงนี้อยู่! ซูเมิ่งรอให้พวกโจรหายเข้าไปตรงทางลับนั้นสักพักก่อนที่นางจะแอบตามเข้ามา ข้างในเป็นโพรงหินขนาดสามคนเดินแบบเบียด ๆเข้าได้ พอเข้ามาก็มีทางแยกหลายทางแต่นางคลำดูบริเวณพื้นดูบริเวณที่อุ่นที่สุดแล้วตามมา โชคดีที่พวกเขามีหลายคนและนางก็รีบตามมาเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ทำให้ที่พื้นยังมีความอุ่นที่เกิดจากการเสียดสีจากการเคลื่อนไหวหลงเหลืออยู่ ซูเมิ่งจึงออกมาจากโพรงหินนั้นได้ เนื่องจากยามนี้เป็นช่วงกลางคืนจึงทำให้ซูเมิ่งที่โผล่ออกมาจากโพรงหินไม่มีใครเห็น แม้ไร้แสงอาทิตย์แต่ก็ถือว่าสว่างกว่าทางในโพรงหินมาก ซูเมิ่งจึงต้องใช้เวลาในการปรับสายตาชั่วครู่ พอสองตากลับมามองเห็นชัดอีกครั้ง พลันนัยน์ตาคู่สวยก็เบิกโพรง! “เจอแล้วพะยะค่ะ!!!” ถงฝูเร่งฝีเท้าบอกแก่ผู้เป็นนายที่ตอนนี้ทำต้นไม้รอบข้างน้ำแข็งขึ้นทั้งที่ช่วงนี้เป็นฤดูร้อน ซือหมิงลืมตาขึ้น เขาเลื่อนสายตาไปตามเสียง เบื้องหลังถงฝูเป็นหญิงสาวชุดเขียว ผมและชุดยุ่งเล็กน้อย ขัดกับนัยน์ตาที่ส่องประกายวาววับสดใสราวกับสิ่งที่เจอมาไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจอันใด พอเขาเห็นแววตานั่นก็อดรู้สึกขัดใจมิได้ “เจอคุณหนูซูเมิ่งอยู่ที่ในป่าหลังโบสถ์พะยะค่ะ เป็นนางที่เดินออกมาหาพวกกระหม่อม” ถงฝูเอ่ยรายงานทันทีที่เขาและซูเมิ่งเดินมาหยุดที่หน้าของซือหมิง เจ้านายเขานอกจากหันมาจ้องคุณหนูซูเมิ่งแล้วและบรรยากาศโดยรอบก็กลับมาปรกติ ก็แทบไม่แสดงอาการอะไรเลย ซึ่งสำหรับถงฝูที่อยู่ข้างกายซือหมิงมาหลายสิบปีย่อมดูออกว่าอาการเหล่าคือการแสดงความเป็นห่วง ซูเมิ่งก้าวมายืนหน้าถงฝูก่อนย่อตัวลงคารวะ “ขอประทานอภัยที่ต้องให้ท่านชินหวังเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันมิเป็นอะไร แล้วก็ต้องขอบพระทัยที่มาช่วยพวกหม่อมฉันด้วย” ในขณะที่ซูเมิ่งก้มหน้าอยู่เบื้องหน้าซือหมิง เขาก็ถือโอกาสมองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าพอเห็นว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บจึงค่อยเอ่ยรับคำ ซูเมิ่งกลับมายืนหลังตรงอีกครั้ง หันมองโดยรอบ “แล้วท่านแม่และคนอื่น ๆล่ะเพคะ?” ตั้งแต่นางเดินกลับมา นอกจากคนของชินหวังก็ไม่เห็นคนอื่นเลย “ข้าส่งทุกคนกลับเมืองหลวงหมดแล้ว เหลือเพียงเจ้า” ซูเมิ่งหันกลับมาส่งยิ้มแหย ๆ ทำไมนางรู้สึกว่าในน้ำเสียงนั้นแฝงการประชดบางอย่างนะ …แต่คนอย่างชินหวังไม่น่าจะทำอย่างนั้นกระมัง เพราะสีหน้าเขาก็ยังคงราบเรียบตามเคย นางคงคิดไปเอง… “มิต้องเป็นห่วงขอรับคุณหนูซูเมิ่ง ทุกคนปลอดภัยดี อีกไม่นานเจ้าหน้าที่กองปราบคงมาถึง” ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำ จากนั้นนางก็เดินออกมายังบริเวณทางออกวัด แม้ท้องฟ้ายังคงไร้แสงแต่ก็ได้ตะเกียงไฟที่ถูกจุดแขวนไว้เป็นจุด พอมองไปรอบ ๆ พลันคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่น “เอ่อ รบกวนท่านถงฝูมากแล้ว เดินทางโดยสวัสดิภาพเจ้าค่ะ” โดยรอบมีแต่ม้าที่น่าจะเป็นของพวกองครักษ์พรรคพวกของเขาที่ขี่มา ไม่มีรถม้าสักคัน ซูเมิ่งจึงคิดว่าตนอาจต้องรอรถม้ากลับมารับจึงเอ่ยลาและคิดว่าจะขอนั่งรอบนเนินหินไม่ไกล นางยังเดินไปไม่ถึงที่หมายแขนข้างซ้ายตนก็ถูกบางอย่างรั้งไว้ “หือ มีอันใดหรือเพคะ ท่านซินหวัง?" “เจ้าจะไปไหน?” “ก็ไปยังรอรถม้ามารับไงเพคะ ตรงนู้น เหวอ…” ซือหมิงรวบเอวบางก่อนออกแรงยกนางขึ้นนั่งบนม้าของเขาในท่าสองขาปล่อยลงมาฝั่งเดียว หากไม่ได้สองมือหนาของชายคนที่พาซูเมิ่งดันขานางไว้มีหวังคงตกก้นกระแทกพื้นไปแล้ว “นั่งนิ่ง ๆ ระหว่างนั่งไปกับข้ากับเดินกลับเอง เจ้าเลือกเอา!” น้ำเสียงดุดันพร้อมด้วยตัวเลือกที่แทบไม่ต้องเลือกทำเอาใบหน้าของซูเมิ่งแฝงความกรุ่นโกรธ นางกลืนคำพูดที่จะพูดลงคอก่อนเอ่ยเสียงแข็ง “งั้นก็ให้หม่อมฉันนั่งดีดีก่อนสิเพคะ นั่งแบบนี้ตกม้าก่อนไปถึงจวนเป็นแน่เพคะ” ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งก็โน้มตัวจะลงจากม้าให้ได้แต่เจ้าของมือหนาหาได้ยอมไม่ เขาลงแรงไปที่มือมากขึ้นจนเจ้าของขาได้แน่นั่งนิ่ง สองตาจ้องมองผู้เป็นใหญ่ ณ ที่แห่งนี้นิ่งเป็นเชิงถาม พลันแรงตรงบริเวณหน้าขาตนก็หายไปกลายเป็นร่างหนาของซือหมิงขึ้นม้านั่งข้างหลังนาง สองแขนเอื้อมหยิบเชือกบังคับม้า กลายเป็นท่าโอบกอดซูเมิ่งกลาย ๆ “ข้าไม่ปล่อยเจ้าตกหรอก” ยังไม่ทันที่เจ้าของร่างบางจะเอ่ยปากขัด ซือหมิงก็เตะเท้าควบม้าไปทันที ฝ่ายซูเมิ่งพอเห็นว่าตนไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้แล้วก็นึกค่อนขอดในใจ ด้วยมิคิดว่าตัวเองจะถูกแอบกินเต้าหู้จากบุคคลที่ไม่น่าแอบกินเต้าหู้ใครอย่างชินหวังผู้เย็นชาผู้นี้ ชาติก่อนแม้ไม่เคยมีความรักด้วยกฎขององค์กรแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยแตะต้องชายใด เคยเจอพวกเฒ่าหัวงูมาก็มาก หรือกระทั่งวันไนท์แสตนด์นางก็เคยผ่านมาบ้าง แล้วไอ้พวกมุกจีบสาวไหนเลยนางจะไม่รู้ ทว่านางก็แอบสับสนว่าการกระทำของชินหวังผู้นี้คับคล้ายว่าจีบนาง หรือไม่เขาก็ทำโดยไม่คิดอะไรเลยแต่เป็นซูเมิ่งที่คิดไปเอง ซูเมิ่งนั่งเกร็งตัวพยายามไม่เอ็นไปข้างหลังโดนตัวชายหนุ่มสุดความสามารถ ลมโต้มาก็แรงทำให้แอบรู้สึกหนาวจนหน้าชาตาแทบปิด มองทางก็รู้ว่าอีกไกลกว่าจะถึงจวนจึงได้เเต่ถอนหายใจ พอเจ้าของม้ารู้เขาก็ใช้มือข้างเดียวบังคับม้าส่วนอีกมือรั้งเองบางให้เข้าไปอยู่ในอ้อมอกตน “เจ้าจะหลับไปเลยก็ได้นะ อีกไกล” มือของซือหมิงไม่คลายไปจากสัมผัสนุ่มลื่นที่เอวของซูเมิ่ง …อืม นี่เขาเพิ่งรู้ว่าร่างกายหญิงสาวช่างนุ่มนิ่มแตกต่างจากตนเองจนไม่อยากละมือออกถึงเพียงนี้ ไหนจะกลิ่นผมหอมละมุนตรงหน้าอีกเล่า พอรู้สึกดังนั้นซือหมิงก็ลดเเรงดึงให้ม้าวิ่งช้าลง แขนข้างที่อยู่ตรงเอวซูเมิ่งขยับรัดให้เเน่นขึ้น ทำเอาเจ้าของเอวโวยวายหลายคราแต่พอเขาไม่ปล่อยเจ้าของเสียงก็เงียบไปเอง …นี่ถือเป็นการลงโทษที่บังอาจไม่เรียกชื่อเขาตามที่ตนบอกไปครั้งที่แล้ว หึ ส่วนขบวนม้าราวสิบตัวที่ตามมาด้านหลังก็พลอยชะลอฝีเท้าตาม บางทีพอม้าของเจ้านายเร่งก็ต้องเร่งตาม จนบางครั้งถึงทางแยกแล้วเจ้านายเลี้ยวผิดดันไปเส้นทางที่อ้อมกว่า ถงฝูก็ขี่ไปเทียบเคียงม้าของซือหมิงคิดจะเตือนเรื่องเส้นทางแต่กลับได้สายตาดุดันกลับมาแทน จนทำให้ตนเองต้องถอยกลับมาติดตามอยู่เงียบ ๆ#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







