เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ห่างออกไปกระทั่งเหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้นจากเจ้าของห้อง เปรมยุดาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทอดสายตามองบ้านที่ไร้ไออุ่นหลงเหลือ
“หนูไม่มีวันไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น ยังไงก็ไม่ไปเด็ดขาด ไม่เรียนก็ไม่เรียนสิ”
ทอดเสียงหนักแน่นกลั่นออกมาจากข้างใน ดวงตาเคยอ่อนหวานบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง เพียงเพราะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจสายเลือดเดียวกัน ไม่คิดว่าผลที่ได้จะออกมาในรูปแบบนี้ เงินตั้งเกือบสามแสนกว่าบาทบอกว่าหมดก็จบง่าย ๆ อย่างนี้นะเหรอ
สัตหีบ จังหวัดชลบุรี
เวลา 20.34 นาฬิกา
“บอกจะไปหากู แล้วทำไมเป็นกูที่มาอยู่บ้านมึงวะ”
ดลธีพาดเสื้อสูทตัวนอกของตนเองไว้กับเก้าอี้แล้วเดินอ้อมมาทิ้งตัวลงพื้นนุ่มของโซฟากลางห้องโทนสีเทา ร่างสูงทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปด้านหลังแล้ววาดขายาวขึ้นไขว่ห้าง ในระหว่างกำลังรอเจ้าของบ้านถือเบียร์มา
ปึก!
การันต์วางเครื่องดื่มดับกระหายตรงหน้าเพื่อน ก้านนิ้วเรียวแข็งแกร่งดึงสลักเปิดฝาออกครั้งเดียวเสียงซ่าก็ชวนให้คนพึ่งบ่นยกยิ้มกับการบริการจากเจ้าบ้าน
“กูยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากห้องทำงานมึงบอกว่าอยู่หน้าตึกออฟฟิศแล้ว จะบอกว่ากูไม่ไปตามที่พูดไม่ได้นะดล” สิ้นคำเบียร์เย็น ๆ ก็ไหลไปตามลำคอแกร่งเข้าสู่กายกำยำ
“ก็คนมันใจร้อน อยากรู้ว่าอะไรทำให้มึงอยากเจอหน้าหล่อ ๆ ของกูแค่ข้ามวันเองล่ะวะ”
“ไม่มีอะไรพิเศษ แค่อยากให้ช่วยอะไรนิดหน่อย ไม่เกินกำลังท่านประธานใหญ่แห่งบอสสตรัคชั่นหรอกมั้ง”
คนถูกยกให้เป็นประธานใหญ่ทั้งที่ดำรงตำแหน่งรองประธานยืดอกอย่างภาคภูมิใจ แต่ถึงการันต์จะเอ่ยถึงตำแหน่งไหนก็ไม่ได้เป็นผลกับเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ารับมุกของเพื่อนก็เท่านั้น
“ไม่ใช่ให้กูไปเก็บใครหรอกนะ ไม่ดีนะเว้ยกูยังอยากกินข้าวร้านหรู ๆ อยู่”
“หึ! กลัวเป็นด้วยเหรอมึงน่ะ”
ดลธีหัวเราะลั่นห้องทันทีเมื่อได้ฟังคำนั้นออกมาจากปากของคนที่รักสงบมากที่สุดอย่างการันต์ นั่นหมายความว่าเพื่อนของตนกำลังจะว่ายวานต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาล่ะสินะ
หลังจากวันนั้นมาเปรมยุดาก็พับเรื่องการเรียนเอาไว้อย่างที่พูดจริง ส่วนป้าและเธอก็ต่างคนต่างอยู่แต่ในที่นี้หมายถึงไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เพราะยังอาศัยอยู่ในชายคาของบ้านเธอ
เช้านี้เธอต้องออกไปทำงานร้านสะดวกซื้อห่างจากหมู่บ้านไปสามกิโลเมตรด้วยรถจักรยานยนต์คันเก่าคันเดิม วุฒิการศึกษาของตนเองนั้นแม้จะจบมัธยมปลายก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นมาตรฐานที่ทางบริษัทใหญ่ ๆ จะรับได้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ขอคว้าเอาไว้ก่อน พอเก็บเงินได้สักก้อนแล้วค่อยคิดวางแผนอีกทีว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองยังไงต่อไป
มินิมาร์ท
ปิ่งป่อง~
“สวัสดีค่ะ ร้านทอฝันยินดีให้บริการ เชิญคุณลูกค้าด้านในค่ะ”
เสียงหวานกล่าวทักทายตามคำแนะนำของเจ้าของร้าน รอยยิ้มหวานแต่งแต้มเต็มดวงหน้าสวย ประกายระยิบระยับทอให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจทำให้ผู้ที่พึ่งก้าวเข้ามาถึงกับยิ้มตาม
ชายหนุ่มผิวสีเข้มสวมแจ็คเก็ตสีดำกับกางเกงยีนสีเดียวกัน ก้าวเข้ามายังโซนเครื่องดื่มด้านในก่อนจะหยุดล้วงเอาโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมา
“ผมอยู่ที่เดิมครับ”
[ได้ข่าวอะไรเพิ่มเติมอีกไหม] เสียงราบเรียบถามกลับอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์ว่ายินดีหรือไม่กับข่าวที่ได้รับ
“น่าจะเป็นอย่างที่คุณดลบอก เธอไม่เรียนหนังสือแต่ออกมาทำงานแทน อีกอย่างมหา’ลัยทางนี้ปิดรับหมดแล้วครับ”
มืออีกข้างก็ทำทีเป็นหยิบเครื่องดื่มหมุนไปมาคล้ายกับว่าอ่านฉลากให้ปลายสายฟัง แต่ความเป็นจริงแล้วกำลังรายงานให้ผู้ว่าจ้างรู้ถึงการเคลื่อนไหวของคนที่ตนตามมาหลายวัน!
‘นักสืบ’ คือตัวตนที่แท้จริงของชายคนนี้ เขาถูกว่าจ้างจากรองประธานบริษัทในเครืออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ให้ติดตามการเคลื่อนไหวของหญิงสาวนามว่า เปรมยุดา อินธินันท์ ด้วยราคาสูงลิบลิ่วอย่างที่ไม่เคยมีใครเสนอมาก่อน มีหรือจะไม่รีบคว้าเอาไว้แต่ถึงผู้ว่าจ้างจะจ่ายตามราคาของทางบริษัทกำหนดก็ต้องทำอยู่ดีในเมื่อเป็นอาชีพของเขา
“แล้วก็นอกจากป้าที่อยู่ด้วยกันญาติคนอื่น ๆ ก็ไม่ค่อยได้มายุ่งเกี่ยวกับบ้านเธอเท่าไหร่ ต่างก็มีครอบครัวกันหมด”
ห้องประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
การันต์รับรู้การเคลื่อนไหวของเปรมยุดาผ่านรายงานจากนักสืบของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งโดยผ่านการติดต่อมาจากดลธี
“หมายความว่าไม่มีใครสนใจเธออย่างนั้นเหรอ”
น้ำเสียงเอ่ยออกไปของการันต์เต็มไปด้วยความคุกรุ่นอยู่หลายส่วน ดูท่าแล้วข่าวที่เพื่อนสนิทได้ยินมาจะเป็นความจริง นอกจากจะไม่สนใจเธอแล้วยังปล่อยให้เผชิญกับความลำบากเพียงลำพัง อายุสิบเก้าปีไร้ซึ่งบิดามารดาแล้วยังต้องมาเจอกับคนรอบข้างที่ไม่เอาใจใส่อีก
‘เป็นผู้ใหญ่แบบไหนกัน’
[เป็นอย่างนั้นครับ แล้วก็มีเรื่องหนึ่งที่ผมพึ่งรู้มา]
“.....”
การันต์เงียบเพื่อรอฟังต่อว่าทางนั้นจะมีเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับเปรมยุดาอีก
[สาเหตุที่ทำให้คุณเปรมไม่ได้เรียนต่อ อาจจะเป็นเพราะว่ากำนันในพื้นที่ต้องการแต่งเธอเข้าไปเป็นลูกสะใภ้ครับ]
“แต่งที่หมายถึงแต่งงานนะเหรอ?”
ครั้งนี้การันต์ใช้เสียงเดือดดาลอย่างไม่ปิดบัง
[ใช่ครับคุณการันต์ น่าจะเป็นเพราะต้องการหาผู้หญิงสักคนทำให้ลูกชายเลิกเสเพล แล้วคุณเปรมก็เป็นคนเงียบ ๆ ด้วยก็เลยถูกตาทางนั้น]
“ผมอยากรู้มากกว่านี้ ช่วยสืบเกี่ยวกับครอบครัวกำนันคนนั้นให้ผมหน่อย แค่เรื่องแต่งงานคงไม่ใช่แน่ผู้หญิงไม่ได้มีแค่เปรมยุดาคนเดียว ผมอยากรู้ให้เร็วที่สุด ต้องการเพิ่มเท่าไหร่ผมจ่ายไม่อั้น แต่ต้องมีความคืบหน้าโดยเร็วที่สุด”
[ได้ครับคุณการันต์ ผมต้องวางแล้วเธอกำลังเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ครับ] เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวจากกระจกสะท้อนผ่านหางตานักสืบหนุ่มจึงบอกกับผู้ว่าจ้าง
“ฝากคุณด้วย”
วางมือถือลง นัยน์ตาสีดำขลับเฉี่ยวคมมีแววของความกรุ่นโกรธฉายชัด เรื่องของเปรมยุดากวนใจเขามาตลอดจนไม่อาจปล่อยผ่านให้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ตามสืบความเป็นอยู่ของเธออย่างเงียบ ๆ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่รู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมากเพียงใด
ตั้งแต่ได้พบกับเปรมยุดาคราวนี้แม้แค่เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ทำให้วางใจไม่ลง ก้อนเนื้อบนหน้าอกข้างซ้ายมักเต้นผิดจังหวะทุกครั้งเมื่อนึกถึงใบหน้าโศกเศร้า หรือดวงตาหวานกลมโตสั่นระริกยามได้สบประสานกัน แม้แต่ผิวเนียนละเอียดอมชมพูยามกระทบแสงแดดช่างบอบบางน่าทะนุถนอมปกป้อง!
การันต์ส่ายหัวขับไล่ความคิดภายในหัวเหล่านั้นออกไปเมื่อเผลอจินตนาการถึงเรือนร่างของเด็กสาวอย่างละเอียด คงเป็นเพราะว่าเปรมยุดาน่าสงสารเกินไปจึงทำให้เขา ‘ห่วง’
ยอดของวันนี้ทำให้พนักงานขายคนใหม่ถึงกับยิ้มกว้าง ร้านทอฝันเป็นของครอบครัวที่ตั้งในชุมชนใหญ่ ๆ ก็เลยมีลูกค้าในละแวกใกล้เคียงรวมไปถึงขาจรแวะเวียนมาตลอดทั้งวัน
“ขอบใจมากนะเปรมกลับบ้านดี ๆ นะพรุ่งนี้ก็มาเวลาเดิมนะจ๊ะ” เจ้าของร้านเข้ามาทำหน้าที่แทนลูกจ้างใหม่เมื่อกลับมาจากทำธุระในตัวเมือง
“ค่ะป้าแหม่ม อ้อ...ในตู้แช่น้ำอัดลมใกล้จะหมดแล้วนะคะ เหลือแค่ลังเดียว” เธอเรียกชื่อเจ้าของร้านอย่างนั้นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนเสนอ
แหม่มเป็นลูกสาวคนเดียวยังไม่มีครอบครัวพอเห็นเด็กเอาการเอางานอย่างเปรมยุดาก็นึกเอ็นดู ช่วงแรกก็ไม่กล้าปล่อยให้เด็กสาวเฝ้าร้านเพียงลำพัง
เคยแอบวางเงินไว้ทดลองความซื่อสัตย์เงินจำนวนนั้นนอกจากจะไม่หายยังถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี กลับเข้ามาอีกทีเปรมยุดาก็ยื่นเงินจำนวนนั้นให้แล้วบอกว่าตนวางลืมไว้กลัวหายก็เลยเก็บไว้ให้ ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เจ้าของร้านสังเกตแม้แต่สินค้าภายในร้านยังไม่เคยถูกขโมยจากเด็กสาว ที่กล่าวอย่างนั้นก็เป็นเพราะเคยถูกกระทำจากลูกจ้างคนก่อน ๆ
พ้นจากแอร์เย็น ๆ มาแล้วเปรมยุดาก็ต้องออกมาสู้กับดวงอาทิตย์ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดความร้อนแรงลง ท่อนแขนภายใต้เสื้อแขนยาวสีดำถูกยกขึ้นมาปาดเหงื่อซึมตามกรอบหน้าอย่างรวดเร็ว กดสตาร์ตเครื่องยนต์สองครั้งมันก็ส่งเสียงคำรามราวกับว่าโมโหเธอนักหนา มุมปากกระจับยกขึ้นเมื่อเจอว่ารถประจำกายเสียงเครื่องคำรามเพิ่มอีกแล้ว
“อย่าพึ่งเป็นอะไรตอนนี้ล่ะ ฉันไม่มีเงินพาแกไปรักษาหรอกนะ” กล่าวกับสองล้อคู่ใจก่อนจะบิดคันเร่งพาตนเองมุ่งหน้ากลับบ้าน
ใช้เวลาเดินทางจากมินิมาร์ทมาถึงบ้านไม่ถึงครึ่งชั่วโมงระหว่างทางเปรมยุดามีความคิดในหัวเป็นฉาก ๆ ว่าถึงแล้วจะทำอะไรบ้าง กินข้าวไข่เจียวร้อน ๆ สักจาน ซักผ้าพึ่งใส่ไปสองวันก็จะอาบน้ำนอนพักสายตา ทว่าเมื่อถึงที่หมายความรื่นรมย์ภายในใจพลันเลือนหายไปจากใบหน้าสวยทันที
รถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้านนั้นคนเป็นเจ้าของเธอไม่อยากเจอมากที่สุด
“ยังจะมาทำอะไรอีก น่าเบื่อจริง ๆ” ตั้งท่าจะเบนหัวไปอีกทางไม่อยากเข้าไปในบ้านตอนนี้…
การันต์ดีดตัวจากเก้าอี้ตัวยาวเร่งรุดไปหยุดตรงหน้าคุณหมออย่างรวดเร็ว “ภรรยากับลูกผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” ความตื่นเต้นระคนกังวลทำเสียงที่เอ่ยถามนายแพทย์ออกมาสั่นไหว “ยินดีกับคุณพ่อด้วย คุณแม่และ ‘ลูกชาย’ ปลอดภัยและแข็งแรงทั้งคู่ครับ อีกเดี๋ยวเราจะย้ายพวกเขาไปห้องพักฟื้น ถ้ามีอะไรต้องการเพิ่มก็แจ้งพยาบาลได้เลยครับ” นายแพทย์กล่าวเสียงละมุน เห็นสีหน้าของสามีคนไข้แล้วคงกระวนกระวายใจไม่น้อย “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” การันต์ไม่อาจกลั้นความปรีติยินดีเอาไว้ได้ น้ำตาแห่งความดีใจหล่นออกมาอย่างไม่นึกอายพอได้ยินกับหูตัวเองแล้วว่าคนที่ตนเองรักสุดชีวิตทั้งสองปลอดภัย “กูบอกแล้ว สองคนนั้นเก่งจะตาย” ดลธีตบไหล่ปลอบเพื่อน “ต้องอยากเจอหน้าหลานจังเลยค่ะ งั้นขอไปรอหน้าห้องเด็กนะคะ” “ไปด้วย ผมกับต้องไปทางนู้นนะครับ” ขุนพลหันมาบอกคุณอาทั้งสองก่อนจะวิ่งตามต้องใจไป ดลธีมองกระทั่งภาพหลังหนุ่มสาวทั้งสองลับสายตาจึงหันกลับมาหาเพื่อนรักที่เช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างรวดเร็ว “ยินดีด้วย ต่อไปก็เป็นพ่อเต็มตัวแล้วนะ ดีที่ไม่ต้องไว้หนวดตั้งแต่ตอนนี้” คุณพ่อป้ายแดงหันมาทางเพื่อนยืนอยู่ข้างกัน ดวงตาแดง ๆ ของเขาจ้
เดือนต่อมา...รถเมอร์เซเดสสีขาวของการันต์มุ่งหน้าไปยังหมูบ้านกลางน้ำอีกครั้ง ความตั้งใจของเขาในวันนี้ก็เพื่อจะพาคนรักนั่งข้างกันมีสีหน้าราบเรียบทว่าดวงตากลมโตมีแววสั่นไหวอย่างคนเป็นกังวล “อาจะพาหนูไปวัดแล้วกลับเลย ไม่ต้องกลัว” อุ้งมือใหญ่วางทาบมือเล็ก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลของเธอ ถึงจะผ่านไปแล้วหลายปี หากแต่ว่าความทรงจำของเปรมยุดาก็อยู่ที่นี่ไม่น้อย “ขอบคุณนะคะ” ยิ้มอ่อน ๆ พลางหันมาทางคุณอา สายตาอบอุ่นของเขาทำให้ใจว้าวุ่นตลอดทางผ่อนคลายลงไปมาก คราแรกที่รู้ว่าเขาจะพากลับมาไหว้พ่อกับแม่น้ำตาเธอนองเต็มหน้า คิดถึงพวกท่านจับหัวใจ ต่อให้ไม่ได้พบหน้ากันอีกแค่ได้ไหว้กระดูกคนเป็นลูกอย่างเธอก็ซาบซึ้งใจ“ไม่ต้องขอบคุณ อาตั้งใจจะมาพบพ่อกับแม่หนูอยู่แล้ว”เปรมยุดายิ้มกว้าง คนรักทำราวกับจะได้พบหน้ากัน...คงไม่ต่างจากเธอ!ทั้งสองใช้เวลาชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงที่หมาย ฝ่ายลูกสาวของผู้ลาลับหอบช่อดอกไม้สีสันสดใสกับผ้าหนึ่งผืนเดินนำเจ้าของเรือนกายภูมิฐานไปยังเจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ “หนูกลับมาหาพ่อกับแม่แล้วนะคะ” วางช่อดอกไม้ตรงฐานกว้าง เช็ดฝุ่นออกจากกรอบรูปที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใค
กว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ใช้เวลาไปหลายนาที ดีที่ไม่มีใครแซวหรือพูดอะไร จึงทำให้พวกเรากลับมาสนุกกันต่อ เวลา 00.41 น.“รอกันตรงนี้เรียกรถให้แล้ว” ดลธีบอกขุนพลและต้องใจหลังจากงานเลี้ยงจบลง เขาดูแลทั้งสองเปรียบเสมือนน้องนั่นก็เพราะเปรมยุดาได้กำชับไว้ก่อนที่เธอจะแยกไปกับเพื่อนเขาดีจริง ๆ เลยทั้งหลานทั้งเพื่อน!“ขอบคุณนะครับ” ขุนพลไหว้ผู้ใหญ่ใจดี มื้อนี้เจ้ามือหมดไปไม่น้อย “ไม่เป็นไร ต่อไปถ้ามีงานทำก็กลับมาเลี้ยงฉันบ้างก็แล้วกัน” ดลธีหันไปตอบเพื่อนหลานด้วยใบหน้าทะเล้น“ต้องคิดเป็นบุญคุณด้วยเหรอคะ?” คนที่แม้แต่จะทรงตัวก็ลำบากยังอุตส่าห์หันมาถามเสียงอ่อน “ต้อง! เงียบบ้างก็ได้” ขุนพลห้ามเพื่อนพลางประคองไหล่เล็กให้ยืนได้ตรงเสียก่อนจะปากดี ไม่ดูตัวเองบ้างเลย! ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว“แค่บอกว่าให้เลี้ยงคืน? เป็นบุญคุณเหรอ ถ้าบอกให้เอาเงินมาคืนก็ว่าไปอย่าง หรือเธอจะคืนฉันล่ะยัยขี้เมา” “ก็เอาบัญชีมาสิ เดี๋ยวโอนให้ตอนนี้เลย ชิ!” “มือถือ?”“เอาไป”“ต้อง!”“นายเงียบเลยขุน” จะว่าเหมือนเด็กก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ทว่าคนทั้งสองต่างไม่มีใครยอมกัน คนกลางอย่างขุนพลจึงได้แต่ยิ้มแห้งให้คุณอาขอ
ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาของเปรมยุดาและเพื่อน ๆ ต่างก็ดีอกดีใจเมื่อเดินทางมาถึงจุดสำเร็จสาขาบัญชีรวมตัวถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก เปรมยุดา ต้องใจและขุนพลฉีกยิ้มให้กับกล้อง เสียงกดชัตเตอร์รัวติดต่อกัน พร้อมกับช่างภาพยกนิ้วขึ้นโอเค ทุกคนก็ร้องเฮ คละเคล้าเสียงโห่ร้องตะโกนด้วยความดีใจต่างโอบกอดลากันด้วยน้ำตานองหน้า สี่ปีที่เรียนด้วยกันมาความผูกพันแน่นแฟ้นจนอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องแยกจากเพื่อไปเติบโตใช้ชีวิตวัยทำงานไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาจะไม่มีวันลืมมิตรภาพที่ดีเหล่านี้เลย“เร็วนะว่าไหม? ไม่อยากจากพวกแกไปเลย”ต้องใจนั่งจับมือเปรมยุดา และมองเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งห่างออกไป เธอเห็นสายตาอาวรณ์ที่ขุนพลใช้มองเปรมยุดา ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือกระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่ก็คงทำได้แค่นั้นเพราะตอนนี้เพื่อนรักของเธอมีเจ้าของแล้ว และไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นคุณอาสุดหล่อที่กำลังถือช่อดอกไม่ช่อใหญ่เดินเคียงคู่มากับอิตาคุณอาขี้เก๊กนั่นเอง“เรายังเจอกันได้ แค่เรียนจบไม่ได้จากไปไหนไกลนี่น่า จริงไหมขุน” “ใช่ทำอย่างกับจะจากกันไปไหนไกลเว่อร์จริง ๆ เลยเธอเนี่ย”“โดนรุมอีกละ!”“เรียนจบแทนที่จะดีใจกลับทำหน้าบูด
กายโชกไปด้วยเหงื่อทรุดลงทาบทับร่างเปลือยเปล่าหอบหายใจโยนป้อก⁓“อะ” เปรมยุดารู้สึกกึ่งกลางกายวูบโหวงเมื่อคุณอาถอดถอนตัวตนลำใหญ่ออกไปจากตัวเธอ การันต์หายใจหอบใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ ดึงผ้าห่มคลุมกายเปลือยเปล่าทั้งสองจนถึงอก “มีคำหนึ่งใช่ไหมที่อายังไม่ได้บอกหนู” เกลี่ยปอยผมปกใบหน้ารูปไข่เล่น “อะไรเหรอคะ” ตะแคงตัวโอบกอดกายใหญ่ ซุกหน้าเข้าซอกคอแกร่ง ทำให้คุณอาหัวเราะในลำคอพลอยให้เธอยิ้มตามไปด้วย“อารักหนูเปรม รักมาก รักเกินกว่าใคร ๆ ฉะนั้น...อย่าพูดว่าจะให้อามีคนอื่นหรือคิดว่าอาจะไปมีใคร เพราะแค่มีหนูเปรมคนเดียวก็พอแล้ว” “อาบอกว่ารักหนูเหรอคะ” แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคาย วางฝ่ามือบนใบหน้าเริ่มมีตอหนวดขึ้นบาง ๆ มิน่าเมื่อครู่ถึงได้รู้สึกระคาย “อารักหนูเปรม” ทาบฝ่ามือใหญ่บนหลังมือเล็ก ย้ำให้คนจ้องหน้าด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสดใสสุขล้นฉายชัด เขาชอบเปรมยุดาเป็นแบบนี้มากกว่า ต้องโทษที่ตนไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกจนทำให้เธอเข้าใจผิด“หนูก็รักอา รักมาก ๆ รักที่สุด รักกว่าใครในโลกเลย” ปีนขึ้นไปอยู่เหนือกายใหญ่ อกฟูบดเบียดหน้าอกเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนใต้ร่าง สอดแขนไปใต้ไหล่กว้างก่อนจะซุกหน้าลงหาควา
“อื๊อ” ห้ามยังไงทันเมื่อปลายนิ้วก้านยาวไล้กลีบดอกไม้ผ่านเนื้อผ้า ซ้ำยังคลึงจนเธอสะท้านเฮือกสยิวเสียวซ่านต้องยกสะโพกขึ้นรับความดุดันทันที“หนูเปรมของอาแฉะเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ‘อยาก’ เหมือนกันใช่ไหมเด็กน้อย”ลมร้อนพ่นผ่านซอกคอหอม กดเรียวปากร้อนแนบชิดผิวละมุน ดอมดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย“อ๊าส์...” ครางกระเส่าเสียงหวิวเมื่อคุณอาสอดนิ้วเข้ามาในร่องคับแคบและมันตอบรับเขาอย่างดี ตอดรัดทักทายความแข็งแกร่งราวกับว่ารอคอยในสัมผัสเร่าร้อนนี้มานานเสียงครางผะผ่าวกระตุ้นข้อมือใหญ่สอดใส่ท่อนนิ้วเพิ่ม เขาเกร็งกระแทกเข้าใส่ดุดันจนเส้นเลือดรายล้อมข้อแขนขึ้นปูดบวม ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงพิศวาสมองเรือนร่างส่ายเร้า เขาถอนก้านนิ้วออกหลังจากทนความปรารถนากำลังเผาไหม้ตนเองไม่ไหว ต้องการให้ความอึดอัดเบื้องล่างเข้าไปแทนที่ท่อนนิ้วแกร่งของตัวเองชุดนักศึกษาถูกถอดออกด้วยชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเตียง ไม่นานกายเปลือยเปล่าสวยงามก็ปรากฏแก่สายตา ผิวเนียนละเอียดอมชมพูสวยกระแทกใจการันต์ “หนูเปรมของอาสวยเหลือเกิน” “อาอย่ามองนานนักได้ไหม”“มากกว่ามองก็ทำมาแล้ว”มุมปากหยักกระตุกให้กับเจ้าของมือที่ยกขึ้นปิดส่วนสวยงามเอาไว้ ทั้งขาเร