‘ไม่มีพ่อกับแม่แล้วเปรมมันจะอยู่กับใคร’
‘กำลังโตเลยไม่มีคนดูแลจะเสียคนเอานะ’
มากมายสรรหามาพูดไม่หยุดหย่อนชีวิตหลังจากนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องจัดการยังไง? แค่คิดน้ำตาเหือดแห้งก็พาลตีตื้นกลับมาอีกครั้ง
ดวงตาหวานปกคลุมไปด้วยความหมองหม่นมองภาพสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ตั้งแต่ศีรษะลงไปจนพ้นขอบกระจก
“ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูอยู่คนเดียวได้ พ่อกับแม่หลับให้สบายเถอะนะ”
เสียงเจือไปด้วยความโศกเศร้าเอื้อนเอ่ยแผ่วเบากับตัวเองถึงผู้จากลา แม้จะอาลัยอาวรณ์มากเพียงใดก็ไม่อยากให้ดวงวิญญาณของพวกท่านจากไปอย่างไม่สงบ ต่อให้ไม่มีใครต้องการแต่เธอก็ยังมีสองมือสองเท้า ภายนอกอาจจะเหมือนว่าเธออ่อนแอแต่ข้างในจิตใจนี้แกร่งยิ่งกว่าหินผา
คำสอนเมื่อครั้งยังมีชีวิตของบุพการียังติดอยู่ในหัว
‘จำไว้นะเปรมทุกคนมีสองมือสองเท้าหนึ่งสมองเหมือนกันหมดไม่มีใครเหนือกว่ากันทั้งนั้น ฉะนั้นจงใช้สิ่งที่มีให้เกิดคุณค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด ใครจะว่ายังไงก็ช่างอย่าเก็บเอามาคิดให้รกสมอง ตั้งใจเล่าเรียนไม่ใช่แค่เพื่อเชิดหน้าชูตา แต่เพื่อตัวลูกเองด้วยพ่อกับแม่ก็ให้ได้เท่านี้’
“หนูไม่มีวันลืม...” และเธอไม่มีเวลาให้โอดครวญนานนักยังต้องกลับไปที่วัดอีก
เสียงจอแจพูดคุยกันของผู้อยู่ช่วยงานค่อย ๆ ชัดขึ้นเมื่อเปรมยุดาเข้ามาใกล้ศาลาตั้งศพ นัยน์ตาหวานกวาดมองโดยรอบก่อนจะหยุดอยู่เก้าอี้ไม้ตัวยาวด้านหน้าสุด
“อ้าวมาแล้วเหรอเปรม มานี่สิ”
นางจันกวักมือเรียกหลานสาวทันทีเมื่อเจ้าตัวปรากฏต่อสายตา
“คุณเขามาไหว้พ่อกับแม่เอ็งแหนะ”
เปรมยุดายกมือไหว้ผู้ชายตรงหน้าอย่างนอบน้อม
“เสียใจด้วยนะ” คนมีอายุมากกว่าลดมือที่รับไหว้ลงเอ่ยแสดงความเสียใจผ่านทางน้ำเสียงทุ้ม
การันต์มองลูกสาวของผู้มีพระคุณด้วยความสงสาร เธอคนนี้เขาเคยเจอสองสามครั้งแต่ด้วยความที่มักเก็บตัว พอไหว้ทักทายตนเองเสร็จก็ปลีกตัวไปอยู่ในพื้นที่ของตัวเองหรือไม่ก็ช่วยแม่ทำงานบ้าน จึงไม่ได้มีความสนิทสนมกับเขามากนักไม่รู้ว่าจะยังจำเขาได้หรือเปล่า
“ค่ะ” ตอบรับเสียงแผ่วเบาก่อนกดใบหน้าลงต่ำตั้งพิกัดแค่เพียงปลายเท้า นัยน์ตาดำขลับประกายคมกล้าจากคนตัวใหญ่ทำให้รู้สึกลำคอตีบตันจนไม่กล้าสบตา
อากัปกิริยาของเปรมยุดาตกอยู่ในสายตาของการันต์ เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมผิดก็แต่ความสดใสไม่มีหลงเหลืออยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม
“พวกคุณมาได้ทันส่งสองคนนี้พอดี”
นางจันเอ่ยหลังจากเปรมยุดานั่งลงข้างตนเห็นว่าแขกพึ่งมาเป็นคนต่างถิ่นและยังดูภูมิฐานจึงได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ด้วยเป็นพี่สาวคนโตจึงตั้งตนเป็นแม่งานหากว่าคนใหญ่คนโตมาจะต้องผ่านนางไปก่อน ยังไงเสียเปรมยุดาก็ยังเด็กให้มาต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ประเดี๋ยวจะถูกชาวบ้านติฉินนินทาว่าเอาได้
“ผมพึ่งทราบข่าว พอรู้ก็รีบมา”
นางจันพยักหน้าตอบรับ “เรื่องมันเกิดกะทันหันตั้งตัวกันไม่ทัน อีกอย่างก็ไม่รู้ว่ารงค์มีเพื่อนที่ไหนอีกบ้าง” นางกล่าวตามความจริง ครอบครัวน้องชายตนไม่รู้เรื่องส่วนตัวมากนัก ทางพี่น้องคนอื่น ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวจึงไม่ได้มาใกล้ชิดกับณรงค์เหมือนอย่างตนเอง
เปรมยุดาไม่ได้ฟังถ้อยความระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสามทั้งหมด ผู้เป็นป้าไม่ได้เอ่ยถึงเธอกับพวกเขาซึ่งเป็นปกติของท่านอยู่แล้ว เธอนั่งอยู่ตรงนั้นไม่นานก็ปลีกตัวออกมาอย่างเงียบ ๆ
เวลาต่อมา
การันต์นั่งคุกเข่าหน้าแท่นบูชาเบื้องหลังตั้งโลงเย็นเคียงข้างกัน ดอกไม้ประดับรายล้อมเป็นพุ่มโทนสีอ่อน กลิ่นธูปตลบอบอวลเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าหมอง ชายหนุ่มพนมมือไหว้ร่างอันไร้วิญญาณ ควันสีขาวลอยวนเหนือใบหน้าเรียบนิ่ง
“หลับให้สบายนะครับพี่รงค์พี่วี ขอโทษที่ไม่ได้มาหาหลายเดือน ยิ่งไม่คิดว่าจะมาในวันที่รู้ว่าไม่มีพี่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
ริมฝีปากหยักได้รูปขยับเชื่องช้ากล่าวกับภาพถ่ายของร่างไร้วิญญาณ หัวใจการันต์กระตุกร่วงหล่นซ้ำ ๆ อยากให้ตอนนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน พอตื่นขึ้นมาแล้วได้รับรอยยิ้มกับคนจริง ๆ ไม่ใช่จากภาพถ่ายประดับอยู่หน้าโลงศพ
พลันหางตาเหลือบไปเห็นเรือนร่างซูบผอมนั่งไหล่ตกอยู่ข้างเสากลางศาลา
“เธอโตขึ้นกว่าตอนนั้นมาก แล้วยังเหมือนพี่วีด้วยว่าไหมครับ”
เอ่ยถามทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ไม่ได้คำตอบ แต่ก็อยากให้ผู้จากลาไปแล้วได้รู้ถึงความคิดของตนเอง และยิ่งหดหู่เมื่อเห็นว่ามือน้อย ๆ ยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่อยากให้ใครเห็น ลำคอของการันต์ตีบตันเขาเป็นคนหนึ่งที่สูญเสียบุพการีไปตั้งแต่ยังไม่ทันโตจึงเข้าใจความรู้สึกนี้ที่สุด
ริมฝีปากแดงช้ำเพราะเจ้าตัวคงขบเม้มสะกดกลั้นเสียงสะอื้นไม้ให้ดังเล็ดลอดออกมาสินะ ดวงตากลมโตบวมตุ่ยแดงก่ำก็คงผ่านการร้องไห้มาจนไม่มีเวลาได้พักผ่อน ไหนจะสองมือบีบเข้าหากันตลอดเวลานั้นอีก ชั่ววูบหนึ่งเขาอยากดึงคนตัวเล็กซูบผอมเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ลูบศีรษะอย่างปลอบโยน โอบแผ่นหลังราบเรียบแล้วบอกว่า
‘เข้มแข็งไว้นะเด็กน้อย’
พรึ่บ⁓
“สงสารเธอนะว่าไหม” ดลธีมองตามสายตาของเพื่อนแล้วเอ่ยด้วยความเห็นใจและสงสารลูกสาวของรุ่นพี่ทั้งสอง แล้วยังดึงการันต์ออกมาจากจินตนาการในหัวที่หายวับไปดั่งสายลมพัดผ่าน
“อืม”
เป็นอีกคืนในวันสวดอภิธรรมศพของณรงค์และปภาวีผู้มาร่วมงานก็ยังเป็นกลุ่มเดิม กระทั่งเสร็จสิ้นพิธีเปรมยุดาให้ป้าดูแลแขกส่วนตัวเองเดินมาดูเชิงเทียน กลัวว่าไฟคอยส่องสว่างจะมอบดับลงแล้วที่ที่พวกท่านอยู่จะมืดมนจนมองอะไรไม่เห็น
ก๊อก ๆ
กำปั้นเล็ก ๆ เคาะผนังเย็นเฉียบทั้งสองสลับไปมา วางถาดบรรจุอาหารหลายอย่างแยกออกเป็นสองชุดเหมือนกันลงที่โต๊ะใกล้พวกท่าน
“หนูเอาข้าวมาให้พ่อกับแม่ วันนี้มีแกงส้มแล้วก็ต้มยำปลากะพง ไข่เจียวหอม ๆ ที่พ่อกับแม่ชอบมาด้วยนะ แอปเปิลหนูล้างอย่างดีเลย ส้มก็แกะมาให้แล้ว องุ่นนั่นก็ล้างอย่างดีด้วยนะคะ”
“ตอนนั้นแม่บอกว่าฝีมือของหนูไม่ได้เรื่อง วันนี้ก็เลยทำสุดฝีมือเลยดูนี่สิโดนปลาทิ่มด้วย หึ ๆ ซุ่มซ่ามเหมือนที่แม่ว่าจริง ๆ นั่นแหละ พ่ออย่าขำหนูนะ”
กลอกนัยน์ตาขึ้นสูงเพื่อหยุดน้ำตากำลังเอ่อล้นจะร่วงหล่นออกมา เธอไม่อยากให้พ่อแม่เห็นจึงรีบกลั้นไว้ก่อน
อีกมุมหนึ่งการันต์เห็นทุกอย่างตั้งแต่สองมือค่อย ๆ ประคองถาดและวางลงอย่างระมัดระวัง เดินวนโลงศพทั้งสองชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแนบสนิท จุกในอกราวกับถูกอัดด้วยค้อนปอนด์ขนาดใหญ่กับภาพที่เห็น
‘พี่ภูมิใจกับลูกสาวคนนี้มากเธอขยันแล้วก็อดทน ที่สำคัญคือเก่งมาก ๆ’
แม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ในวงสนทนาก็ตกเป็นหัวข้อในการพูดคุยเสมอ พี่รงค์ทั้งรักและภูมิใจลูกสาวแต่กลับไม่ได้อยู่ดูจนเธอเติบโต ไม่ได้เห็นว่าอนาคตต่อจากนี้จะเดินทางไปในทิศทางไหน?
จวบกระทั่งผู้คนเริ่มซาไปมาก เปรมยุดาเลี่ยงออกไปจากศาลาการันต์จึงหันไปหาเพื่อน
“ดลกูวานอะไรหน่อย”
“อืม?”
“ไปคุยกับป้าแล้วก็ญาติ ๆ ของพี่รงค์หน่อย”
“อยากรู้อะไรทำไมไม่ไปถามเองวะ”
“กูคุยไม่เก่ง สู้มึงไม่ได้ไง”
“กำลังชมกูปะเนี่ย จะบอกว่ากูปากมากก็ว่ามาเถอะ”
คนถูกไหว้วานชักสีหน้าตึง ๆ แต่ก็ไม่จริงจังนัก จะว่าชมก็ไม่ใช่จะว่าเหน็บแนมก็ไม่เชิง ตกลงเขามีดีหรือไม่มีกันแน่?
“เปล่า ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น มึงเข้ากับชาวบ้านได้ดีกว่ากูไม่รู้วิธีชวนพวกเขาคุยเล่น นะวานหน่อย”
เขาประเภทถ้าเรื่องงานไม่เคยหวั่นเกรง แต่เรื่องแบบนี้ใช้วาจาออดอ้อนยอมรับว่าตนแพ้ดลธีราบคาบ
“มึงต้องภูมิใจในตัวเพื่อนคนนี้ ว่าแต่อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”
คนถูกชมยืดตัวยิ้มหน้าระรื่นให้เพื่อนก่อนจะเอ่ยถามถึงจุดประสงค์ที่การันต์ต้องการให้เขาทำ
“ไว้ค่อยว่ากันตอนนี้มึงไปก่อน”
“อะไรวะ? เออ ๆ ไปเดี๋ยวนี้”
ยามค่ำคืนความเงียบคืบคลานเข้ามาปกคลุมพื้นที่อันสงบของวัดกลางน้ำ ผู้คนเคยพลุ่งพล่านค่อย ๆ เลือนหายไปจากบริเวณศาลาตั้งศพของสองสามีภรรยาผู้เคราะห์ร้าย เปรมยุดาบุตรสาวเพียงคนเดียวก็ไม่ได้ต่างกับบรรยากาศโดยรอบในตอนนี้เลยสักนิด ภายในหัวใจถูกทับถมจากความอ้างว้าง แม้จะมีผู้เป็นป้าและญาติคนอื่น ๆ แต่กลับไม่เคยรับรู้เลยว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ตอนนี้ร่างกายมันหนักอึ้งกับสิ่งที่เผชิญราวกับถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับกระทั่งจะหายใจยังทรมาน
ตึก ตึก \u2012
เสียงฝีเท้าย่ำลงพื้นแข็งสม่ำเสมอกระทบโสตประสาททำคนตกอยู่ในห้วงความมืดดำหันขวับมายังต้นเสียง กายเล็กดีดตัวเองขึ้นจากโต๊ะไม้ตัวใหญ่โดยอัตโนมัติ
"อาทําเราตกใจเหรอ?" รอยยิ้มอบอุ่นฉายขึ้นเต็มใบหน้าสุขุม ทว่าร่างสูงใหญ่ยืนในมุมย้อนแสงจึงทำให้เปรมยุดามองไม่เห็น
การันต์ดีดตัวจากเก้าอี้ตัวยาวเร่งรุดไปหยุดตรงหน้าคุณหมออย่างรวดเร็ว “ภรรยากับลูกผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” ความตื่นเต้นระคนกังวลทำเสียงที่เอ่ยถามนายแพทย์ออกมาสั่นไหว “ยินดีกับคุณพ่อด้วย คุณแม่และ ‘ลูกชาย’ ปลอดภัยและแข็งแรงทั้งคู่ครับ อีกเดี๋ยวเราจะย้ายพวกเขาไปห้องพักฟื้น ถ้ามีอะไรต้องการเพิ่มก็แจ้งพยาบาลได้เลยครับ” นายแพทย์กล่าวเสียงละมุน เห็นสีหน้าของสามีคนไข้แล้วคงกระวนกระวายใจไม่น้อย “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” การันต์ไม่อาจกลั้นความปรีติยินดีเอาไว้ได้ น้ำตาแห่งความดีใจหล่นออกมาอย่างไม่นึกอายพอได้ยินกับหูตัวเองแล้วว่าคนที่ตนเองรักสุดชีวิตทั้งสองปลอดภัย “กูบอกแล้ว สองคนนั้นเก่งจะตาย” ดลธีตบไหล่ปลอบเพื่อน “ต้องอยากเจอหน้าหลานจังเลยค่ะ งั้นขอไปรอหน้าห้องเด็กนะคะ” “ไปด้วย ผมกับต้องไปทางนู้นนะครับ” ขุนพลหันมาบอกคุณอาทั้งสองก่อนจะวิ่งตามต้องใจไป ดลธีมองกระทั่งภาพหลังหนุ่มสาวทั้งสองลับสายตาจึงหันกลับมาหาเพื่อนรักที่เช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างรวดเร็ว “ยินดีด้วย ต่อไปก็เป็นพ่อเต็มตัวแล้วนะ ดีที่ไม่ต้องไว้หนวดตั้งแต่ตอนนี้” คุณพ่อป้ายแดงหันมาทางเพื่อนยืนอยู่ข้างกัน ดวงตาแดง ๆ ของเขาจ้
เดือนต่อมา...รถเมอร์เซเดสสีขาวของการันต์มุ่งหน้าไปยังหมูบ้านกลางน้ำอีกครั้ง ความตั้งใจของเขาในวันนี้ก็เพื่อจะพาคนรักนั่งข้างกันมีสีหน้าราบเรียบทว่าดวงตากลมโตมีแววสั่นไหวอย่างคนเป็นกังวล “อาจะพาหนูไปวัดแล้วกลับเลย ไม่ต้องกลัว” อุ้งมือใหญ่วางทาบมือเล็ก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลของเธอ ถึงจะผ่านไปแล้วหลายปี หากแต่ว่าความทรงจำของเปรมยุดาก็อยู่ที่นี่ไม่น้อย “ขอบคุณนะคะ” ยิ้มอ่อน ๆ พลางหันมาทางคุณอา สายตาอบอุ่นของเขาทำให้ใจว้าวุ่นตลอดทางผ่อนคลายลงไปมาก คราแรกที่รู้ว่าเขาจะพากลับมาไหว้พ่อกับแม่น้ำตาเธอนองเต็มหน้า คิดถึงพวกท่านจับหัวใจ ต่อให้ไม่ได้พบหน้ากันอีกแค่ได้ไหว้กระดูกคนเป็นลูกอย่างเธอก็ซาบซึ้งใจ“ไม่ต้องขอบคุณ อาตั้งใจจะมาพบพ่อกับแม่หนูอยู่แล้ว”เปรมยุดายิ้มกว้าง คนรักทำราวกับจะได้พบหน้ากัน...คงไม่ต่างจากเธอ!ทั้งสองใช้เวลาชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงที่หมาย ฝ่ายลูกสาวของผู้ลาลับหอบช่อดอกไม้สีสันสดใสกับผ้าหนึ่งผืนเดินนำเจ้าของเรือนกายภูมิฐานไปยังเจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ “หนูกลับมาหาพ่อกับแม่แล้วนะคะ” วางช่อดอกไม้ตรงฐานกว้าง เช็ดฝุ่นออกจากกรอบรูปที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใค
กว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ใช้เวลาไปหลายนาที ดีที่ไม่มีใครแซวหรือพูดอะไร จึงทำให้พวกเรากลับมาสนุกกันต่อ เวลา 00.41 น.“รอกันตรงนี้เรียกรถให้แล้ว” ดลธีบอกขุนพลและต้องใจหลังจากงานเลี้ยงจบลง เขาดูแลทั้งสองเปรียบเสมือนน้องนั่นก็เพราะเปรมยุดาได้กำชับไว้ก่อนที่เธอจะแยกไปกับเพื่อนเขาดีจริง ๆ เลยทั้งหลานทั้งเพื่อน!“ขอบคุณนะครับ” ขุนพลไหว้ผู้ใหญ่ใจดี มื้อนี้เจ้ามือหมดไปไม่น้อย “ไม่เป็นไร ต่อไปถ้ามีงานทำก็กลับมาเลี้ยงฉันบ้างก็แล้วกัน” ดลธีหันไปตอบเพื่อนหลานด้วยใบหน้าทะเล้น“ต้องคิดเป็นบุญคุณด้วยเหรอคะ?” คนที่แม้แต่จะทรงตัวก็ลำบากยังอุตส่าห์หันมาถามเสียงอ่อน “ต้อง! เงียบบ้างก็ได้” ขุนพลห้ามเพื่อนพลางประคองไหล่เล็กให้ยืนได้ตรงเสียก่อนจะปากดี ไม่ดูตัวเองบ้างเลย! ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว“แค่บอกว่าให้เลี้ยงคืน? เป็นบุญคุณเหรอ ถ้าบอกให้เอาเงินมาคืนก็ว่าไปอย่าง หรือเธอจะคืนฉันล่ะยัยขี้เมา” “ก็เอาบัญชีมาสิ เดี๋ยวโอนให้ตอนนี้เลย ชิ!” “มือถือ?”“เอาไป”“ต้อง!”“นายเงียบเลยขุน” จะว่าเหมือนเด็กก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ทว่าคนทั้งสองต่างไม่มีใครยอมกัน คนกลางอย่างขุนพลจึงได้แต่ยิ้มแห้งให้คุณอาขอ
ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาของเปรมยุดาและเพื่อน ๆ ต่างก็ดีอกดีใจเมื่อเดินทางมาถึงจุดสำเร็จสาขาบัญชีรวมตัวถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก เปรมยุดา ต้องใจและขุนพลฉีกยิ้มให้กับกล้อง เสียงกดชัตเตอร์รัวติดต่อกัน พร้อมกับช่างภาพยกนิ้วขึ้นโอเค ทุกคนก็ร้องเฮ คละเคล้าเสียงโห่ร้องตะโกนด้วยความดีใจต่างโอบกอดลากันด้วยน้ำตานองหน้า สี่ปีที่เรียนด้วยกันมาความผูกพันแน่นแฟ้นจนอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องแยกจากเพื่อไปเติบโตใช้ชีวิตวัยทำงานไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาจะไม่มีวันลืมมิตรภาพที่ดีเหล่านี้เลย“เร็วนะว่าไหม? ไม่อยากจากพวกแกไปเลย”ต้องใจนั่งจับมือเปรมยุดา และมองเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งห่างออกไป เธอเห็นสายตาอาวรณ์ที่ขุนพลใช้มองเปรมยุดา ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือกระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่ก็คงทำได้แค่นั้นเพราะตอนนี้เพื่อนรักของเธอมีเจ้าของแล้ว และไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นคุณอาสุดหล่อที่กำลังถือช่อดอกไม่ช่อใหญ่เดินเคียงคู่มากับอิตาคุณอาขี้เก๊กนั่นเอง“เรายังเจอกันได้ แค่เรียนจบไม่ได้จากไปไหนไกลนี่น่า จริงไหมขุน” “ใช่ทำอย่างกับจะจากกันไปไหนไกลเว่อร์จริง ๆ เลยเธอเนี่ย”“โดนรุมอีกละ!”“เรียนจบแทนที่จะดีใจกลับทำหน้าบูด
กายโชกไปด้วยเหงื่อทรุดลงทาบทับร่างเปลือยเปล่าหอบหายใจโยนป้อก⁓“อะ” เปรมยุดารู้สึกกึ่งกลางกายวูบโหวงเมื่อคุณอาถอดถอนตัวตนลำใหญ่ออกไปจากตัวเธอ การันต์หายใจหอบใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ ดึงผ้าห่มคลุมกายเปลือยเปล่าทั้งสองจนถึงอก “มีคำหนึ่งใช่ไหมที่อายังไม่ได้บอกหนู” เกลี่ยปอยผมปกใบหน้ารูปไข่เล่น “อะไรเหรอคะ” ตะแคงตัวโอบกอดกายใหญ่ ซุกหน้าเข้าซอกคอแกร่ง ทำให้คุณอาหัวเราะในลำคอพลอยให้เธอยิ้มตามไปด้วย“อารักหนูเปรม รักมาก รักเกินกว่าใคร ๆ ฉะนั้น...อย่าพูดว่าจะให้อามีคนอื่นหรือคิดว่าอาจะไปมีใคร เพราะแค่มีหนูเปรมคนเดียวก็พอแล้ว” “อาบอกว่ารักหนูเหรอคะ” แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคาย วางฝ่ามือบนใบหน้าเริ่มมีตอหนวดขึ้นบาง ๆ มิน่าเมื่อครู่ถึงได้รู้สึกระคาย “อารักหนูเปรม” ทาบฝ่ามือใหญ่บนหลังมือเล็ก ย้ำให้คนจ้องหน้าด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสดใสสุขล้นฉายชัด เขาชอบเปรมยุดาเป็นแบบนี้มากกว่า ต้องโทษที่ตนไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกจนทำให้เธอเข้าใจผิด“หนูก็รักอา รักมาก ๆ รักที่สุด รักกว่าใครในโลกเลย” ปีนขึ้นไปอยู่เหนือกายใหญ่ อกฟูบดเบียดหน้าอกเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนใต้ร่าง สอดแขนไปใต้ไหล่กว้างก่อนจะซุกหน้าลงหาควา
“อื๊อ” ห้ามยังไงทันเมื่อปลายนิ้วก้านยาวไล้กลีบดอกไม้ผ่านเนื้อผ้า ซ้ำยังคลึงจนเธอสะท้านเฮือกสยิวเสียวซ่านต้องยกสะโพกขึ้นรับความดุดันทันที“หนูเปรมของอาแฉะเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ‘อยาก’ เหมือนกันใช่ไหมเด็กน้อย”ลมร้อนพ่นผ่านซอกคอหอม กดเรียวปากร้อนแนบชิดผิวละมุน ดอมดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย“อ๊าส์...” ครางกระเส่าเสียงหวิวเมื่อคุณอาสอดนิ้วเข้ามาในร่องคับแคบและมันตอบรับเขาอย่างดี ตอดรัดทักทายความแข็งแกร่งราวกับว่ารอคอยในสัมผัสเร่าร้อนนี้มานานเสียงครางผะผ่าวกระตุ้นข้อมือใหญ่สอดใส่ท่อนนิ้วเพิ่ม เขาเกร็งกระแทกเข้าใส่ดุดันจนเส้นเลือดรายล้อมข้อแขนขึ้นปูดบวม ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงพิศวาสมองเรือนร่างส่ายเร้า เขาถอนก้านนิ้วออกหลังจากทนความปรารถนากำลังเผาไหม้ตนเองไม่ไหว ต้องการให้ความอึดอัดเบื้องล่างเข้าไปแทนที่ท่อนนิ้วแกร่งของตัวเองชุดนักศึกษาถูกถอดออกด้วยชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเตียง ไม่นานกายเปลือยเปล่าสวยงามก็ปรากฏแก่สายตา ผิวเนียนละเอียดอมชมพูสวยกระแทกใจการันต์ “หนูเปรมของอาสวยเหลือเกิน” “อาอย่ามองนานนักได้ไหม”“มากกว่ามองก็ทำมาแล้ว”มุมปากหยักกระตุกให้กับเจ้าของมือที่ยกขึ้นปิดส่วนสวยงามเอาไว้ ทั้งขาเร