วันนี้ท่านหญิงกุหลาบแรกแย้มไม่ได้ถอยหนี ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนที่เธอเคยปฏิเสธบุตรชายขุนนางอย่างตอนที่เธอและเขาพบกันครั้งแรก
เธอทำเพียงแสร้งลังเลเล็กน้อย ก่อนยิ้มรับไมตรี ด้วยการวางฝ่ามือนุ่มๆ บนฝ่ามือเขา จากนั้นก็ก้าวขาขึ้นห้องโดยสารด้วยกิริยานอบน้อมและว่าง่าย
ตอนนี้เอง ผู้โดยสารสาวถึงได้รู้ตัว ว่าภายในรถม้าคันที่ต้องโดยสารกลับคฤหาสน์พร้อมเจ้าของรถ ดูเล็กกว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย
“เดี๋ยวดิฉันจะไปนั่งข้างหน้านะคะ” มาธารีบปลีกตัวไปนั่งคุมรถม้าพร้อมลูคัสอย่างรู้หน้าที่
ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น อัยน์นาสังเกตเห็นแววตา ‘ลูคัส’ ผู้ติดตามพ่อค้าหนุ่มรายนี้ ไหวระริกอย่างคนนึกสนุก
เธอเดาได้ทันที ว่าผู้ติดตามคนนี้ หรือไม่ก็นายจ้างตัวดีอย่างไซรัส เจตนาสั่งให้คนจัดเตรียมรถม้าเจ้าปัญหาคันนี้
ดูเผินๆ รถม้าคันนี้ก็ดูเรียบหรูดี ตัวรถไม่ได้เล็กนัก แต่ห้องโดยสารกลับไม่กว้างพอจะให้คนมากกว่าสองคนโดยสารอย่างไม่เบียดเสียด
ไม่ถือว่าผิดมารยาทธรรมเนียมเสียทีเดียว แต่ก็ไม่เหมาะสมนัก เมื่อผู้โดยสารเป็นชายหญิงต่างสายเลือดซึ่งหาใช่คู่สมรส
หึ...พวกผู้ชาย...
ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร เจ้าของรถม้าก็ขยับริมฝีปากหยักเข้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ ท่าทางสุขุม
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องขออนุญาต”
ต่อให้เขาไม่ขอ เธอก็อนุญาตอยู่แล้ว...นี่เป็นโอกาสทองให้เธอตะล่อมถามหลายๆ เรื่องชัดๆ
ถึงจะรู้สึกว่า ‘สบโอกาส’ แค่ไหน คุณหนูคนใหม่ก็ทำเพียงคลี่ยิ้มอ่อนโยน แล้วตอบด้วยท่าทีซื่อใส ไม่ทันคน ดูๆ ไปแล้ว เหมือนกระต่ายน้อยตาแป๋วในทุ่งหญ้า
“แดดเริ่มร้อนแล้ว...คุณมีธุระด่วนต้องพบคุณพ่อ รีบขึ้นมาเถอะค่ะ”
ชาวซาเมียร์มีคำกล่าวที่ว่า ‘ดูผู้ชายโกหก ให้ดูที่สายตาลอกแลก เชื่อถือไม่ได้ ดูผู้หญิงโกหก ให้ดูที่สายตาจับจ้องหมองมั่น’
แต่ไหนแต่ไรมา อัยน์นาใช้หลักการนี้ดูคนมาตลอด ดูร้อยทายถูกร้อย ไม่เคยพลาด แต่พอมาเจอพ่อค้าน่าสงสัยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอกลับพบว่าเขาช่างเป็นผู้ชายที่โกหกได้หน้าตายและลื่นไหลที่สุดเท่าที่เคยพบเคยเห็น
จากข้อมูลที่ได้จากชาวเมือง อัยน์นาพบว่า แม้ฉากหน้าพ่อค้ารายนี้จะดูสมบูรณ์แบบ ประวัติที่มาก็ล้วนฟังดูสมเหตุสมผล แต่พอพิจารณาดูดีๆ แล้ว เธอกลับพบว่าทุกเรื่องเกี่ยวกับชายคนนี้ล้วนเป็นเพียงคำบอกเล่า ไม่เคยมีใครรู้เห็นเป็นพยานเลยสักครั้ง
ทั้งอย่างนั้น ทุกครั้งที่เธอเปรยถึงเรื่องเหล่านี้ ไซรัสกลับพูดจาโต้ตอบด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ ไม่มีติดขัด ไม่ส่อพิรุธใดใด หนักข้อเข้าหน่อย พอเธอซักไซ้ไล่ต้อนมากเข้า ก็กลับกลายเป็นเปิดโอกาสให้เขาเกี้ยวพาราสีอย่างแนบเนียนจนอึดอัดเจียนจะทนไม่ไหว เพราะถึงเขาจะไม่จับไม่แตะตรงไหน แต่นัยน์ตาสีเทาคู่คมกลับดูคล้ายกำลังล้วงลึก ลูบไล้ ทำให้เธอรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างน่าโมโห
ไหนจะริมฝีปากหยักเข้มที่ขยับยกอย่างเป็นจังหวะนั่นอีกล่ะ
แค่เขาขยับริมฝีปากพูดเท่านั้น...ทั้งๆ ที่คำพูดคำจาล้วนฟังดูสุภาพ ท่าทีก็ดูสุขุมลุ่มลึก แต่ลักษณะการขยับริมฝีปากคมเข้มนั่น กับลมหายใจบางห้วง กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกริมฝีปากคู่นั้น พรมจูบอย่างแผ่วเบาและเว้าวอน
น่าหงุดหงิดนัก...
ที่น่าหงุดหงิดที่สุด คือเรื่องที่เธอพอจะจับสังเกตได้ว่าเขาจงใจป่วนประสาทด้วยวิธีการพรรค์นี้
“อึดอัดหรือเปล่าครับ” ในที่สุด พ่อค้าน่าหงุดหงิดก็ออกปากถามเหมือนจงใจเยาะเย้ย
น้ำเสียงที่เขาใช้ ท่าทีที่เขาแสดงออก ยังคงดูสุภาพไม่เปลี่ยนแปลง
อึดอัดสิ! เธออยากจะตอบแบบนี้ แต่ต้องปั้นหน้ายิ้มตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน...
“ไม่หรอกค่ะ”
“ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้จัดเตรียมรถม้าที่เหมาะสมกว่านี้” เจ้าของริมฝีปากทรงเสน่ห์จนน่าโมโห ถอนหายใจยาว “ปกติแล้ว ลูคัสเป็นคนรู้กาลเทศะ รู้หน้าที่ ดูท่าหนนี้คงจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง ถึงได้จัดรถม้าคันนี้มาแทน”
“ช่างเถอะค่ะ” เธอยังคงควบคุมน้ำเสียงให้ฟังดูอ่อนหวาน ปั้นหน้ายิ้มแย้ม “ใช้รถกะทัดรัดแบบนี้ก็ดี จะได้ไม่รบกวนพ่อค้าแม่ขายกับชาวเมืองที่สัญจรไปมา”
“ในบรรดาพี่น้อง ชาวเมืองเล่าลือกันว่าคุณหนูอัยน์นาคล้ายท่านเจ้ากรมการเมืองกว่าใคร ท่าจะจริง” ไซรัสกลับมาพูดจาอย่างเป็นปกติอีกครั้ง ราวกับต้องการตอกย้ำคำขู่ไร้เสียงที่ว่า...ถ้าเธอไม่คิดยุ่มย่ามเรื่องเขาก็แล้วไป แต่ถ้าเธอคิดจะไล่ต้อนเขาเมื่อไหร่ เขาก็จะไล่ต้อนเธอในแบบของตัวเอง
“พวกชาวเมืองก็พูดเกินไป...”
“ลักษณะการตอบอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนแบบนี้ ก็ชวนให้นึกถึงท่านเจ้ากรมการเมืองนะครับ” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนผินหน้าออกมองทิวทัศน์ พอเห็นประตูรั้วคฤหาสน์เจ้ากรมการเมือง ก็หันกลับมาสบตาเธอด้วยสีหน้าท่าทางอย่างเดิม “เผลอแป๊บเดียวก็ถึงคฤหาสน์แกรนเทรนท์ซะแล้ว”
“ค่ะ” เธอรับคำ เป็นมารยาท
“รู้ไหมครับ ตอนผมคุยกับท่านเจ้ากรม ท่านก็ทำให้ผมลืมเวลาแบบนี้เหมือนกัน”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”