“ครับ ยาชนิดนี้มีกลิ่นเฉพาะตัว เพราะกลิ่นแรงมาก เวลาใครสักคนอยากใช้วางยาใคร ก็เลยมักผสมยาในเหล้าหมักผลไม้กลิ่นฉุนจัดหรืออาหารกลิ่นแรงๆ ถ้าท่านเจ้ากรมไม่เชื่อ ลองเอาน้ำชาพวกนี้ไปตรวจสอบดูก็ได้”
คุยกันได้เท่านั้น พริสซิลล่าก็ถือห่อชาเข้ามายื่นให้บิดา
เมื่อได้สูดกลิ่นใบชาสมุนไพร ไซรัสก็แน่ใจ ว่าใบชาสมุนไพรจากปัญจาป เปลือกส้ม กับดอกลาเวนเดอร์แห้ง ล้วนไม่มีปัญหา
เขารอจนคุณหนูคนโตกับคนรองของคฤหาสน์กลับออกไป จึงค่อยเอ่ยในสิ่งที่คิด
“ดูท่า ที่คฤหาสน์ท่านเจ้ากรม จะมี ‘ผู้ไม่ประสงค์ดี’ แฝงตัวอยู่ สิ่งยืนยันก็คือสารหนูในชากานี้นี่ล่ะ...จะต้องมีใครสักคน เติมยาพิษตัวนี้ลงในกาน้ำชาก่อนที่ท่านหญิงทั้งสองจะยกมาแน่นอน แต่จะเติมช่วงไหน ยังไง เรื่องนี้ผมเองก็สุดจะคาดเดา” เขาไม่อยากก้าวก่ายเรื่องภายในคฤหาสน์เจ้ากรมสูงวัยตรงหน้าจนเกินพอดี จึงหยุดการสันนิษฐานลงเพียงเท่านี้
แล้วเจ้าของคฤหาสน์ ก็ตอบรับคำสันนิษฐานนั้นเพียงสั้นๆ ดังคาด
“ผมจะลองตรวจสอบดู”
ชายสูงวัยนิ่งไปพักใหญ่ ในที่สุดก็ถามถึงเรื่องที่ไซรัสเตรียมตัวมายืนยันออกมา
“เพื่อนคุณรู้แล้วใช่ไหม ว่าในอีกสามวันข้างหน้าต้องแสดงตัวแบบไหน”
“ครับ”
“อย่าลืมเตือนให้เขาเข้าใจ จำไว้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามสหายจากต่างถิ่นของคุณเข้าใกล้คฤหาสน์หลังนี้เด็ดขาด” ท่านเจ้ากรมสูงวัยย้ำเตือนข้อระวังที่เคยบอกไว้อีกหน หนนี้สีหน้าเจ้ากรมการเมืองดูเคร่งเครียดจริงจังยิ่งกว่าคราวก่อนมากนัก
ทั้งคำพูดและสีหน้าแววตาเจ้ากรมสูงวัย ทำให้ไซรัสระลึกถึงประโยคที่ชายคนเดียวกันนี้เคยบอกเขาขึ้นมา...
‘ตอนเที่ยงคืน ให้เพื่อนคุณส่งพรรคพวกสักตนมาบินผ่านคฤหาสน์หลังนี้จากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก ทิ้งหลักฐานยืนยันอะไรไว้ก็ได้...หามาสักอย่างให้ผมเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในพวกเผ่าพันธุ์โบราณจากดินแดนเร้นลับ และตั้งใจมาพบผมก็เพราะคุณ
ยังมีอีก...ไม่ว่าจะอย่างไร ห้ามเพื่อนคุณเข้าใกล้คฤหาสน์หลังนี้ให้เป็นที่สงสัยเด็ดขาด
ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น ผมคงต้องทำอย่างที่สังคมคาดหวังให้ทำ’
ท่านเจ้ากรมการเมืองในเวลานี้ น่าจะกำลังตื่นตระหนกเพราะโดนปองร้ายถึงในคฤหาสน์ตัวเอง...ลองเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าเที่ยงคืนของในอีกสามวันให้หลัง ‘สหายจากต่างถิ่น’ ผู้ต้องมาปรากฏตัวในเมืองหลวงเพื่อยืนยันให้เจ้ากรมการเมืองเห็นว่าที่เขาพูดทั้งหมดล้วนเป็นความจริง เกิดทำอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อน หรือทำให้ผู้คนสังเกตเห็นจนพากันแตกตื่นตกใจ เจ้ากรมการเมืองคงเลือกทำอย่างที่เคยลั่นวาจาไว้โดยไม่ลังเล คงไม่ยอมเสี่ยงปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย หรือต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย หรือเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามใช้เรื่องนี้กล่าวหาให้ศัตรูอย่างเจ้ากรมการเมือง ริชาร์ด แกรนเทรนท์ ตกที่นั่งลำบาก
...ดูท่าการยืนยันง่ายๆ ตามที่ตกลงกันไว้ จะไม่ได้ง่ายดายอย่างปากว่าเสียแล้ว...
รถม้าสีดำสนิทเทียมม้าขาวเคลื่อนออกจากคฤหาสน์เจ้ากรมการเมือง พาเจ้าของรถมุ่งหน้าเข้าหาคฤหาสน์เจ้ากรมการคลังอีกครั้ง
พ่อค้าหนุ่มไม่คิดว่าตัวเองจะต้องกลับมาที่นี่เร็วเท่านี้ แต่เกรงว่าหากวางตัวนิ่งเฉย เจ้ากรมการเมืองอาจถึงฆาตเสียก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำอะไรจริงๆ จังๆ
ทันทีที่รถม้าจอดสนิทดี ไซรัสก็ก้าวขาเข้าคฤหาสน์เจ้ากรมการคลังด้วยท่าทีขึงขัง ขุ่นเคือง
“ท่านเจ้ากรมล่ะ”
“ท่านเจ้ากรมคุยธุระติดพันอยู่ที่ห้องทำงาน เชิญทางนี้...” พ่อบ้านผู้มาต้อนรับพูดยังไม่ทันจบ ไซรัสก็สาวเท้าเข้าหาห้องทำงานโดยมี ลูคัส ผู้ยังงุนงง ตามเรื่องไม่ทัน เดินตามมาติดๆ
แววตาดุเข้มเอาจริงเอาจัง ทำเอาพ่อบ้านคฤหาสน์วิลส์ตันอึกอัก พูดอะไรไม่ออก จะปราดเข้าขวางก็ไม่กล้า จะเดินแซงหน้าแขกผู้ก้าวขาเข้าคฤหาสน์โดยไม่ได้รับเชิญไปรายงานให้ผู้เป็นนายรับรู้ก็ก้าวขาไม่ทันคนหนุ่มกว่าทั้งสอง
ทันทีที่ไซรัสเห็นหน้าท่านเจ้ากรม เขาจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตาวาวโรจน์ แสดงออกเหมือนโกรธเต็มที่ แต่ยังไม่เอ่ยอะไรออกมาเพราะเห็นว่าเจ้ากรมผู้นี้มีแขกติดพันอยู่จริง
“ผมมีเรื่องอยากเรียนถามท่านเจ้ากรมสักข้อ” ไซรัสบอกเป็นนัยว่าต้องการคุยเรื่องสำคัญ เดี๋ยวนี้
แต่ดูเหมือนแขกท่านเจ้ากรมจะรู้ว่าไซรัสมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ย...
“ผมประเมินคุณไม่ผิดจริงๆ คุณนี่ช่างรอบรู้ ฉลาดล้ำ เป็นคนที่มีศักยภาพจนน่ากลัว”
ไซรัสจำชายคนนี้ได้ ก่อนหน้านี้เขาเคยพบคนคนนี้ในงานเลี้ยงระดมทุน...รู้สึกว่าจะชื่อคาร์ล สกุลเดียวกับเจ้ากรมการคลัง เพิ่งย้ายมาจากต่างเมือง แต่มาถึงได้ไม่นานก็เข้ารับราชการเป็นถึงเลขาท่านเจ้ากรม
จากคำบอกเล่าใครหลายคน ทำให้ไซรรัสรู้ว่าด้วยรูปลักษณ์ดูดี พื้นฐานที่มีญาติมิตรเป็นขุนนางใหญ่ ตลอดจนการเป็นคนเข้าสังคมเก่งหาตัวจับยาก ใช้เวลาเพียงไม่นาน คาร์ล วิลส์ตัน ก็ก้าวเข้ามาเป็นบุคลทรงอิทธิพลผู้หนึ่งในเมืองหลวง เป็นบุรุษสมบูรณ์แบบที่ชายด้วยกันชื่นชมและสตรีเฝ้าฝันหา
“มีเรื่องอะไรกัน” เจ้ากรมการคลังถาม น้ำเสียงประหลาดใจ
“ท่านเจ้ากรมคงไม่ได้ถึงขั้นอยากให้บ้านเมืองนี้เกิดจลาจลใช่ไหม” พ่อค้าหนุ่มถามหยั่งเชิง “ผมคิดว่าเราตกลงหน้าที่กันแล้วเสียอีก ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ท่านเจ้ากรมยกเรื่องเจ้ากรมชราดื้อดึงรายนั้นให้ผมจัดการแล้ว ข้อนี้ผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่”
“ถูกต้องอย่างที่คุณเข้าใจทุกอย่าง”
ดูจากสีหน้าขุ่นเคืองผสมไม่เข้าใจจากเจ้าบ้านแล้ว ไซรัสก็เดาออกทันที ว่าเจ้ากรมผู้นี้ไม่ได้รู้เห็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น...นี่คงเป็นฝีมือคุณ” ไซรัสเบนสายตาไปหา คาร์ล วิลส์ตัน “คุณใช้ให้ใครสักคนไปวางยาเจ้ากรมการเมืองใช่ไหม”
คาร์ลยิ้มรับ ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน ทว่านิ้วเรียวยาวเริ่มเคาะพนักวางแขนเป็นจังหวะเชื่องช้า
“และคุณก็รู้แล้ว ว่าตอนนั้นผมเองก็อยู่ที่นั่น”
“ก่อนออกคำสั่งผมไม่รู้ว่าคุณจะไปปรากฏตัวที่นั่น มันเป็นเรื่องที่ผมควบคุมไม่ได้” คาร์ลแก้ต่างให้ตัวเองด้วยรอยยิ้ม “ก็ใครจะคาดคิดล่ะ ว่าคุณจะไปปรากฏตัวที่คฤหาสน์เจ้ากรมการเมืองหลังกลับถึงย่านร้านค้าได้ไม่นาน”
“นั่นเพราะมีเหตุสุดวิสัย”
คาร์ลพยักหน้ารับ “อา...ผมเข้าใจ คุณหมายถึงคุณหนูอัยน์นาผู้เลื่องชื่อล่ะสิ”
เพียงเท่านี้ ไซรัสก็รู้แล้ว ว่าตอนนี้คู่สนทนามีหูมีตาอยู่ทั่วไป รับรู้ข่าวสารฉับไวยิ่งกว่าเจ้ากรมการคลังเสียอีก
“ผมเกือบตาย เพราะคุณ” ไซรัสเอ่ยน้ำเสียงสะกดอารมณ์ จงใจแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่พอใจมากเพราะเรื่องนี้
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”