ไซรัสมองคนดื้อรั้นที่ไม่ยอมรับว่าโดนจับได้ไล่ทันแล้ว...แววตาคู่คมก็ไหวระริกขึ้นมา
ยิ่งมองเธอแสร้งทำท่าทีประหม่าเขินอายคล้ายตกหลุมรักเขา แววตาพ่อค้าหนุ่มก็ยิ่งเปล่งประกายราวนักเล่นหมากกระดานยามพบว่าคู่มือเลือกใช้กลเดินหมาก ‘ไร้กระบวน’ ที่ชวนให้อดคิดไม่ได้ ว่าต่อไป อีกฝ่ายจะเดินหมากไปทางไหน
คุณหนูอัยน์นาคนนี้ ช่างสรรหาเรื่องน่าสนุกมาหยิบยื่นให้ได้เรื่อยๆ เสียจริง...
ยิ่งคิด นัยน์ตาสีเทาก็ยิ่งจับจ้องมองเธอทุกกิริยา อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นลูกไม้อะไรบ้าง
ไซรัสมองตามอยู่นาน นานจนคุณหนูคนเล็กของคฤหาสน์คล้อยหลัง รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่โดนเจ้ากรมการเมือง ริชาร์ด แกรนเทรนท์ ส่งเสียงกระแอมไอเรียกสติ ก่อนดึงเขาเข้าประเด็นสนทนาด้วยน้ำเสียงชราทว่าเฉียบคม
“คุณมาที่นี่เพราะมองว่าผมส่งลูกสาวไปสืบข่าวเรื่องคุณงั้นรึ? คงไม่ใช่แค่นี้แน่ๆ”
พ่อค้าหนุ่มค้อมศีรษะให้เจ้ากรมการเมืองด้วยท่าทีเคารพยิ่ง ก่อนตอบ
“ผมมาเพื่อเตือนครับ ทีแรกว่าจะรอให้ท่านเจ้ากรมเห็นสิ่งยืนยันตามที่เราคุยกันไว้คราวนั้นจนเชื่อใจผมเสียก่อน แต่คิดว่าถ้ารอจนถึงตอนนั้น อาจสายเกินไป”
“นั่งก่อนสิ” เจ้าของคฤหาสน์ผายมือไปยังโต๊ะทำงานซึ่งมีเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ตรงข้ามกัน จากนั้นก็เดินนำเข้าไปนั่งเก้าอี้ทำงานตัวเอง ตัวที่หันหน้าเข้าหาประตู แล้วรอฟัง
“เจ้ากรมการคลังกับพรรคพวกสนับสนุนให้ก่อสงคราม เรื่องนี้ท่านเจ้ากรมคงรู้ดีอยู่แล้ว”
เจ้ากรมการเมืองพยักหน้าน้อยๆ แทนการตอบรับ
“วันนี้เจ้ากรมการคลังเชิญผมไปพบ จากที่คุยกัน พอสรุปได้ว่า อีกไม่นาน เจ้ากรมการคลังคงเริ่มกล่อมให้คนที่ไม่เห็นด้วยยอมคล้อยตาม จะหนักหรือเบาคงแล้วแต่ว่าใครต่อต้านมากน้อยแค่ไหน สถานะทางสังคมอยู่ในระดับใด แตะต้องได้ง่ายดายหรือยากลำบาก” ไซรัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา
“รายชื่อเจ้ากรมการเมืองคงอยู่ในลำดับต้นๆ” เจ้ากรมสูงวัยค่อนข้างแน่ใจ
“ผมเองครับ”
“หืม?”
“คนที่รับเป็นธุระเรื่อง ‘ปรับทัศนคติ’ เจ้ากรมการเมือง เป็นผมเอง”
ประโยคนี้ทำเอาเจ้ากรมสูงวัยถึงกับหัวเราะออกมา
มันไม่ใช่เสียงหัวเราะเยาะเย้ย ไม่ได้เป็นการหัวเราะประชดอีกฝ่าย แต่เป็นเสียงของความขบขันที่ฟังดูเปิดเผยจริงใจ
“ดีเสียจริง แล้วคุณก็เอามาบอกผม นี่คงไม่ใช่พยายามจะแสดงออกว่าซื่อตรงเพราะอยากให้ผมไว้ใจหรอกนะ”
ถึงใบหน้าอีกฝ่ายจะดูยิ้มแย้ม แต่ไซรัสรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเจตนาถามหยั่งเชิง
“เจ้ากรมการคลังเชื่อแบบนั้นครับ” เขาให้ข้อมูลตามความเป็นจริง
“ตอนนี้เจ้ากรมการคลังคงไว้ใจคุณไม่น้อย”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น...” ไซรัสนิ่งคิด ก่อนเอ่ยต่อไป “แต่ผมคิดว่ายังวางใจไม่ได้เสียทีเดียว ที่แน่ใจได้คงมีแค่นับจากนี้เจ้ากรมการคลังจะไม่ติดใจเรื่องที่ผมเข้าออกคฤหาสน์นี้บ่อยครั้ง”
“ต่อให้คุณมาบอกเรื่องพวกนี้ ผมก็ยังไม่ไว้ใจคุณหรอกนะ”
“ครับ ผมเข้าใจดี เป็นผมก็คงจะระมัดระวัง”
คุยกันได้เท่านี้ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงขออนุญาตที่ไซรัสจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงใคร
“คุณพ่อคะ คุณพี่พริสซิลล่าเพิ่งลองปรุงชากลิ่นใหม่ อยากให้คุณพ่อลองชิมค่ะ ห๊อมหอม”
“แอนนาเบลรึ” เจ้าของห้องทำงานเดาได้ทันที เจ้ากรมสูงวัยเหลียวสบตาไซรัสเป็นเชิงบอกว่าให้หยุดเรื่องในประเด็นสนทนาไว้ก่อน จากนั้นก็ขยับริมฝีปากพูดกับลูกสาว “เข้ามา”
พอได้รับอนุญาต คุณหนูคนรองของคฤหาสน์ก็ยกถาดบรรจุชุดน้ำชาเดินนำพี่สาวผู้ดูเรียบร้อยกว่าทุกวันเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้างขวางเหมือนเด็กสาว
“คุณยายให้คนส่งชาสมุนไพรจากปัญจาปมาให้ค่ะ ลูกเห็นช่วงนี้คุณพ่อดูเคร่งเครียด กลัวสุขภาพจะทรุดโทรม ก็เลยลองเอาชาสมุนไพรมาผสมเปลือกส้มกับดอกลาเวนเดอร์ดู ได้ยินว่ากลิ่นเปลือกส้มกับลาเวนเดอร์ช่วยคลายเครียดได้ใช่ไหมคะ”
ไซรัสชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์นั้น แต่กลิ่นเปลือกส้มฉุนรุนแรงผสมกลิ่นสมุนไพรเหม็นเขียวที่ลอยมาแตะจมูก ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ ว่าหากดื่มชากานี้เข้าไป ท่านเจ้ากรมจะยังประคองอารมณ์และสติพูดคุยเรื่องงานต่อไหวหรือไม่
“คุณก็ชิมด้วยสิคะ” พริสซิลล่าบอกพลางจัดแจงรินชาให้บิดาและแขกของคฤหาสน์คนละแก้ว
ไซรัสไม่อยากทำตัวเสียมารยาทจึงยกแก้วชาขึ้นสูดดมทันทีที่รับมา ตั้งใจว่าจะสูดดมพอเป็นพิธีก่อนดื่มตามวิถีที่พึงปฏิบัติยามมีใครสักคนปรุงชามาให้ลิ้มลอง แต่ในจังหวะที่ยกแก้วชาขึ้นสูดนั้น พ่อค้าหนุ่มกลับได้กลิ่นที่ไม่ชอบมาพากลเจือปนอยู่ในกลิ่นชา
“ท่านเจ้ากรม” พ่อค้าหนุ่มรีบเรียกรั้งไว้ก่อนที่เจ้าบ้านจะจิบน้ำชา
เมื่อท่านเจ้ากรมการเมืองเหลียวมองมา คล้ายต้องการถามว่า ‘มีเรื่องอะไร’ ไซรัสก็บอกใบ้ด้วยการใช้สายตาชี้แก้วชาในมือ แววตาจริงจัง
เพียงเท่านั้น ท่านเจ้ากรมสูงวัยก็เดาออก ว่าในชาน่าจะมีบางอย่างผิดปกติ
“อืม...หอมดี” เจ้ากรมการเมืองคลี่ยิ้มให้พริสซิลล่า ก่อนถาม “ชานี่ ลูกเป็นคนปรุงเองรึเปล่า”
“ค่ะ”
“แน่รึ?” ท่านเจ้ากรมถามซ้ำ
“ค่ะ” คราวนี้พริสซิลล่าตอบอย่างไม่มั่นใจนัก
แอนนาเบลเองก็ดูเหลอหลา เลิกลัก เหมือนกลัวบิดาไม่พอใจ “ทำไมเหรอคะ”
“มีใครได้ชิมไปแล้วบ้างหรือยัง”
“คุณแม่ทดลองดื่มชาสูตรนี้มาสองสามวันแล้วค่ะ แต่ตอนที่ปรุงให้คุณแม่ ลูกไม่ได้เติมเปลือกส้มกับสมุนไพรมากเท่านี้ ลูกเห็นคุณแม่บอกว่าดื่มแล้วกินอาหารได้มากขึ้น ตอนนอนก็หลับสบาย ก็เลยลองปรุงมาให้คุณพ่อบ้าง”
“พ่อชักอยากเห็นสมุนไพรที่ยายลูกส่งมาเสียแล้วสิ” ท่านเจ้ากรมบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงปรานี “ช่วยไปเอาห่อชาที่ยายลูกส่งมามาให้พ่อดูทีได้ไหม เอาเปลือกส้มกับดอกลาเวนเดอร์แห้งที่ลูกใช้มาพร้อมกันด้วยเลยก็ดี พ่อจะได้แบ่งให้ไซรัสเอากลับไปใช้ ส่วนกาน้ำชาก็ทิ้งไว้ที่นี่ก่อน พ่อกับไซรัสจะได้ค่อยๆ จิบไป คุยกันไป”
“ได้สิคะ” พริสซิลล่ารับคำทันที
เธอคลี่ยิ้มอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าอ่อนโยนให้เขากับบิดา จากนั้นก็เดินนำแอนนาเบลที่ยังคงวางสีหน้าไม่ถูกเหมือนตามไม่ทัน ออกจากห้องทำงานไป โดยทิ้งถาดกาน้ำชาไว้บนโต๊ะทำงานไม้เนื้อหนา
เมื่อเสียงฝีเท้าบอกให้รู้ว่าคุณหนูคนโตกับคุณหนูคนรองเดินห่างออกไปไกลแล้ว ไซรัสก็ยกกาน้ำชาขึ้นเปิดฝาสูดดม ราวกับต้องการยืนยันบางอย่าง
ดมไปได้สักพัก พ่อค้าหน้าใหม่ของเมืองก็ขยับริมฝีปากเอ่ยชื่อสิ่งผิดปกติที่เขาได้กลิ่นจากชา สีหน้าเคร่งเครียด
“สารหนู...ในชากลิ่นแรงกานี้ มีสารหนูปะปนอยู่”
เจ้ากรมการเมืองขมวดคิ้วแน่นทันที
“แน่ใจรึ”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”